วิเคราะห์/วิจารณ์ Tag : อวสานโมเอะ
พลังเหนือธรรมชาติ
อย่างไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลงหนังเริ่มต้นด้วยการสร้าง
“ลมอัปรียมาร” ล้างผลาญนักเรียนผู้หญิง โดยลมเป็นดั่งเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ มีอำนาจมากเกินไปที่วัยรุ่นหญิง
“มิตสึโกะ” จะหาวิธีกำราบได้ ลมจึงเหมือนสิ่งไร้เหตุผล ไม่ต่างจากภัยธรรมชาติที่จ้องราวีโดยไม่สามารถแม้แต่ต่อกรหรือถามหาเหตุผลได้ ว่าเพราะอะไรมันถึงจ้องมาทำร้ายเรานัก
เมื่อลมมันมีอำนาจบาตรใหญ่มากเกินไป ยากที่
“มิตสึโกะ” จะต่อกรได้ วิธีเดียวซึ่งเป็นหลักคิดพื้นฐานของมนุษย์คือการ
“ยอมรับชะตามกรรม” ขนนกหรือนุ่น
(หมอน) จึงถูกใช้เข้ามาเป็นสัญลักษณ์ของการที่
“มิตสึโกะ” หรือตัวละครหญิงทุกตัวในเรื่องต้องยอมรับชะตากรรม ขนนกมีรูปลักษณ์พลิ้วไหวตามกระแสแรงลม จึงเหมือนการต้องยอมรับชะตากรรมว่ามีสิ่งที่มีอำนาจใหญ่กำลังพัดพาชีวิตเราอยู่ โดยที่เราไม่สามารถออกแรงต้านทานได้
ภาพยนตร์
Forrest Gump เป็นภาพยนตร์เรื่องดังที่ใช้สัญลักษณ์เป็นขนนกเช่นเดียวกัน ซึ่งสื่อสารถึงชีวิตที่ปล่อยไปตามแรงลม
(ชะตากรรรมของชีวิต) โดยไม่จำเป็นต้องควานหาเหตุผลหรือแรงจูงใจมากนัก เพียงแค่เราทำสิ่งที่เราเป็นอยู่ปัจจุบันให้ดีที่สุด แล้วสิ่งดีงามจะตามมาเอง
Forrest Gump จึงเป็นหนังสนับสนุนแนวคิดชะตานิยม หรืออนุรักษ์นิยมในแง่ที่ว่าให้อยู่ตามกระแสแรงลม
(เป็นทหารก็เป็นให้ดีที่สุดแล้วจะชีวิตจะดีงามเหมือนกัมฟ์เอง)
สำหรับ
“มิตสึโกะ” ในเรื่อง
Tag นั้นถ้ายังคิดด้วยหลักชะตานิยมก็เท่ากับสมยอมให้
“ลมอัปรียมาร” คอยตามล้างตามผลาญ หรือยอมให้ชะตาชีวิตของตัวเองผกผันไปได้ตามที่
“ใครไม่รู้” ต้องการ ซึ่ง
“ใครไม่รู้” ตามหลักศาสนาก็ต้องเป็นพระเจ้าอย่างแน่นอน
พระเจ้าในโลกแห่งเรื่องแต่ง
เมื่อพระเจ้าในโลกแห่งความจริงก็ถูกกัดกร่อนลงไป เหลือเป็นเพียงความเชื่อ
(ส่วนบุคคล) ส่วนพระเจ้าในโลกของภาพยนตร์ หรือเรื่องแต่งนั้นเห็นจะเป็นใครไม่ได้เลย นอกจากผู้สร้าง
(ผู้กำกับ) เป็นผู้ประดิษฐ์สร้างโลกของเรื่องแต่ง
(ภาพยนตร์) ขึ้นมา แต่ท่าทีของผู้สร้างกับเรื่องแต่งมักจะแยกขาดออกจากกัน นั่นคือผู้สร้าง สร้างโลกจำลองขึ้นมา สร้างตัวละครให้มีชีวิต และดำเนินเหตุการณ์เสมือนว่าเรื่องแต่งนั่นเป็นโลกแห่งความจริง ดังนั้นยิ่งทำให้คนดูเชื่อว่าสิ่งที่ดูนั้น
“สมจริง” ได้มากเท่าไหร่ ประหนึ่งโลกแห่งความจริง เท่ากับเป็นความประสบความสำเร็จของผู้สร้างอย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตามยังผู้มีสร้างอีกกลุ่มหนึ่ง ที่พยายามสร้างโลกจำลองขึ้นมา โดยที่ไม่ได้แยกขาดระหว่างเรื่องแต่ง
(ภาพยนตร์) กับผู้สร้างเรื่องที่ตัวเองกำลังแต่งขึ้นมา หรือพยายามทำให้คนดูตระหนักได้เสมอว่า สิ่งที่ดูนั้นคือตัวละคร ที่ถูกสร้างขึ้นโดยผู้สร้าง
(ผู้กำกับ) ซึ่งเป็นพระเจ้าของภาพยนตร์ การที่เราตระหนักได้ว่ามีผู้สร้าง สร้างอยู่ ก็เหมือนกับว่าเราเชื่อว่าในโลกของภาพยนตร์มีพระเจ้าควบคุมอยู่เสมอ
คราวนี้พระเจ้าของเรื่อง
Tag ในความเป็นจริงก็คือผู้กำกับ
“ชิออน โซโนะ” นั่นเอง เพียงแต่ว่า เมื่อเนื้อเรื่องพูดถึงการสร้างโลกแห่งเกมส์ขึ้นมาอีกทอดหนึ่ง ผู้สร้าง
“โซโนะ” ได้สถาปนาผู้สร้างอีกทอดหนึ่งให้เข้าไปอยู่ในเนื้อเรื่อง เท่ากับว่า
Tag เป็นภาพยนตร์ที่มีผู้สร้าง 2 ชั้น มีพระเจ้าสององค์ องค์แรกคือผู้กำกับเองที่ควบคุมโลกทั้งหมดของภาพยนตร์ กับองค์ที่ 2 ผู้ชายที่ควบคุมโลกของเกมส์ที่มีหญิงสาว
“มิตสิโกะ” และผองเพื่อนอาศัยอยู่
และในฐานะที่มีผู้สร้างสององค์ พระเจ้าตัวจริง
(โซโนะ) จึงสร้างโลกใบนี้ขึ้นมาอย่างไรก็ได้ แต่ทำให้คนดูเชื่อว่านั้นเป็นโลกที่ถูกสร้างขึ้นโดย
“ผู้ชาย” ที่สร้างโลกให้
“ผู้หญิง” ตกมาเป็นเหยื่อแห่งความบันเทิงเริงใจของตนเอง แต่โลกระหว่างผู้ชายที่สร้างเกมส์ ให้
“มิตสิโกะ” เล่นนั้น เป็นโลกที่สื่อสารถึงกันได้ ซึ่งทำให้มิตสิโกะเริ่มเข้าใจว่า
“ชะตากรรม” ที่ตัวเองถูกติดตั้งนั้นเป็นชะตากรรมที่ตัวเธอถูกสร้างขึ้นมาด้วยผู้ชายอีกทอดหนึ่ง ตลอดเรื่องจึงเป็นการต่อสู้ของ
“มิตสิโกะ” ที่พยายามจะเอาชนะชะตากรรมของเธอเอง โดยการหลบหนี หลุดรอด ไปจากชะตากรรมที่เธอถูกสร้างขึ้นมา
โลกของผู้ชาย (Male’s World)
ด้วยเหตุที่ภาพยนตร์กำลังวิพากษ์โลกของ
“ผู้ชาย” ที่พยายามสร้างให้ “ผู้หญิง” เป็นเพียงของเล่นบันเทิงใจ หรือเป็นวัตถุแฟนตาซีทางเพศชายในดินแดนโอตาคุ จึงเป็นเหตุให้ภาพยนตร์มีสายตาแห่งเพศชายเป็นใหญ่เสมอ เพราะมันเป็นสายตาของผู้สร้างโลกในเกมส์ ซึ่งสร้างสิ่งปรนเปรอสนองตัณหาตนเอง ไม่ว่าจะเป็น มุมกล้องที่ถ่ายต่ำจนเห็นกางเกงในหญิงสาว หรือทำให้ผู้หญิงตกอยู่ในที่ทางไร้ทางสู้ เป็นการกดขี่ผู้หญิงด้วยการใช้เกมส์เป็นเครื่องมืออย่างถาวร
การที่ตัวภาพยนตร์ใช้สายตาของผู้สร้างที่ต้องการกดผู้หญิงให้เป็นทาสแห่งความบันเทิง ผลที่ได้จึงทำให้คนดูเอง ก็ถูกบังคับให้ดูภาพที่เป็นไปในทางทำให้ผู้หญิงเป็นของเล่น ซึ่งจะไม่ถูกตั้งคำถามใดๆ ถ้ามันเป็นหนังที่สนองเพศชายเป็นแบบนั้นตลอดเรื่อง แต่สำหรับ
Tag นั้นเป็นหนังที่หยิบยืมรูปแบบสไตล์
(เพื่อสนองเพศชาย) แต่กลับมาวิพากษ์ตัวเองหรือสายตาของผู้ดูอีกที และพยายามนำเสนอให้เห็นถึงความอึดอัดของผู้หญิงที่ตกอยู่ในสายตาที่เธอไม่สามารถสังเกตได้
(ก็เป็นสายตาของคนที่กำลังดูหนังเรื่อง Tag อยู่)
หรือกล่าวได้ว่าพวกเธอตระหนักถึงสิ่งลี้ลับที่กำลังจับจ้องเธออยู่ และเธอกำลังหาวิธีหลบหนี เพราะทันทีที่คนดู ดูหนังเรื่องนี้อยู่ ก็ถูกทำให้เป็นสายตาแห่งความกดขี่ของเพศหญิงทันที มันจึงเป็นหนังที่ออกแบบมาเล่นกับสายตาคนดู เราจะเห็นว่ากล้องโดรนในภาพยนตร์เรื่องนี้ หลายครั้งที่อยู่ที่สูงมากและลดต่ำลงมาไล่ตามผู้หญิง หรือทำในกรณีตรงข้ามคือจากที่ต่ำเคลื่อนย้ายไปที่สูง ในชอตเดียว สายตาคนดูถูกโยกย้ายจากทั้งทะลวงเข้าหากางเกงในหญิงสาว ไปจนถึงขึ้นอยู่สูงเหนือพื้นดิน คือเป็นทั้งภัยลี้ลับที่จ้องมองพวกเธอและยังเป็นเหมือนลมที่กำลังจ้องเล่นงานเธออีกด้วย ผู้หญิงจึงมีหน้าที่เหมือนวัตถุทั้งสนองภาพตัณหากามารมณ์ของเพศชาย และยังถูกจ้องเล่นงานจากลมซึ่งเป็นสายตาคนดู คนดูถูกทำให้สวมรอยเป็นผู้เล่นเกมส์ หรือเป็นสักขีพยานในการกดขี่ผู้หญิงอีกทางหนึ่ง ซึ่งผู้หญิงกำลังจะหาวิธีเอาตัวรอดออกมาให้ได้
สายตาของคนดู
ฉากจบมาถึง เมื่อสุดท้ายโลกของผู้สร้าง
(เกมส์)และตัวละครผู้ถูกสร้าง
(มิตสึโกะ) มาบรรจบกันกลายเป็นโลกเดียวกันซึ่งทำให้มันสะดุดอยู่พอควร เพราะตลอดหนังทั้งเรื่องเป็นสายตาของผู้สร้างเกมส์และสายตาของคนดูเป็นเหมือนสายตาคนเดียวกัน แต่เมื่อสายตาของคนดูถูกทอดทิ้ง เมื่อทำให้เห็นว่ามีตาแก่ผู้สร้างเกมส์เป็นสายตาของผู้สร้างอย่างแท้จริง คนดูจึงถูกผลักออกและกลายเป็นเพียงผู้ดูเท่านั้น ไม่ได้มีส่วนร่วมเหมือนในช่วงต้นที่
“มิตสึโกะ” ไม่ทราบแน่ชัดว่าตัวเองกำลังเล่นกับใคร ซึ่งการที่เธอกำลังเล่นกับสายตาที่มองไม่เห็น เหนือธรรมชาติ และไม่สามารถทำลายได้ นั่นเปรียบเหมือนสายตาของคนดูนั่นเอง
จริงๆ แล้ว มีอีกหลายประเด็นที่ทำให้เห็นว่า การที่หนังสร้างสายตาแห่งเพศชาย ด้วยการรุกล้ำความเป็นหญิงหรือทรีตผู้หญิงเป็นวัตถุพึงพอใจของเพศชายเท่านั้น แต่เมื่อมิตสึโกะเริ่มตั้งคำถามต่อชะตากรรมบางสิ่งก็ทำให้เห็นสายตาของคนดูผ่านการถ่ายภาพที่เริ่มมีความอึดอัด โดยเฉพาะการใช้ภาพสโลว์เพื่อสร้างความคลุมเครือในอารมณ์ของมิตสึโกะหลายครั้ง มันจึงสร้างความเคลือบแคลงสงสัยต่อคนดูเอง รวมทั้งผู้หญิงในเรื่องก็แสดงนัยต่อต้าน
“ชะตากรรมลิขิต” มากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งที่โลกในนั้นเป็นโลกของผู้หญิงมีตัวละครหญิง มีเรื่องราวของเพื่อนสาว ซึ่งดูมีความจริงใจ แต่โลกของผู้หญิงกลับถูกนำเสนอผ่านสายตาของเพศชายอีกที มันจึงเป็นรอยต่อระหว่างโลกของผู้หญิงที่ถูกครอบงำด้วยสายตาของเพศชายซึ่งกำลังปกครองโลกของเธออยู่ ทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว และพวกเธอไม่สามารถหลุดออกไปโลกแบบนี้ได้เลย นอกเสียจากว่าเธอจะต่อต้านเท่านั้น
อ่านต่อ
(ด้านล่าง)
[The Film Analysis] "Tag (อวสานโมเอะ)" อย่าให้ชีวิตกลืนกินเธอ
อย่างไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลงหนังเริ่มต้นด้วยการสร้าง “ลมอัปรียมาร” ล้างผลาญนักเรียนผู้หญิง โดยลมเป็นดั่งเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ มีอำนาจมากเกินไปที่วัยรุ่นหญิง “มิตสึโกะ” จะหาวิธีกำราบได้ ลมจึงเหมือนสิ่งไร้เหตุผล ไม่ต่างจากภัยธรรมชาติที่จ้องราวีโดยไม่สามารถแม้แต่ต่อกรหรือถามหาเหตุผลได้ ว่าเพราะอะไรมันถึงจ้องมาทำร้ายเรานัก
เมื่อลมมันมีอำนาจบาตรใหญ่มากเกินไป ยากที่ “มิตสึโกะ” จะต่อกรได้ วิธีเดียวซึ่งเป็นหลักคิดพื้นฐานของมนุษย์คือการ “ยอมรับชะตามกรรม” ขนนกหรือนุ่น(หมอน) จึงถูกใช้เข้ามาเป็นสัญลักษณ์ของการที่ “มิตสึโกะ” หรือตัวละครหญิงทุกตัวในเรื่องต้องยอมรับชะตากรรม ขนนกมีรูปลักษณ์พลิ้วไหวตามกระแสแรงลม จึงเหมือนการต้องยอมรับชะตากรรมว่ามีสิ่งที่มีอำนาจใหญ่กำลังพัดพาชีวิตเราอยู่ โดยที่เราไม่สามารถออกแรงต้านทานได้
ภาพยนตร์ Forrest Gump เป็นภาพยนตร์เรื่องดังที่ใช้สัญลักษณ์เป็นขนนกเช่นเดียวกัน ซึ่งสื่อสารถึงชีวิตที่ปล่อยไปตามแรงลม (ชะตากรรรมของชีวิต) โดยไม่จำเป็นต้องควานหาเหตุผลหรือแรงจูงใจมากนัก เพียงแค่เราทำสิ่งที่เราเป็นอยู่ปัจจุบันให้ดีที่สุด แล้วสิ่งดีงามจะตามมาเอง Forrest Gump จึงเป็นหนังสนับสนุนแนวคิดชะตานิยม หรืออนุรักษ์นิยมในแง่ที่ว่าให้อยู่ตามกระแสแรงลม (เป็นทหารก็เป็นให้ดีที่สุดแล้วจะชีวิตจะดีงามเหมือนกัมฟ์เอง)
สำหรับ “มิตสึโกะ” ในเรื่อง Tag นั้นถ้ายังคิดด้วยหลักชะตานิยมก็เท่ากับสมยอมให้ “ลมอัปรียมาร” คอยตามล้างตามผลาญ หรือยอมให้ชะตาชีวิตของตัวเองผกผันไปได้ตามที่ “ใครไม่รู้” ต้องการ ซึ่ง “ใครไม่รู้” ตามหลักศาสนาก็ต้องเป็นพระเจ้าอย่างแน่นอน
เมื่อพระเจ้าในโลกแห่งความจริงก็ถูกกัดกร่อนลงไป เหลือเป็นเพียงความเชื่อ(ส่วนบุคคล) ส่วนพระเจ้าในโลกของภาพยนตร์ หรือเรื่องแต่งนั้นเห็นจะเป็นใครไม่ได้เลย นอกจากผู้สร้าง (ผู้กำกับ) เป็นผู้ประดิษฐ์สร้างโลกของเรื่องแต่ง(ภาพยนตร์) ขึ้นมา แต่ท่าทีของผู้สร้างกับเรื่องแต่งมักจะแยกขาดออกจากกัน นั่นคือผู้สร้าง สร้างโลกจำลองขึ้นมา สร้างตัวละครให้มีชีวิต และดำเนินเหตุการณ์เสมือนว่าเรื่องแต่งนั่นเป็นโลกแห่งความจริง ดังนั้นยิ่งทำให้คนดูเชื่อว่าสิ่งที่ดูนั้น “สมจริง” ได้มากเท่าไหร่ ประหนึ่งโลกแห่งความจริง เท่ากับเป็นความประสบความสำเร็จของผู้สร้างอย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตามยังผู้มีสร้างอีกกลุ่มหนึ่ง ที่พยายามสร้างโลกจำลองขึ้นมา โดยที่ไม่ได้แยกขาดระหว่างเรื่องแต่ง(ภาพยนตร์) กับผู้สร้างเรื่องที่ตัวเองกำลังแต่งขึ้นมา หรือพยายามทำให้คนดูตระหนักได้เสมอว่า สิ่งที่ดูนั้นคือตัวละคร ที่ถูกสร้างขึ้นโดยผู้สร้าง(ผู้กำกับ) ซึ่งเป็นพระเจ้าของภาพยนตร์ การที่เราตระหนักได้ว่ามีผู้สร้าง สร้างอยู่ ก็เหมือนกับว่าเราเชื่อว่าในโลกของภาพยนตร์มีพระเจ้าควบคุมอยู่เสมอ
คราวนี้พระเจ้าของเรื่อง Tag ในความเป็นจริงก็คือผู้กำกับ “ชิออน โซโนะ” นั่นเอง เพียงแต่ว่า เมื่อเนื้อเรื่องพูดถึงการสร้างโลกแห่งเกมส์ขึ้นมาอีกทอดหนึ่ง ผู้สร้าง “โซโนะ” ได้สถาปนาผู้สร้างอีกทอดหนึ่งให้เข้าไปอยู่ในเนื้อเรื่อง เท่ากับว่า Tag เป็นภาพยนตร์ที่มีผู้สร้าง 2 ชั้น มีพระเจ้าสององค์ องค์แรกคือผู้กำกับเองที่ควบคุมโลกทั้งหมดของภาพยนตร์ กับองค์ที่ 2 ผู้ชายที่ควบคุมโลกของเกมส์ที่มีหญิงสาว “มิตสิโกะ” และผองเพื่อนอาศัยอยู่
และในฐานะที่มีผู้สร้างสององค์ พระเจ้าตัวจริง (โซโนะ) จึงสร้างโลกใบนี้ขึ้นมาอย่างไรก็ได้ แต่ทำให้คนดูเชื่อว่านั้นเป็นโลกที่ถูกสร้างขึ้นโดย “ผู้ชาย” ที่สร้างโลกให้ “ผู้หญิง” ตกมาเป็นเหยื่อแห่งความบันเทิงเริงใจของตนเอง แต่โลกระหว่างผู้ชายที่สร้างเกมส์ ให้ “มิตสิโกะ” เล่นนั้น เป็นโลกที่สื่อสารถึงกันได้ ซึ่งทำให้มิตสิโกะเริ่มเข้าใจว่า “ชะตากรรม” ที่ตัวเองถูกติดตั้งนั้นเป็นชะตากรรมที่ตัวเธอถูกสร้างขึ้นมาด้วยผู้ชายอีกทอดหนึ่ง ตลอดเรื่องจึงเป็นการต่อสู้ของ “มิตสิโกะ” ที่พยายามจะเอาชนะชะตากรรมของเธอเอง โดยการหลบหนี หลุดรอด ไปจากชะตากรรมที่เธอถูกสร้างขึ้นมา
ด้วยเหตุที่ภาพยนตร์กำลังวิพากษ์โลกของ “ผู้ชาย” ที่พยายามสร้างให้ “ผู้หญิง” เป็นเพียงของเล่นบันเทิงใจ หรือเป็นวัตถุแฟนตาซีทางเพศชายในดินแดนโอตาคุ จึงเป็นเหตุให้ภาพยนตร์มีสายตาแห่งเพศชายเป็นใหญ่เสมอ เพราะมันเป็นสายตาของผู้สร้างโลกในเกมส์ ซึ่งสร้างสิ่งปรนเปรอสนองตัณหาตนเอง ไม่ว่าจะเป็น มุมกล้องที่ถ่ายต่ำจนเห็นกางเกงในหญิงสาว หรือทำให้ผู้หญิงตกอยู่ในที่ทางไร้ทางสู้ เป็นการกดขี่ผู้หญิงด้วยการใช้เกมส์เป็นเครื่องมืออย่างถาวร
การที่ตัวภาพยนตร์ใช้สายตาของผู้สร้างที่ต้องการกดผู้หญิงให้เป็นทาสแห่งความบันเทิง ผลที่ได้จึงทำให้คนดูเอง ก็ถูกบังคับให้ดูภาพที่เป็นไปในทางทำให้ผู้หญิงเป็นของเล่น ซึ่งจะไม่ถูกตั้งคำถามใดๆ ถ้ามันเป็นหนังที่สนองเพศชายเป็นแบบนั้นตลอดเรื่อง แต่สำหรับ Tag นั้นเป็นหนังที่หยิบยืมรูปแบบสไตล์(เพื่อสนองเพศชาย) แต่กลับมาวิพากษ์ตัวเองหรือสายตาของผู้ดูอีกที และพยายามนำเสนอให้เห็นถึงความอึดอัดของผู้หญิงที่ตกอยู่ในสายตาที่เธอไม่สามารถสังเกตได้ (ก็เป็นสายตาของคนที่กำลังดูหนังเรื่อง Tag อยู่)
หรือกล่าวได้ว่าพวกเธอตระหนักถึงสิ่งลี้ลับที่กำลังจับจ้องเธออยู่ และเธอกำลังหาวิธีหลบหนี เพราะทันทีที่คนดู ดูหนังเรื่องนี้อยู่ ก็ถูกทำให้เป็นสายตาแห่งความกดขี่ของเพศหญิงทันที มันจึงเป็นหนังที่ออกแบบมาเล่นกับสายตาคนดู เราจะเห็นว่ากล้องโดรนในภาพยนตร์เรื่องนี้ หลายครั้งที่อยู่ที่สูงมากและลดต่ำลงมาไล่ตามผู้หญิง หรือทำในกรณีตรงข้ามคือจากที่ต่ำเคลื่อนย้ายไปที่สูง ในชอตเดียว สายตาคนดูถูกโยกย้ายจากทั้งทะลวงเข้าหากางเกงในหญิงสาว ไปจนถึงขึ้นอยู่สูงเหนือพื้นดิน คือเป็นทั้งภัยลี้ลับที่จ้องมองพวกเธอและยังเป็นเหมือนลมที่กำลังจ้องเล่นงานเธออีกด้วย ผู้หญิงจึงมีหน้าที่เหมือนวัตถุทั้งสนองภาพตัณหากามารมณ์ของเพศชาย และยังถูกจ้องเล่นงานจากลมซึ่งเป็นสายตาคนดู คนดูถูกทำให้สวมรอยเป็นผู้เล่นเกมส์ หรือเป็นสักขีพยานในการกดขี่ผู้หญิงอีกทางหนึ่ง ซึ่งผู้หญิงกำลังจะหาวิธีเอาตัวรอดออกมาให้ได้
ฉากจบมาถึง เมื่อสุดท้ายโลกของผู้สร้าง(เกมส์)และตัวละครผู้ถูกสร้าง(มิตสึโกะ) มาบรรจบกันกลายเป็นโลกเดียวกันซึ่งทำให้มันสะดุดอยู่พอควร เพราะตลอดหนังทั้งเรื่องเป็นสายตาของผู้สร้างเกมส์และสายตาของคนดูเป็นเหมือนสายตาคนเดียวกัน แต่เมื่อสายตาของคนดูถูกทอดทิ้ง เมื่อทำให้เห็นว่ามีตาแก่ผู้สร้างเกมส์เป็นสายตาของผู้สร้างอย่างแท้จริง คนดูจึงถูกผลักออกและกลายเป็นเพียงผู้ดูเท่านั้น ไม่ได้มีส่วนร่วมเหมือนในช่วงต้นที่ “มิตสึโกะ” ไม่ทราบแน่ชัดว่าตัวเองกำลังเล่นกับใคร ซึ่งการที่เธอกำลังเล่นกับสายตาที่มองไม่เห็น เหนือธรรมชาติ และไม่สามารถทำลายได้ นั่นเปรียบเหมือนสายตาของคนดูนั่นเอง
จริงๆ แล้ว มีอีกหลายประเด็นที่ทำให้เห็นว่า การที่หนังสร้างสายตาแห่งเพศชาย ด้วยการรุกล้ำความเป็นหญิงหรือทรีตผู้หญิงเป็นวัตถุพึงพอใจของเพศชายเท่านั้น แต่เมื่อมิตสึโกะเริ่มตั้งคำถามต่อชะตากรรมบางสิ่งก็ทำให้เห็นสายตาของคนดูผ่านการถ่ายภาพที่เริ่มมีความอึดอัด โดยเฉพาะการใช้ภาพสโลว์เพื่อสร้างความคลุมเครือในอารมณ์ของมิตสึโกะหลายครั้ง มันจึงสร้างความเคลือบแคลงสงสัยต่อคนดูเอง รวมทั้งผู้หญิงในเรื่องก็แสดงนัยต่อต้าน “ชะตากรรมลิขิต” มากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งที่โลกในนั้นเป็นโลกของผู้หญิงมีตัวละครหญิง มีเรื่องราวของเพื่อนสาว ซึ่งดูมีความจริงใจ แต่โลกของผู้หญิงกลับถูกนำเสนอผ่านสายตาของเพศชายอีกที มันจึงเป็นรอยต่อระหว่างโลกของผู้หญิงที่ถูกครอบงำด้วยสายตาของเพศชายซึ่งกำลังปกครองโลกของเธออยู่ ทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว และพวกเธอไม่สามารถหลุดออกไปโลกแบบนี้ได้เลย นอกเสียจากว่าเธอจะต่อต้านเท่านั้น
อ่านต่อ(ด้านล่าง)