สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 6
หลายท่านช่วยคำนวณให้... ช่วยบอกแนวคิด VI ละกัน
VI ไม่ใช่การซื้อหุ้นเพียงเพราะเพราะมีปันผล
VI ไม่เกี่ยวกับการซื้อหุ้นแล้วถือสั้นหรือยาว (อย่างที่มีคนเข้าใจผิดเยอะ หรือบางคนก็พอเข้าใจ แต่เอามาพูดเล่นแก้เซ็งกัน ตอนซื้อพลาดแล้วติดดอย)
VI คือการคิดในมูลค่าเทียบกับสิ่งที่น่าจะได้รับกลับคืนมา โดยการประเมินราคาปัจจุบันว่าที่ซื้อขายยังต่ำ (มูลค่าตลาด) และประเมินมูลค่ากิจการทั้งปัจจุบันและอนาคต น่าจะสูงกว่าที่ราคาตลาดให้ได้
มูลค่าที่หมายถึง value = คุณค่าที่ได้รับจากการดำเนินกิจการ
บางส่วน มันมีส่วนคล้ายการ "เก็ง" อนาคต แต่เก็งแบบหาข้อมูลรอบด้านถ้วนถี่
ใครจะประเมินข้อมูลลึก-จะตื้นขนาดไหน ก็แล้วแต่ขึ้นกับความสามารถ และความตั้งใจของแต่ละบุคคล เพราะองค์ประกอบบางอย่าง มันไม่ใช่เรื่องเถรตรงแสดงออกมาชัดแบบ "ราคาหุ้น" แต่ต้องประเมิน "คุณภาพ" ที่มีทั้งตัวเลขและบางเรื่องไม่มีตัวเลข และบางเรื่องเป็นแนวโน้ม ที่ต้องประเมิน+ประมาณการจากการทำงานไปหาผลงาน
ปันผล เป็นส่วนหนึ่งในมูลค่านั่นก็จริง แต่หุ้นมีปันผล ไม่ได้หมายถึงจะเป็นหุ้น VI ได้ ต้องเอามาคิดประเมินโดยรวม
ถ้าซื้อแพงแล้วไม่คุ้ม ปันผลน้อยนิด แถมไม่เติบโต บางกิจการอาจถือมีความเสี่ยงมากกว่าการลงทุนประเภทอื่นก็ได้ เพราะกิจการบางประเภท เศรษฐกิจตก ราคาก็ตกตาม ปันผลที่น้อย Capital Gain ก็น้อย
คุณเอาเงินฝากธนาคาร มานั่งคำนวณแล้วพอใจกับปันผลที่ได้รับ
หรือซื้อพันธบัตร พอใจกับตัวเลขที่ได้
... ก็เป็น value investment ได้
(อันนี้ ถึงจะเป็นการยกตัวอย่าง ในความเป็นจริง ก็สามารถแบ่งบางส่วนไปหุ้น บางส่วนในธนาคาร บางส่วนไปพันธบัตร ความเสียงจากการลงทุนแต่ละอย่าง เสี่ยงมาก-น้อยต่า่งกัน ... เรียกภาษาทางการลงทุนว่า Asset Allocation/ Portfolio Management ลงทุนในสินทรัพย์ต่างกัน โดยแบ่งเงินทุนไปลงให้น้ำหนัก % ต่างกัน)
เพิ่มเติมแนวคิดให้....... ในชีวิตประจำวันจะซื้อยาสีฟันซักหลอด ก็เป็น Value Investor ได้
มะด้ายพูดเล่นนา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ที่ไม่ใช่ใครๆ ก็ทำสำเร็จ เพราะความยากของ value investment อยู่ตรงที่ว่าจะเปรียบเทียบได้เที่ยงตรง ได้ผลลัพธ์ออกมาแน่แท้ขนาดไหน และองคประกอบของ value หลายอย่าง ก็เป็นสิ่งที่ฝรั่งเรียกว่า "subjective" และเป็น "qualitative" คือเป็นแง่คุณภาพ ที่ไม่ใช่ออกมาเป็นตัวเลขได้ตรงๆ ไม่ได้แม่นยำ เป็นทศนิยมกี่จุด ... แต่ก็ต้องประเมิน ว่าส่งผลออกมาต่อ value ที่เป็นตัวเลข ที่เป็นปัจจุบันซักเท่าไหร่ อนาคตซักเท่าไหร่
ของ "ราคาต่ำ" ถือว่าเป็น ของ "ราคาแพง" ไปได้จริง
อักตัวอย่างสินค้าจีน ใช้ปีเดียวพัง เทียบกับของฝรั่ง ใช้ 20 ปีพัง ของฝรั่งราคาสูงกว่า 2 เท่า แต่เอามาใช้ให้คุ้มนานกว่า
ของฝรั่งชิ้นนั้น จึงถือว่า value สูงกว่าของจีน
โดยสรุป... จะเห็นว่า value หรือ "คุณค่า"/"มูลค่า" มันไม่ใช่แค่เรื่อง "ราคา"
ของที่ซื้อ "ราคาสูง" อาจถือว่าเป็น "ของถูก"
ถูกกว่าของ "ราคาต่ำ" แต่ให้คุณค่ากับเรา "ไม่คุ้มกับที่จ่าย" ไปได้
จึงกำเนิดประโยคทองที่ว่า "Price is what you pay. Value is what you get.", Warren Buffett...
VI ไม่ใช่การซื้อหุ้นเพียงเพราะเพราะมีปันผล
VI ไม่เกี่ยวกับการซื้อหุ้นแล้วถือสั้นหรือยาว (อย่างที่มีคนเข้าใจผิดเยอะ หรือบางคนก็พอเข้าใจ แต่เอามาพูดเล่นแก้เซ็งกัน ตอนซื้อพลาดแล้วติดดอย)
VI คือการคิดในมูลค่าเทียบกับสิ่งที่น่าจะได้รับกลับคืนมา โดยการประเมินราคาปัจจุบันว่าที่ซื้อขายยังต่ำ (มูลค่าตลาด) และประเมินมูลค่ากิจการทั้งปัจจุบันและอนาคต น่าจะสูงกว่าที่ราคาตลาดให้ได้
มูลค่าที่หมายถึง value = คุณค่าที่ได้รับจากการดำเนินกิจการ
บางส่วน มันมีส่วนคล้ายการ "เก็ง" อนาคต แต่เก็งแบบหาข้อมูลรอบด้านถ้วนถี่
ใครจะประเมินข้อมูลลึก-จะตื้นขนาดไหน ก็แล้วแต่ขึ้นกับความสามารถ และความตั้งใจของแต่ละบุคคล เพราะองค์ประกอบบางอย่าง มันไม่ใช่เรื่องเถรตรงแสดงออกมาชัดแบบ "ราคาหุ้น" แต่ต้องประเมิน "คุณภาพ" ที่มีทั้งตัวเลขและบางเรื่องไม่มีตัวเลข และบางเรื่องเป็นแนวโน้ม ที่ต้องประเมิน+ประมาณการจากการทำงานไปหาผลงาน
ปันผล เป็นส่วนหนึ่งในมูลค่านั่นก็จริง แต่หุ้นมีปันผล ไม่ได้หมายถึงจะเป็นหุ้น VI ได้ ต้องเอามาคิดประเมินโดยรวม
ถ้าซื้อแพงแล้วไม่คุ้ม ปันผลน้อยนิด แถมไม่เติบโต บางกิจการอาจถือมีความเสี่ยงมากกว่าการลงทุนประเภทอื่นก็ได้ เพราะกิจการบางประเภท เศรษฐกิจตก ราคาก็ตกตาม ปันผลที่น้อย Capital Gain ก็น้อย
คุณเอาเงินฝากธนาคาร มานั่งคำนวณแล้วพอใจกับปันผลที่ได้รับ
หรือซื้อพันธบัตร พอใจกับตัวเลขที่ได้
... ก็เป็น value investment ได้
(อันนี้ ถึงจะเป็นการยกตัวอย่าง ในความเป็นจริง ก็สามารถแบ่งบางส่วนไปหุ้น บางส่วนในธนาคาร บางส่วนไปพันธบัตร ความเสียงจากการลงทุนแต่ละอย่าง เสี่ยงมาก-น้อยต่า่งกัน ... เรียกภาษาทางการลงทุนว่า Asset Allocation/ Portfolio Management ลงทุนในสินทรัพย์ต่างกัน โดยแบ่งเงินทุนไปลงให้น้ำหนัก % ต่างกัน)
เพิ่มเติมแนวคิดให้....... ในชีวิตประจำวันจะซื้อยาสีฟันซักหลอด ก็เป็น Value Investor ได้
มะด้ายพูดเล่นนา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ที่ไม่ใช่ใครๆ ก็ทำสำเร็จ เพราะความยากของ value investment อยู่ตรงที่ว่าจะเปรียบเทียบได้เที่ยงตรง ได้ผลลัพธ์ออกมาแน่แท้ขนาดไหน และองคประกอบของ value หลายอย่าง ก็เป็นสิ่งที่ฝรั่งเรียกว่า "subjective" และเป็น "qualitative" คือเป็นแง่คุณภาพ ที่ไม่ใช่ออกมาเป็นตัวเลขได้ตรงๆ ไม่ได้แม่นยำ เป็นทศนิยมกี่จุด ... แต่ก็ต้องประเมิน ว่าส่งผลออกมาต่อ value ที่เป็นตัวเลข ที่เป็นปัจจุบันซักเท่าไหร่ อนาคตซักเท่าไหร่
ของ "ราคาต่ำ" ถือว่าเป็น ของ "ราคาแพง" ไปได้จริง
อักตัวอย่างสินค้าจีน ใช้ปีเดียวพัง เทียบกับของฝรั่ง ใช้ 20 ปีพัง ของฝรั่งราคาสูงกว่า 2 เท่า แต่เอามาใช้ให้คุ้มนานกว่า
ของฝรั่งชิ้นนั้น จึงถือว่า value สูงกว่าของจีน
โดยสรุป... จะเห็นว่า value หรือ "คุณค่า"/"มูลค่า" มันไม่ใช่แค่เรื่อง "ราคา"
ของที่ซื้อ "ราคาสูง" อาจถือว่าเป็น "ของถูก"
ถูกกว่าของ "ราคาต่ำ" แต่ให้คุณค่ากับเรา "ไม่คุ้มกับที่จ่าย" ไปได้
จึงกำเนิดประโยคทองที่ว่า "Price is what you pay. Value is what you get.", Warren Buffett...
แสดงความคิดเห็น
ถ้าเป็น VI ต้องการเงินปันผลเดือนละ1หมื่นบาท ต้องซื้อหุ้นPB กี่หุ้น กี่บาทค่ะ สอนวิธีคำนวนหน่อย ใช้ราคาปัจจุบัน