นี่คือนโยบายการทำงาน นโยบายการต้อนรับ ดูแลและให้บริการลูกค้าของทางบริษัทคุณหรือ?

กระทู้สนทนา
* กระทู้นี้ไม่มีเจตนาโจมตี บริษัทรถยนต์ยี่ห้อใดทั้งสิ้น จึงไม่ขอกล่าวถึงยี่ห้อ โชว์รูมรถ หรือบุคคลดังกล่าว
เพียงแสดงให้เห็นถึงตัวอย่างการบริการที่ไม่ควรเกิดขึ้น และหวังว่าเมื่อท่านรู้และเห็นความสำคัญเมื่อไหร่
จะเกิดการเปลี่ยนแปลง แก้ไข และปรับปรุงให้ถูกต้องเหมาะสม

เซลล์ดีๆก็มี เซลล์ไม่ดีก็มี เซลล์ที่ควรไปทำมาหากินอย่างอื่นก็มี..

หลังจากที่เกิดเรื่องขึ้น จนถึงวันนี้ก็เกือบสองอาทิตย์แล้ว
ผมยังไม่ได้รับคำตอบที่แน่ชัดจากบริษัท หรือคำขอโทษใดๆจากผู้กระทำผิดเลย
ผมตามอ่านหลายๆกระทู้ และสอบถามหลายๆคน
ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ร้องเรียนไปก็ไม่ได้อะไร นอกจากจะช้าแล้ว
ทางบริษัทยังไม่กล้ารับผิดชอบสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้น ปัดความรับผิดชอบไปเรื่อยๆ
ที่แย่กว่านั้น สุดท้ายแล้วทางโชว์รูมเองอาจเข้าข้างพนักงงานของตน
ซึ่งตอนนี้รู้สึกแน่ชัดขึ้นทุกทีว่า... เป็นความจริงที่สุด ไม่ได้ช่วยอะไรจริงๆ

ก่อนอื่นขออธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อน
ผมได้ทำการร้องเรียนการดูแลและให้บริการของพนักงงานขายรถยี่ห้อหนึ่ง
ซึ่งรายละเอียดทั้งหมดมีดังนี้

ขอร้องเรียนการบริการของเซลล์ครับ

เรื่องเกิดจากผมขอยกเลิกการยื่นไฟแนนซ์ครับ (ขอไม่เอ่ยว่าเป็น ธ.ไหนนะครับ เพราะนั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ)
ส่วนสาเหตุในการขอถอนเรื่องนั้น มีอยู่ 2 สาเหตุหลักๆ

1.คือก่อนหน้านั้นเรากับพนักงานขายได้ตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยครับว่า ยื่นให้เรื่องผ่านก่อน แล้วเราค่อยมาคุยเรื่องจองรถ หรือรายละเอียดที่เหลือกันหลังจากเรื่องผ่าน แต่นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นครับ

เธอโทรมา แล้วผมไม่สะดวกรับเพราะทำงานอยู่ จึงให้คุยทางไลน์
(ข้อมูลทั้งหมดตามภาพแรกครับ)

ผมรู้สึกแปลกๆ เพราะทางธนาคารยังไม่โทรมาสอบถาม รายละเอียดการซื้อ หรืออะไรเลย ไม่มีโทรมาสอบถามอะไรสักนิด? ไม่มีการถามว่ากู้รถรุ่นไหน ดาวน์กี่เปร์เซ็น เป็นเงินเท่าไร ฯลฯ
..แล้วเคสมันจะผ่าน ?
..แล้วไฟแนนซ์จะตัดยอดได้อย่างไรครับ ?


(ข้อมูลทั้งหมดตามภาพที่2ครับ)

สรุปคือให้ผมโอนเงินจองไป 3,000 ภายในตอนนั้น
และระหว่างนั้นตั้งแต่เช้าจนเที่ยง เธอโทรตามผมตลอดครับ แต่ช่วงแรกผมไม่สามารถรับได้จริงๆ เพราะผมติดงาน พอมีช่วงว่าง ผมโทรกลับไปคุย เธอเร่งให้โอนเงินจองรถ ถามว่าจะเอารถสีไหน? ออกรถเมื่อไหร่?
...ซึ่งในขณะคุยโทรศัพท์ผมแจ้งไปว่า ไหนตอนแรกคุยกันว่ารอเรื่องผ่านก่อนไงครับ เธอยังคงยืนยันว่า ไฟแนนซ์ให้ตัดยอด แสดงว่าผ่าน ..??? ผมอ้างกับเธอว่ายังไม่พร้อม ให้คำตอบไม่ได้ และคงจะต้องรอปรึกษาคุณแม่ก่อน จากนั้นจึงวางไป แต่เธอยังคงเร่งให้ผมถ่าย บชช. ของคุณแม่ส่งให้เธอทางไลน์ให้ผมโอนเงินและจะจองรถให้ได้ในตอนนั้น?

เกิดคำถามมากมายในหัวของผมครับ ผมยอมรับตามตรงว่าเริ่มรู้สึกไม่แน่ใจ เพราะไม่ว่าจะยังไงผมคงไม่สามารถโอนเงินไปให้เธอก่อนได้แน่ๆ ประเด็นคือในส่วนของการจองรถนั้น อยู่ดีๆมาให้ผมโอนเงิน เงื่อนไขต่างๆเรายังคุยกันไม่ชัดเจนเลย ถ้าในใบจองระบุอะไรไว้ผมกลัวว่าพูดอะไรไปก็จะมีแต่ปัญหาอีก เพราะถ้าโอนก็คือเงินผมไปอยู่กับคุณแล้ว ละเรื่องทางไฟแนนซ์ยังไม่สามารถผ่านได้แน่ๆ จะให้ผมเอาความไว้วางใจที่ไหนโอนเงินไปให้ก่อนครับ?

อีกข้อมูลจากการคุยทางโทรศัพท์ เธอบอกว่าไฟแนนซ์ยังขาดรถอีก 1 คัน ต้องการตัดยอด เธอใช้เป็นอีกเหตุผลในการให้ผมโอนเงินไปจองรถครับ

2. จากภาพที่สอง เธอแจ้งว่าไฟแนนซ์ทำงานต่อไม่ได้  ผมได้มาทราบความจริงในช่วงเย็นว่าเธอโกหก
เพราะพี่ผมได้มีโอกาสคุยกับทางคนจัดการของไฟแนนซ์โดยตรง

หลังจากที่พี่ผมกลับมา ทุกคนในบ้านรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดครับ ทุกคนคิดว่าการยังไม่โอนเงินไปให้เธอถูกต้องแล้ว บังเอิญว่าเย็นวันนั้นคนทำไฟแนนซ์โทมาขอเอกสารเพิ่มจากพี่ชายผม (ยังมาขอเอกสารเพิ่มอยู่เลย ธ. จะตัดยอดอย่างที่เธอแจ้งได้ยังไง?) เมื่อได้คุยกับทางไฟแนนซ์ทุกอย่างชัดเจนมากขึ้นครับ เรื่องยังอยู่ที่ไฟแนนซ์ประจำโชว์รูม ยังไม่ได้ส่งเรื่องไปให้ส่วนต่อไป ซึ่งเขาสามารถทำงานได้ปกติ พรุ่งนี้เขาจะส่งเรื่องเข้าไป และคงเป็นหน้าที่ของ Checker การไม่จองรถของผมไม่ได้ให้ไฟแนนซ์ทำงานไม่ได้อย่างที่เซลล์แจ้งไว้

ต้องบอกตามตรงว่าเสียความรู้สึกมากๆ มากที่สุด เพราะตลอดทั้งวัน เธอทั้งโทรเร่ง และไลน์ตาม ทั้งโทรทั้งไลน์สำหรับบางคนอาจจะเป็นเรื่องเล็กนะครับ แต่ผมเป็นห่วงผลกระทบของการยื่นเรื่องที่จะตามมา ไหนจะเวลาทำงานที่ผมก็มีปัญหาจะต้องแก้ (ซึ่งเซลล์ไม่เข้าใจคำว่า ไม่ว่าง สักนิดเลย) พอผมยังไม่ส่งเอกสารไปให้ก็มาบอกกันว่า ไฟแนนซ์ทำงานต่อไม่ได้ (กดดันกันไปอีก) เครียดเลยครับ ลองคิดถึงคนที่รอความคืบหน้าการอนุมัติ แต่กลับมาเจอประโยคที่ว่า ทำงานต่อไม่ได้ (เหมือนรอเรา?) เพียงเพราะว่าผมไม่ได้จอง?

ผมตัดสินใจให้พี่บอกทางไฟแนนซ์เลยครับว่า ขอถอนเรื่อง เพราะผมไม่อยากจะคุยกับเซลล์อีกต่อไป มันไม่สะดวกใจที่จะคุยกันอีกแล้ว ณ ตอนนั้นไม่รู้เลยว่า อนาคตเธอจะเซอร์ไพรส์อะไรผมอีก ผมไม่อยากจะฟังเธอไหลไปเรื่อย

...จริงๆแล้ว ถ้าเรื่องมันจบแค่นี้ ผมจะไม่มีปัญหาและมีความสุขมากครับ เพราะถึงเธอจะโกหกหรืออะไรก็ตาม ผมก็ไม่ติดใจที่จะเอาเรื่องให้ยืดยาว แต่สำหรับเธอมันไม่ใช่ครับ

วันต่อมา..
เธอทราบจากไฟแนนซ์ว่าผมขอถอนเรื่อง เธอก็คงโมโหแหละครับ ต้องบอกตามตรงว่าจริงๆแล้ว นี่เป็นเรื่องที่ผมรู้สึกเกรงใจนะครับ เพราะถึงยังไงผมก็รู้สึกว่า ถ้าจะถอนเรื่องก็ควรจะบอกเซลล์ก่อน แต่ในเย็นวันนั้นผมมีโอกาสได้คุยกับทางไฟแนนซ์พอดี รวมกับหลายๆข้อสงสัยที่มันกระจ่าง ทำให้ผมเลือกที่จะถอนเรื่องทันที ซึ่งทางไฟแนนซ์ก็ได้ถามชื่อเซลล์และบอกว่าจะแจ้งเธอให้ ซึ่งผมก็รู้สึกโอเคร เพราะอย่างที่บอก ไม่รู้จะพูดยังไง ไม่อยากจะคุยแล้ว

(ข้อมูลทั้งหมดตามภาพครับ)
ตอนเย็นของวันนั้นผมต้องโทรอธิบายสาเหตุการถอนเรื่องกับเธอ เพราะเธอบอกอยากจะทราบเหตุผล ผมก็อธิบายทุกอย่างเลยครับ ทั้งเรื่องที่อยู่ดีๆให้ผมโอนเงินไปจองทั้งที่ตกลงกันเอาไว้แล้ว และผมก็บอกเธอว่าเรื่องมันยังไม่ผ่านแน่ๆ แต่ไม่ได้อ้างไปถึงตอนที่คุยกับไฟแนนซ์ เพราะกลัวว่าเซลล์จะไป.. หรือมีปัญหาอะไรกันถ้ารู้ว่าผมทราบความจริงมาจากเขา และผมไม่อยากจะให้มันรุนแรงเกินไปจึงให้เหตุผลเค้าไปว่า อีกเหตุผลนึงคือ คุณแม่เพิ่งรู้ว่ามีงานมอเตอร์โชว์ จึงอยากจะขอไปดูรถ เผื่อมีอะไรที่น่าสนใจ(มันเป็นข้ออ้างครับ) เพราะผมไม่อยากบอกไปตรงๆ เรื่องที่ผมรู้มาจากไฟแนนซ์ แต่มันคงทำให้เธอยิ่งโมโหมากมั้งครับ เธอเริ่มไม่พอใจและใช้น้ำเสียงที่ไม่โอเครกับผม ทั้งที่ผมพยายามอธิบายดีๆ และหาเหตุผลที่คิดว่าซอฟที่สุด จนทนไม่ได้จริงๆ ผมถึงบอกว่าผมได้คุยกับไฟแนนซ์แล้วนะครับ เรื่องยังอยู่ที่เขาอยู่เลย มันจะผ่านได้ยังไง วันนี้เค้ายังมาขอเอกสารเพิ่มอยู่เลย เรื่องยังไม่ได้เข้าระบบเลย คุณเอาอะไรมากล้ายืนยันครับ ว่ามันจะผ่าน ..ไฟแนนซ์ดีๆเองเค้ายังไม่กล้าพูดเลยครับ ว่าผ่านแน่ๆ ..เธอตอบไม่ได้ครับ อ้างไปเรื่องที่ผมจะไปมอเตอร์โชว์ว่ามันไม่ได้หรอก นู่นนี่นั่น เค้าขายแบบ One Price กันทั้งนั้น ไม่มีโปรโมชั้นดีเท่าโชว์รูมหรอก คุณมีเงินเท่านี้ออกรถที่งานไม่ได้หรอกคะ (ซึ่งมันเป็นแค่ข้ออ้างไม่ใช่ความจริงไงครับ ผมไม่ค่อยอยากจะฟัง รู้งี้ไม่น่ากลัวเสียความรู้สึกทุกฝ่าย แล้วบอกความจริงทั้งหมดไปตรงๆ เลยดีกว่า) แล้วเธอยังพูดอีกนะครับว่างั้นพี่ขออนุญาติรีเจคเคสนะคะ (น้ำเสียงพยายามทำให้ผมกลัวมากครับ) ผมถามเลยครับว่า รีเจคเคสหมายความว่ายังไง? เธอบอกว่าน้องก็ไม่สามารถยื่นไฟแนนซ์กับธนาคารนี้ได้อีกคะ ถึงเวลานั้นแล้ว ผมพูดออกไปตามตรงเลยครับ คุณเป็นเซลล์มีสิทธิรีเจคเคสลูกค้าหรอครับ? และอีกอย่างผมขอถอนเรื่อง ก่อนที่จะเข้าระบบ ก่อนที่จะทำการอนุมัติซะอีก จะเกิดคำว่ารีเจคเกิดขึ้นได้ยังไง? ก่อนหน้านี้เธอบอกว่าเธอทำงานมา 4 ปี (ผมก็งงนะครับว่า 4 ปีที่ผ่านมาเธอไม่ทราบหรอครับว่าเรื่องมันยังไม่เข้าระบบ ลูกค้าขอถอนเรื่อง เซลล์รีเจคไม่ได้ แม้แต่ธนาคารเองยังไม่รีเจคเลยครับ เรื่องยังไม่อนุมัติ ไฟแนนซ์จะตัดยอดได้หรอ? ทำงานมา 4 ปี ไม่รู้เลย? แต่ก็ไม่ได้พูดไปหรอกครับมันคงจะรุนแรงเกินไป ตอนนั้นผมอยากให้เรื่องมันจบ ทุกวันนี้มันก็เกินเลยจากที่ผมต้องการมามากเกินไปแล้ว แต่รู้สึกว่ายอมไม่ได้จริงๆ) ก่อนวางโทรศัพท์เธอก็พูดเองนะครับว่าทุกอย่างจบ ไม่ซื้อไม่เป็นไรค่าา!! (ไม่รู้จะอธิบายน้ำเสียงที่เธอใช้ยังไงจริงๆ)

...แต่สุดท้ายแล้วถ้าเรื่องมันจบจริงอย่างที่เธอพูด ผมก็โอเคครับ ไม่ได้คิดจะร้องเรียนหรือว่าอะไร อยากให้มันจบจริง แต่นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นครับ

(ข้อมูลทั้งหมดตามภาพครับ)
*ต้องบอกก่อนว่าผมมีข้อมูลที่ยืนยันได้ว่าทั้งหมดที่คอมเม้นมาจากโพสเดียวกัน ไม่ได้ตัดต่อ หรือเอามาจากที่อื่นแต่อย่างใด

..พี่ผมเป็นคนเสริชเจอครับ เธอใช้ชื่อเฟสเดียวกับไลน์เลย (เพราะพี่ผมฟังจากที่ผมเล่าทั้งหมดแล้ว คิดว่าเธอคงไม่ยอมแน่ๆ อีกอย่างเอกสารทั้งหมดตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไฟแนนซ์หรือทางโชว์รูม ไม่สามารถไว้วางใจอะไรได้เลย รู้สึกว่าไม่ปลอดภัยและก็ใช่จริงๆ)

คำพูดเหล่านี้ล้วนเป็นการดูถูกและไม่สมควรที่จะกระทำอย่างยิ่ง ถึงแม้เฟสบุ๊คจะเป็นพื้นที่ของคุณ แต่การกระทำเช่นนี้มันสมควรหรือครับ ?
เงิน 3000 ผมมีปัญญาจ่าย แต่ผมไม่ไว้ใจที่จะโอนเงินจองให้คุณ และคิดถึงปัญหาที่อาจจะตามมาถึงไม่ยินยอมครับ
คนอย่างคุณพูดคำไหนต้องคำนั้น กลืนน้ำลายตัวเองรึเปล่าครับ? ตอนวางโทรศัพท์คุณเป็นคนบอกเองว่าให้มันจบ แล้วมาตั้งสถานะด่าลูกค้าเพื่อ? นอกจากเรื่องนี้ เรื่องข้อตกลงการจองรถ ยังมีเรื่องไหนที่คุณโกหก หรือกลืนน้ำลายตัวเองอีกบ้าง? ผมว่าผมคิดถูกที่ไม่ไว้ใจและถอนเรื่องนะครับ
ตามภาพเลยครับ เธอเป็นคนบอกเองว่าเธอด่าผม ด่าลูกค้า ใช่ครับผมปล่อยให้เธอพูดยาวๆเลย ส่วนมากจะเป็นช่วงที่บอกว่าผมจะไปมอเตอร์โชว์อะครับ พูดจาเสียดสีดูถูกผมด้วยว่าจะไปซื้อ ไปจองรถในงานได้หรอ..


รายละเอียดตามภาพครับ
..ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของผมอยู่ตรงไหน?
เธอรู้บ้าน มีที่อยู่ของผม รู้ทุกอย่าง ..

ทางบริษัท มีความคิดเห็นว่าอย่างไรครับ?
ตามภาพมีการตอบตกลงเรียบร้อยด้วย
..พูดตรงๆนะครับ ไม่รู้ว่าจะเข้ามากระทืบผมวันไหน?
...นี่คือนโยบายของทางบริษัท ในการดูแลและให้บริการลูกค้าหรือครับ?


ผมไม่มีสิทธิ์ถอนเรื่องไฟแนนซ์หรอครับ
ในเมื่อผมไม่พอใจ และรู้สึกไม่ดีกับสิ่งที่เกิดขึ้น

แล้วเธอมีสิทธิ์กระทำเช่นนี้หรอครับ?

---------อยากกระทืบมันอะ (ข้อความจากพนักงงานขาย)
---------ก็ต้องจัดสิ

*บางคนอาจจะคิดว่าเป็นเพียงการคอมเม้นไปตามอารมณ์หรือเปล่า? เธอคงไม่กล้าทำจริงๆ
แต่.. ผมจะเอาอะไรมาแน่ใจหละครับ ว่าจะทำหรือไม่ทำ เด่วนี้ไม่รู้จัก เพิ่งเจอหน้ากันยังฆ่ากันตายเลย
นี่ผมไม่ได้ตอบโต้เธอสักครั้ง ยังแค้นกันขนาดนี้ แล้วตอนนี้ผมได้ทำการร้องเรียนเธอแล้ว
ป่านนี้ทางบริษัทยังไม่สามารถรับรองหรือให้คำตอบอะไรได้ ผมจะเอาอะไรมาแน่ใจได้ครับ?

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนี่ ยังไม่ใช่ทั้งหมดที่ทำให้ผมตัดสินใจร้องเรียน และคิดว่าควรที่จะทำอะไรสักอย่าง..หลังจากวันนั้นมา ผมก็เล่าทุกอย่างให้คนในครอบครัวฟังนะ คุณแม่เองบอกว่าอยู่เฉยๆ ไม่ต้องไปเอาเรื่อง คือผมเข้าใจว่าคุณแม่ก็เริ่มอายุมากแล้ว คงจะปล่องวางขึ้นทุกที ..ซึ่งโดยส่วนตัวผมรู้สึกว่ามันเกินไป ที่จะรับได้ครับ แต่ก็เพื่อความสบายใจของแม่ ก็ไม่ร้องเรียน ไม่ตอบโต้เธอสักอย่าง ..แต่เธอก็ยังไม่หยุดครับ!!!

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่