[เรื่องที่ 113] Point Break/ปล้นข้ามโคตร ; (Ericson Core, 2015)
คะแนน : 7/10
เป็นผลงานรีเมคจากหนังแอคชั่น-จารกรรม 'คลื่นบ้ากระแทกคลื่นบ้า' ในปี 1991 แสดงนำโดยคีนูย์ รีฟ ที่สร้างเสียงฮือฮาไปทั่วโลกในฉากไล่ล่าที่ผสมผสานกีฬาเอ็กซ์ตรีมอย่างการเซิร์ฟได้อย่างเร้าใจ ... สำหรับภาค 2015 นี้ก็เกี่ยวการสืบสวนกลุ่มอาชญากรข้ามชาติที่ใช้กลวิธีเป็นบรรดากีฬาเอ็กซ์ตรีมเสี่ยงตายทั้งหลาย พระเอกอย่าง 'ยูทาห์' ก็เลยต้องแทรกซึมเข้าไปในแก๊งค์เพื่อหาโอกาสยับยั้งและจับกุมให้ได้.
... ก่อนอื่นเลยต้องขอปรบมือดังๆให้กับงานภาพของเรื่องนี้ที่สอบผ่านทั้งภาค ก และ ภาค ข ได้อย่างหมดจด, อาจเป็นเพราะผู้กำกับเองก็มีชื่อในด้านความเนี้ยบในการคุมภาพมาก่อนจึงทำให้หนังค่อนข้างให้ความสำคัญกับ cinematography ค่อนข้างเยอะ ... คือเราจะได้ดูวิวสุดสวยชนิดโคตรอลังการจากทั่วทุกมุมโลกได้อย่างเต็มอิ่ม ไม่ว่าจะเป็นเกลียวคลื่นขนาดมหึมา, เทือกเขาแอลป์, ปีนผาในเวเนซูเอลา และอื่นๆอีกมากมาย และเมื่อมาผสมผสานกับกีฬาเสี่ยงตายทั้งหลายที่มันชวนลุ้นอยู่แล้วมันก็เลยเป็นอะไรที่ลงตัวไปโดยปริยาย ที่สำคัญคือทุกๆฉากเสี่ยงตายในเรื่องนี้ไม่ใช้ CG นะจ๊ะ! ใช้คนเล่นเองล้วนๆ!
ซึ่งถ้ามองในจุดนี้ก็ต้องยอมรับว่าหนังมันรับใช้เป้าหมายของตัวเองได้ดีในแง่ของการอวดกีฬาเท่ๆอย่าง Surf/Snowboard/Wingsuits ได้อย่างถึงลูกถึงคน, โดยหนังใช้เวลาราวๆ 50% เพื่อถ่ายทอดเน้นในเรื่องนี้อย่างเดียวได้คุ้มค่าจนเราอดตื่นตาไปกับมันไม่ได้ โดยเฉพาะฉากร่อนลงจากเทือกเขาแอลป์นี่ขอบอกว่าเลยเสียวอิ๊บอ๋ายยยยย อีผู้กำกับก็โรคจิตชอบเอากล้องคว้านลงไปในเหวลึกๆ ให้คนดูหวาดเสียวหวาดใส้เล่น คือสรุปได้ว่าแค่จ่ายตังเข้ามาดูสารคดีสำรวจโลกสวยๆแค่นี้ก็คุ้มแล้ว ไม่ต้องไปโฟกัสกับเรื่องมาก..
.. เพราะอะไรน่ะหรือ? ด้วยความที่ตัวหนังเองมันให้น้ำหนักกับภาพสวยๆและฉากเสียวๆมากไปจนบาลานซ์ในส่วนเนื้อเรื่องและความหนาลึกของตัวละครมันฝ่อไปเลย, ประเด็นแรกคือความสัมพันธ์ระหว่างพระเอกอย่างยูทาห์ (Luke Bracey) กับตัวเอกฝั่งร้ายแบบโบดี้ห์ (Edgar Ramirez) ยังไม่อยู่ในจุดที่เรียกว่าเข้มแข็งพอจนสนิทได้ขนาดนั้น คือในแต่ละฉากที่ตัวละครสองตัวนี้มีโอกาสได้พูดคุยแลกความคิดกันมักจะจบด้วยการพร่ำเพ้อเกี่ยวกับการทดสอบด่านธรรมชาติวนไปวนมาทุกที (ซึ่งอุปโลกมั่วๆขึ้นมาในชื่อว่า Osaki 8) คือโอเค ไอ้การที่เราได้ฟังแนวคิดแบบวิถีเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติเป็นรอบแรกมันก็ทำให้หนังมันเมกเซนส์ดี แต่พอมีครั้งที่สาม..สี่..ห้า เข้ามามันก็เกิดความรู้สึกว่าสรุปเอ็งจดบทพูดมาแค่นี้ใช่มั้ย? นี่ขนาดตัวเอกสองคนยังมีบทพูดไม่พอก็ไม่ต้องไปพะวงถึงตัวประกอบ ABC ในทีมของโบดี้ห์เลย ไม่ทันจะแจ้งเกิดก็ตายร่วงกราวกันไปหมดก่อน
นี่ยังไม่บ่นถึงความฟักอัพของบทหนังและการตัดต่อฉากเนื้อเรื่อง เช่นยกตัวอย่างมีฉากที่พระเอกโดนเจ้านายด่าเพราะเอาเวลาสอบสวนไปฟันหญิง ส่วนเจ้านายรู้ได้ไงน่ะหรอ? ก็อั๊วะติดกล้องไว้ทั่วบ้านเป้าหมายแล้วยังไงล่ะ! ... คือถ้ามันจะหลวมขนาดแปะกล้องได้ทั่วบ้าน ทั่วทุกมุมขนาดนั้นเอ็งจะใช้ยูทาห์ไปสืบหาหอกอะไรฟะ? หรืออีกฉากที่มีเพื่อนโบดี้ห์พลัดตกเขาตาย ตัดฉากมาทุกคนก็โศกเศร้าแล้วก็ตั้งกองไฟไว้เพื่อเผาศพเพื่อนแบบธรรมชาติ .. แล้วหนังก็ตัดมาที่ฉากปาร์ตี้เมาแหลก ณ บ้านเดิม และกองไฟเดิมที่ตั้งอยู่กลางกระท่อม คือสรุปเอ็งปาร์ตี้กันรอบกองไฟเผาศพใช่มั้ย ฮัลโหล?
และถ้าพูดถึงฉากแอคชั่นมันก็ยังอั้นๆไปไม่ไกลเท่าไหร่ เหมือนใส่เข้ามาให้ครบๆองค์ไปงั้นๆ แล้วก็ไม่ได้เกี่ยวพันกับกีฬาผาดโผนซักเท่าไหร่ ในภาคส่วนตำรวจเองก็บทน้อยมากกกกก คือไม่เข้าใจว่า FBI ทั้งกรมไม่ได้ take action อะไรเลยแต่ฝากฝังให้ยูทาห์ไล่ล่าและจับกุมคนร้ายคนเดียวทั้งเรื่องจริงดิ? คือถ้าว่ากันตามตรงก็ง่อยระยะสุดท้ายมาก
Point Break ฉบับ 2015 นี้อาจฉีกแนวได้ห่างไกลจากภาคต้นฉบับมาเป็นหนังสารคดีรักโลกแบบตะกุกตะกักนิดหน่อย ซึ่งส่วนดีก็คืองานภาพและฉากสวยๆที่เราพึงได้รับชมที่มาพร้อมกับบทง่อยๆและตัวละครที่ตื้นเขินเหมือนขันน้ำในวัด หากเทียบอารมณ์ก็อาจจะคล้ายๆ ฟาสต์แอนด์ฟิวเรียส 7 แต่ก็ยังไม่มีจุดขายของตัวละครที่แข็งแกร่งเท่า ... โดยรวมแล้วก็ดูเพลินๆได้ จะไม่บอกว่าเสียดายเงินนะ เพราะภาพมันสวยและหวาดเสียวจริงๆ หยวนๆให้ละกัน
ขอเชิญติดตามรีวิว/ข่าวสารและร่วมกันพูดคุยเรื่องหนังได้ที่เพจครับ :
https://www.facebook.com/expensivemovie
[รีวิวเรื่องที่ 113] Point Break/ปล้นข้ามโคตร
[เรื่องที่ 113] Point Break/ปล้นข้ามโคตร ; (Ericson Core, 2015)
คะแนน : 7/10
เป็นผลงานรีเมคจากหนังแอคชั่น-จารกรรม 'คลื่นบ้ากระแทกคลื่นบ้า' ในปี 1991 แสดงนำโดยคีนูย์ รีฟ ที่สร้างเสียงฮือฮาไปทั่วโลกในฉากไล่ล่าที่ผสมผสานกีฬาเอ็กซ์ตรีมอย่างการเซิร์ฟได้อย่างเร้าใจ ... สำหรับภาค 2015 นี้ก็เกี่ยวการสืบสวนกลุ่มอาชญากรข้ามชาติที่ใช้กลวิธีเป็นบรรดากีฬาเอ็กซ์ตรีมเสี่ยงตายทั้งหลาย พระเอกอย่าง 'ยูทาห์' ก็เลยต้องแทรกซึมเข้าไปในแก๊งค์เพื่อหาโอกาสยับยั้งและจับกุมให้ได้.
... ก่อนอื่นเลยต้องขอปรบมือดังๆให้กับงานภาพของเรื่องนี้ที่สอบผ่านทั้งภาค ก และ ภาค ข ได้อย่างหมดจด, อาจเป็นเพราะผู้กำกับเองก็มีชื่อในด้านความเนี้ยบในการคุมภาพมาก่อนจึงทำให้หนังค่อนข้างให้ความสำคัญกับ cinematography ค่อนข้างเยอะ ... คือเราจะได้ดูวิวสุดสวยชนิดโคตรอลังการจากทั่วทุกมุมโลกได้อย่างเต็มอิ่ม ไม่ว่าจะเป็นเกลียวคลื่นขนาดมหึมา, เทือกเขาแอลป์, ปีนผาในเวเนซูเอลา และอื่นๆอีกมากมาย และเมื่อมาผสมผสานกับกีฬาเสี่ยงตายทั้งหลายที่มันชวนลุ้นอยู่แล้วมันก็เลยเป็นอะไรที่ลงตัวไปโดยปริยาย ที่สำคัญคือทุกๆฉากเสี่ยงตายในเรื่องนี้ไม่ใช้ CG นะจ๊ะ! ใช้คนเล่นเองล้วนๆ!
ซึ่งถ้ามองในจุดนี้ก็ต้องยอมรับว่าหนังมันรับใช้เป้าหมายของตัวเองได้ดีในแง่ของการอวดกีฬาเท่ๆอย่าง Surf/Snowboard/Wingsuits ได้อย่างถึงลูกถึงคน, โดยหนังใช้เวลาราวๆ 50% เพื่อถ่ายทอดเน้นในเรื่องนี้อย่างเดียวได้คุ้มค่าจนเราอดตื่นตาไปกับมันไม่ได้ โดยเฉพาะฉากร่อนลงจากเทือกเขาแอลป์นี่ขอบอกว่าเลยเสียวอิ๊บอ๋ายยยยย อีผู้กำกับก็โรคจิตชอบเอากล้องคว้านลงไปในเหวลึกๆ ให้คนดูหวาดเสียวหวาดใส้เล่น คือสรุปได้ว่าแค่จ่ายตังเข้ามาดูสารคดีสำรวจโลกสวยๆแค่นี้ก็คุ้มแล้ว ไม่ต้องไปโฟกัสกับเรื่องมาก..
.. เพราะอะไรน่ะหรือ? ด้วยความที่ตัวหนังเองมันให้น้ำหนักกับภาพสวยๆและฉากเสียวๆมากไปจนบาลานซ์ในส่วนเนื้อเรื่องและความหนาลึกของตัวละครมันฝ่อไปเลย, ประเด็นแรกคือความสัมพันธ์ระหว่างพระเอกอย่างยูทาห์ (Luke Bracey) กับตัวเอกฝั่งร้ายแบบโบดี้ห์ (Edgar Ramirez) ยังไม่อยู่ในจุดที่เรียกว่าเข้มแข็งพอจนสนิทได้ขนาดนั้น คือในแต่ละฉากที่ตัวละครสองตัวนี้มีโอกาสได้พูดคุยแลกความคิดกันมักจะจบด้วยการพร่ำเพ้อเกี่ยวกับการทดสอบด่านธรรมชาติวนไปวนมาทุกที (ซึ่งอุปโลกมั่วๆขึ้นมาในชื่อว่า Osaki 8) คือโอเค ไอ้การที่เราได้ฟังแนวคิดแบบวิถีเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติเป็นรอบแรกมันก็ทำให้หนังมันเมกเซนส์ดี แต่พอมีครั้งที่สาม..สี่..ห้า เข้ามามันก็เกิดความรู้สึกว่าสรุปเอ็งจดบทพูดมาแค่นี้ใช่มั้ย? นี่ขนาดตัวเอกสองคนยังมีบทพูดไม่พอก็ไม่ต้องไปพะวงถึงตัวประกอบ ABC ในทีมของโบดี้ห์เลย ไม่ทันจะแจ้งเกิดก็ตายร่วงกราวกันไปหมดก่อน
นี่ยังไม่บ่นถึงความฟักอัพของบทหนังและการตัดต่อฉากเนื้อเรื่อง เช่นยกตัวอย่างมีฉากที่พระเอกโดนเจ้านายด่าเพราะเอาเวลาสอบสวนไปฟันหญิง ส่วนเจ้านายรู้ได้ไงน่ะหรอ? ก็อั๊วะติดกล้องไว้ทั่วบ้านเป้าหมายแล้วยังไงล่ะ! ... คือถ้ามันจะหลวมขนาดแปะกล้องได้ทั่วบ้าน ทั่วทุกมุมขนาดนั้นเอ็งจะใช้ยูทาห์ไปสืบหาหอกอะไรฟะ? หรืออีกฉากที่มีเพื่อนโบดี้ห์พลัดตกเขาตาย ตัดฉากมาทุกคนก็โศกเศร้าแล้วก็ตั้งกองไฟไว้เพื่อเผาศพเพื่อนแบบธรรมชาติ .. แล้วหนังก็ตัดมาที่ฉากปาร์ตี้เมาแหลก ณ บ้านเดิม และกองไฟเดิมที่ตั้งอยู่กลางกระท่อม คือสรุปเอ็งปาร์ตี้กันรอบกองไฟเผาศพใช่มั้ย ฮัลโหล?
และถ้าพูดถึงฉากแอคชั่นมันก็ยังอั้นๆไปไม่ไกลเท่าไหร่ เหมือนใส่เข้ามาให้ครบๆองค์ไปงั้นๆ แล้วก็ไม่ได้เกี่ยวพันกับกีฬาผาดโผนซักเท่าไหร่ ในภาคส่วนตำรวจเองก็บทน้อยมากกกกก คือไม่เข้าใจว่า FBI ทั้งกรมไม่ได้ take action อะไรเลยแต่ฝากฝังให้ยูทาห์ไล่ล่าและจับกุมคนร้ายคนเดียวทั้งเรื่องจริงดิ? คือถ้าว่ากันตามตรงก็ง่อยระยะสุดท้ายมาก
Point Break ฉบับ 2015 นี้อาจฉีกแนวได้ห่างไกลจากภาคต้นฉบับมาเป็นหนังสารคดีรักโลกแบบตะกุกตะกักนิดหน่อย ซึ่งส่วนดีก็คืองานภาพและฉากสวยๆที่เราพึงได้รับชมที่มาพร้อมกับบทง่อยๆและตัวละครที่ตื้นเขินเหมือนขันน้ำในวัด หากเทียบอารมณ์ก็อาจจะคล้ายๆ ฟาสต์แอนด์ฟิวเรียส 7 แต่ก็ยังไม่มีจุดขายของตัวละครที่แข็งแกร่งเท่า ... โดยรวมแล้วก็ดูเพลินๆได้ จะไม่บอกว่าเสียดายเงินนะ เพราะภาพมันสวยและหวาดเสียวจริงๆ หยวนๆให้ละกัน
ขอเชิญติดตามรีวิว/ข่าวสารและร่วมกันพูดคุยเรื่องหนังได้ที่เพจครับ : https://www.facebook.com/expensivemovie