11/12/2015 21.59 น
เราไม่มีทางรู้ ว่าวันพรุ่งนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง
ไม่มีใครรู้ว่า ตื่นขึ้นมาอีกวัน จะมีอะไรบ้างที่เปลี่ยนแปลง
ไม่มีใครรู้ ว่าถ้าวันนี้ยิ้ม พรุ่งนี้จะยังยิ้มเหมือนวันนี้หรือไม่
เราไม่ชอบความเศร้า เราไม่อยากเห็นน้ำตาของคนรอบข้าง
แต่บางเวลาเราเลือกไม่ได้ และความเศร้าอาจดูร้ายกาจในสายตาเรา
แต่ทุกความเศร้ามีบทเรียนที่สอนให้เราเข้มแข็งขึ้นทุกครั้ง จงเรียนรู้บทเรียนจากน้ำตา
---------------------------------------------
เราเคยมีน้องสาว
คนที่ทุกๆคนรู้จัก และมักทักเราผิด หรืออาจจะถูกแต่ก็จำชื่อได้แค่คนเดียว คือชื่อของน้อง
ตอนเด็กๆ เราเคยอิจฉาเธอ ที่มักเป็นที่รักของคนรอบข้าง
ร่าเริง กล้าพูดคุยกับทุกๆคน บางครั้งเราก็ทั้งรักทั้งชังตามประสาพี่น้อง
เคยหมั่นใส้เธอ อยากตีเธอให้เจ็บบ้างเวลาโดนเธอแกล้ง หรือใส่ร้ายโยนความผิดให้เวลาที่แม่ดุ
หรือเวลาเธอโกรธโมโหแล้วตีเรา เราก็อยากจะตีเธอคืนไปบ้าง แต่เราก็ทำไม่เคยลง
จนเราสองคนโตขึ้น ไม่ใช่เด็กน้อยขี้อิจฉาอีกแล้ว
เธอที่สดใสร่าเริงก็เป็นที่รักของทุกคนมากขึ้น เพื่อน พี่ น้อง ทุกๆรู้จักและรักเธอ
เราก็กลายเป็นที่รู้จักในฐานะพี่สาวของเธอ
พ่อแม่อบอุ่นใจเวลาที่มีเธออยู่ ถึงเธอจะเกเรบ้างเวลาอยู่กับเพื่อนฝูง
แต่เธอก็ เป็นลูกสาวที่ขี้อ้อนและมักแสดงออกว่ารักท่านอย่างไม่เขินอาย
เป็นเรื่องดี เพราะเราเองถึงจะเป็นเด็กดีไม่เคยมีเรื่องให้แม่ปวดหัว
แต่กลับเป็นลูกที่ไม่กล้าแสดงออกเลย ว่าหนูรักพ่อกับแม่นะ
ลูกสาวสองคนที่มีความต่างกันสุดขั้ว
ถึงเราสองคนจะไม่เหมือนกัน แต่ก็อยู่ด้วยกันมาตลอด อะไรที่คนนึงเป็นอีกคนจะไม่เป็น
เราสนิทกันมากที่สุดเท่าที่พี่น้องจะสนิทกันได้ เรามีเรื่องราวเป็นร้อยพันที่เล่าให้กันและกันได้ฟัง
เรื่องเรียน เรื่องความรัก และอื่นๆ
เราสองคนเรียนมัธยมในโรงเรียนประจำแห่งหนึ่ง
จนถึงตอนที่เราเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย
น้องก็กำลังจะจบ ม.3 เธอมีความคิดที่จะออกไปเจอสิ่งใหม่
เธอสอบเข้าเรียนในโรงเรียนสาธิต ของมหาวิทยาลัยที่เราเข้าเรียน
เราสองคนก็ได้อยู่ไกล้กันอีกครั้ง และแม่ก็ดีใจมากที่เราจะได้ไปอยู่เพื่อดูแลน้อง
ถึงแม้ส่วนใหญ่ ไอ้น้องคนนี้ต่างหากที่คอยดูแลเรา
มันทำตัวเหมือนมันเป็นพี่สาวเรามาตลอด ทั้งขนาดร่างกายที่สูงใหญ่กว่าเรา
บึกบึนกว่า คอยโมโหและจ้องเอาเรื่องคนที่มาทำร้ายเรา
เล่นกีฬาเก่ง เล่นดนตรีเก่งจนสอบเข้าเรียนได้ในสายศิลป์ดนตรี
และอยากจะเดินไปให้สุดในสายงานดนตรี มีความฝันที่ชัดเจน และมีแรงฮึดอยู่เสมอ
ชีวิต ม. ปลายของเธอเริ่มต้นขึ้น
ส่วนเราก็เริ่มเรียน ปี 1 ในคณะเกี่ยวกับการออกแบบ
สุดสัปดาห์เราเดินทางด้วยรถทัวร์กลับบ้านหาแม่พร้อมๆกัน
น้องสาวเราโตขึ้นมากจากตอนที่เป็นเด็กเกเรตัวเล็กๆ
เธอใช้ชีวิตวัยรุ่นอย่างคุ้มท่า เดินทางท่องเที่ยว เล่นและเรียนในสิ่งที่รัก
ทำทุกอย่างที่อยากทำในช่วงอายุ 17 ปี
ช่วงสุดท้าย เราทะเลาะกันค่อนข้างบ่อย เพราะเธอมักจะทำตามใจที่เธอต้องการ
เราเองก็พยายามทำหน้าที่พี่สาวให้ดีที่สุด คอยบอกและเตือนเธอ
เวลาที่เธอออกนอกลู่นอกทาง
ทำได้เท่าที่ทำได้ ด่าบ้าง แต่ก็ห้ามอะไรเธอไม่ได้
ครั้งสุดท้ายที่เจอกัน เธอ มายืมรถเรา บอกว่าเดี๋ยวเอามาคืน
และเธอก็เอามาคืนจริงแล้วพูดว่า " ไม่เอารถไปล้มทุกรอบที่ยืมหรอกน่าหัดไว้ใจน้องมั่งดิ "
เราก็ได้แต่ "เออๆ กลับดีๆละกัน"
พูดแค่เนี๊ย! ทั้งๆที่อยากพูดอยากสอน อยากบอกว่าพี่รักเธอนะ หัดดูแลตัวเองบ้างนะพ่อแม่เป็นห่วงพี่เป็นห่วงเธอ
แต่เราก็ได้แต่ทำเก๊กเหมือนทุกที
เธอดูเราออก แล้วบอกเราว่า "รู้แล้วบอกแม่แล้วว่าจะเลิกดื้อจะทำตามที่แม่ขอแล้วจะตั้งใจแล้ว"
แล้วบอกเรา " พี่อย่าเป็นห่วงเลยนะ"
6 เมษายน 2011
แรงเหวี่ยงของรถที่เกี่ยวชนกัน เหวี่ยงเธอออก
ขมับซ้ายกระแทกเข้ากับเหลี่ยมฟุตบาท เธอจากโลกนี้ไปทันที
เธอเจ็บหรือเปล่านะ พี่ว่าเธอคงเจ็บมาก เพราะพี่เองก็เจ็บมากตอนที่รู้ว่าเธอจะไม่มีวันกลับมาอีกแล้ว
น้ำตาของพ่อไหลรดบนไหล่พี่ ตอนนั้นพี่โกรธเธอที่ทิ้งพี่ไป
พี่โกรธโชคชะตาว่าทำไมไม่เป็นพี่แทนที่จะเป็นเธอ
พี่อยากให้เป็นพี่เองที่ตาย ไม่ใช่เธอ
วันนั้นความเศร้าปกคลุมไปทั่ว
กลับไปถึงบ้านเราเห็นเต๊นท์กางหน้าบ้านแล้วก็มีคนเต็มบ้านเราไปหมด
เราขาอ่อนอยากจะทรุดลงตรงนั้นเลย แต่ก็ฝืนเดินเข้าไป น้าเดินมากอดเราแล้วร้องให้
เราไม่ร้อง จนพ่อกับลุงพาน้องเข้ามาในบ้าน เราเห็นมันนอนนิ่งที่ขมับซ้ายมีรอยเย็บยาวมาถึงคอ
บอกให้รู้ว่าเกิดจากการกระแทกที่รุนแรงมาก ตอนนั้นเธอคงเจ็บจนทนไม่ไหวแน่ๆ น้ำตาเราไหลออกมาเอง
ตอนนั้นเรารู้แล้วว่าไม่มีความเสียใจไหนที่เราผ่านมาทั้งชีวิต จะมากทำความเสียใจจากการสูญเสียเขาไป
ความผิดหวังทุกอย่างไม่ว่าจะเรียงเรียนเรื่องแฟน อกหัก ตังหาย
ทุกอย่างกลายเป็นเรื่องเล็กไปหมดเมื่อเทียบกับความรู้สึกตอนนั้น
-------------------------------------------------------------------------------------------
ตั้งแต่เธอจากไปพี่ไม่เคยบอกใครว่าพี่รู้สึกหรือมีความคิดอย่างไร วันนี้พี่คิดถึงเธอมาก
พี่กำลังแย่ กำลังรู้สึกไม่โอเคเลย เธอเป็นคนเดียวที่พี่คิดถึงและทำให้พี่รู้สึกดีขึ้นได้ไม่ว่าเธอจะอยู่หรือตาย
และอยากบอกทุกๆคนที่กำลังเศร้าผิดหวังเสียใจ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตามในชีวิต
ความตายอยู่ไกล้ตัวเรามาก ไม่สักวันก็สักวัน คนที่เรารักก็ต้องจากไป
ถึงไม่ใช่วันนี้หรือพรุ่งนี้ แต่สักวันยังไงก็ต้องจากกันอยู่ดี
เรื่องแย่ๆที่เข้ามาสักวันมันก็ต้องจากไป
ถึงไม่ใช่วันนี้หรือพรุ่งนี้สักวันมันต้องหายไปแน่
ตอนนี้ผ่านมา 4 ปีแล้วที่เธอจากไป เราเข้มแข็งขึ้น
รับมือกับปัญหาที่เขามาในชีวิตได้อย่างคนที่มีเกราะแข็งแกร่งหนักแน่น
ทำทุกๆอย่างอย่างมีสติ และคอยระลึกถึงเธอเสมอ
บางเรื่อง แย่ๆ ที่เรานึกไม่ออกเลยว่าจะก้าวข้ามไปได้ยังไง
ความเศร้าและน้ำตาในวันนั้นจะคอยเตือนเราทุกครั้งที่กำลังจะล้ม
ภาพของเธอที่ยังชัดเจนอยู่เสมอ สอนให้เรารู้ว่าไม่มีความรู้สึกไหนที่ไม่เปลี่ยนแปลง
น้ำตาจะไม่ไหลตลอด สักวันมันจะแห้งและทุกอย่างจะดีขึ้น
คงเป็นของขวัญมีค่าชิ้นสุดท้ายที่น้องมอบให้เราพร้อมกับการสูญเสีย
หน้าที่ต่อไปจากนี้เราคงต้องทำต่อให้มันดี อย่าห่วงเลยนะน้องสาว ตรงนี้พี่จะดูแลเอง
" 4 ปีแล้วจากวันที่ไม่มีเธอ บทเรียนที่ล้ำค่าจากความตาย "
เราไม่มีทางรู้ ว่าวันพรุ่งนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง
ไม่มีใครรู้ว่า ตื่นขึ้นมาอีกวัน จะมีอะไรบ้างที่เปลี่ยนแปลง
ไม่มีใครรู้ ว่าถ้าวันนี้ยิ้ม พรุ่งนี้จะยังยิ้มเหมือนวันนี้หรือไม่
เราไม่ชอบความเศร้า เราไม่อยากเห็นน้ำตาของคนรอบข้าง
แต่บางเวลาเราเลือกไม่ได้ และความเศร้าอาจดูร้ายกาจในสายตาเรา
แต่ทุกความเศร้ามีบทเรียนที่สอนให้เราเข้มแข็งขึ้นทุกครั้ง จงเรียนรู้บทเรียนจากน้ำตา
---------------------------------------------
เราเคยมีน้องสาว
คนที่ทุกๆคนรู้จัก และมักทักเราผิด หรืออาจจะถูกแต่ก็จำชื่อได้แค่คนเดียว คือชื่อของน้อง
ตอนเด็กๆ เราเคยอิจฉาเธอ ที่มักเป็นที่รักของคนรอบข้าง
ร่าเริง กล้าพูดคุยกับทุกๆคน บางครั้งเราก็ทั้งรักทั้งชังตามประสาพี่น้อง
เคยหมั่นใส้เธอ อยากตีเธอให้เจ็บบ้างเวลาโดนเธอแกล้ง หรือใส่ร้ายโยนความผิดให้เวลาที่แม่ดุ
หรือเวลาเธอโกรธโมโหแล้วตีเรา เราก็อยากจะตีเธอคืนไปบ้าง แต่เราก็ทำไม่เคยลง
จนเราสองคนโตขึ้น ไม่ใช่เด็กน้อยขี้อิจฉาอีกแล้ว
เธอที่สดใสร่าเริงก็เป็นที่รักของทุกคนมากขึ้น เพื่อน พี่ น้อง ทุกๆรู้จักและรักเธอ
เราก็กลายเป็นที่รู้จักในฐานะพี่สาวของเธอ
พ่อแม่อบอุ่นใจเวลาที่มีเธออยู่ ถึงเธอจะเกเรบ้างเวลาอยู่กับเพื่อนฝูง
แต่เธอก็ เป็นลูกสาวที่ขี้อ้อนและมักแสดงออกว่ารักท่านอย่างไม่เขินอาย
เป็นเรื่องดี เพราะเราเองถึงจะเป็นเด็กดีไม่เคยมีเรื่องให้แม่ปวดหัว
แต่กลับเป็นลูกที่ไม่กล้าแสดงออกเลย ว่าหนูรักพ่อกับแม่นะ
ลูกสาวสองคนที่มีความต่างกันสุดขั้ว
ถึงเราสองคนจะไม่เหมือนกัน แต่ก็อยู่ด้วยกันมาตลอด อะไรที่คนนึงเป็นอีกคนจะไม่เป็น
เราสนิทกันมากที่สุดเท่าที่พี่น้องจะสนิทกันได้ เรามีเรื่องราวเป็นร้อยพันที่เล่าให้กันและกันได้ฟัง
เรื่องเรียน เรื่องความรัก และอื่นๆ
เราสองคนเรียนมัธยมในโรงเรียนประจำแห่งหนึ่ง
จนถึงตอนที่เราเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย
น้องก็กำลังจะจบ ม.3 เธอมีความคิดที่จะออกไปเจอสิ่งใหม่
เธอสอบเข้าเรียนในโรงเรียนสาธิต ของมหาวิทยาลัยที่เราเข้าเรียน
เราสองคนก็ได้อยู่ไกล้กันอีกครั้ง และแม่ก็ดีใจมากที่เราจะได้ไปอยู่เพื่อดูแลน้อง
ถึงแม้ส่วนใหญ่ ไอ้น้องคนนี้ต่างหากที่คอยดูแลเรา
มันทำตัวเหมือนมันเป็นพี่สาวเรามาตลอด ทั้งขนาดร่างกายที่สูงใหญ่กว่าเรา
บึกบึนกว่า คอยโมโหและจ้องเอาเรื่องคนที่มาทำร้ายเรา
เล่นกีฬาเก่ง เล่นดนตรีเก่งจนสอบเข้าเรียนได้ในสายศิลป์ดนตรี
และอยากจะเดินไปให้สุดในสายงานดนตรี มีความฝันที่ชัดเจน และมีแรงฮึดอยู่เสมอ
ชีวิต ม. ปลายของเธอเริ่มต้นขึ้น
ส่วนเราก็เริ่มเรียน ปี 1 ในคณะเกี่ยวกับการออกแบบ
สุดสัปดาห์เราเดินทางด้วยรถทัวร์กลับบ้านหาแม่พร้อมๆกัน
น้องสาวเราโตขึ้นมากจากตอนที่เป็นเด็กเกเรตัวเล็กๆ
เธอใช้ชีวิตวัยรุ่นอย่างคุ้มท่า เดินทางท่องเที่ยว เล่นและเรียนในสิ่งที่รัก
ทำทุกอย่างที่อยากทำในช่วงอายุ 17 ปี
ช่วงสุดท้าย เราทะเลาะกันค่อนข้างบ่อย เพราะเธอมักจะทำตามใจที่เธอต้องการ
เราเองก็พยายามทำหน้าที่พี่สาวให้ดีที่สุด คอยบอกและเตือนเธอ
เวลาที่เธอออกนอกลู่นอกทาง
ทำได้เท่าที่ทำได้ ด่าบ้าง แต่ก็ห้ามอะไรเธอไม่ได้
ครั้งสุดท้ายที่เจอกัน เธอ มายืมรถเรา บอกว่าเดี๋ยวเอามาคืน
และเธอก็เอามาคืนจริงแล้วพูดว่า " ไม่เอารถไปล้มทุกรอบที่ยืมหรอกน่าหัดไว้ใจน้องมั่งดิ "
เราก็ได้แต่ "เออๆ กลับดีๆละกัน"
พูดแค่เนี๊ย! ทั้งๆที่อยากพูดอยากสอน อยากบอกว่าพี่รักเธอนะ หัดดูแลตัวเองบ้างนะพ่อแม่เป็นห่วงพี่เป็นห่วงเธอ
แต่เราก็ได้แต่ทำเก๊กเหมือนทุกที
เธอดูเราออก แล้วบอกเราว่า "รู้แล้วบอกแม่แล้วว่าจะเลิกดื้อจะทำตามที่แม่ขอแล้วจะตั้งใจแล้ว"
แล้วบอกเรา " พี่อย่าเป็นห่วงเลยนะ"
6 เมษายน 2011
แรงเหวี่ยงของรถที่เกี่ยวชนกัน เหวี่ยงเธอออก
ขมับซ้ายกระแทกเข้ากับเหลี่ยมฟุตบาท เธอจากโลกนี้ไปทันที
เธอเจ็บหรือเปล่านะ พี่ว่าเธอคงเจ็บมาก เพราะพี่เองก็เจ็บมากตอนที่รู้ว่าเธอจะไม่มีวันกลับมาอีกแล้ว
น้ำตาของพ่อไหลรดบนไหล่พี่ ตอนนั้นพี่โกรธเธอที่ทิ้งพี่ไป
พี่โกรธโชคชะตาว่าทำไมไม่เป็นพี่แทนที่จะเป็นเธอ
พี่อยากให้เป็นพี่เองที่ตาย ไม่ใช่เธอ
วันนั้นความเศร้าปกคลุมไปทั่ว
กลับไปถึงบ้านเราเห็นเต๊นท์กางหน้าบ้านแล้วก็มีคนเต็มบ้านเราไปหมด
เราขาอ่อนอยากจะทรุดลงตรงนั้นเลย แต่ก็ฝืนเดินเข้าไป น้าเดินมากอดเราแล้วร้องให้
เราไม่ร้อง จนพ่อกับลุงพาน้องเข้ามาในบ้าน เราเห็นมันนอนนิ่งที่ขมับซ้ายมีรอยเย็บยาวมาถึงคอ
บอกให้รู้ว่าเกิดจากการกระแทกที่รุนแรงมาก ตอนนั้นเธอคงเจ็บจนทนไม่ไหวแน่ๆ น้ำตาเราไหลออกมาเอง
ตอนนั้นเรารู้แล้วว่าไม่มีความเสียใจไหนที่เราผ่านมาทั้งชีวิต จะมากทำความเสียใจจากการสูญเสียเขาไป
ความผิดหวังทุกอย่างไม่ว่าจะเรียงเรียนเรื่องแฟน อกหัก ตังหาย
ทุกอย่างกลายเป็นเรื่องเล็กไปหมดเมื่อเทียบกับความรู้สึกตอนนั้น
-------------------------------------------------------------------------------------------
พี่กำลังแย่ กำลังรู้สึกไม่โอเคเลย เธอเป็นคนเดียวที่พี่คิดถึงและทำให้พี่รู้สึกดีขึ้นได้ไม่ว่าเธอจะอยู่หรือตาย
และอยากบอกทุกๆคนที่กำลังเศร้าผิดหวังเสียใจ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตามในชีวิต
ถึงไม่ใช่วันนี้หรือพรุ่งนี้ แต่สักวันยังไงก็ต้องจากกันอยู่ดี
เรื่องแย่ๆที่เข้ามาสักวันมันก็ต้องจากไป
ถึงไม่ใช่วันนี้หรือพรุ่งนี้สักวันมันต้องหายไปแน่
ตอนนี้ผ่านมา 4 ปีแล้วที่เธอจากไป เราเข้มแข็งขึ้น
รับมือกับปัญหาที่เขามาในชีวิตได้อย่างคนที่มีเกราะแข็งแกร่งหนักแน่น
ทำทุกๆอย่างอย่างมีสติ และคอยระลึกถึงเธอเสมอ
บางเรื่อง แย่ๆ ที่เรานึกไม่ออกเลยว่าจะก้าวข้ามไปได้ยังไง
ความเศร้าและน้ำตาในวันนั้นจะคอยเตือนเราทุกครั้งที่กำลังจะล้ม
ภาพของเธอที่ยังชัดเจนอยู่เสมอ สอนให้เรารู้ว่าไม่มีความรู้สึกไหนที่ไม่เปลี่ยนแปลง
น้ำตาจะไม่ไหลตลอด สักวันมันจะแห้งและทุกอย่างจะดีขึ้น
คงเป็นของขวัญมีค่าชิ้นสุดท้ายที่น้องมอบให้เราพร้อมกับการสูญเสีย
หน้าที่ต่อไปจากนี้เราคงต้องทำต่อให้มันดี อย่าห่วงเลยนะน้องสาว ตรงนี้พี่จะดูแลเอง