1.
หลังจากที่ได้เร้นกายหายห่างไปเนิ่นนาน เพื่อสะสางบัญชีหนี้แค้นส่วนตัว นักบู๊ไร้นามผู้หนึ่งก็กลับมายืนอย่างโดดเดี่ยวบนเส้นทางที่เคยคุ้น อาทิตย์แม้สาดแสง แต่อากาศกลับเยียบเย็นดูลี้ลับ ถนนนักเขียน ที่กล่าวขานกันว่ามีระยะทางนับหมื่นนับแสนลี้ทอดยาวไปจนสุดสายตา วรรณภพ อันครึกครื้นยังคงอยู่อีกไกลนัก
วันคืนที่ผ่านมา ในใจของมันสับสนเต็มไปด้วยเรื่องราวมากมาย แต่กลับมิอาจนำมาจับต้นชนปลาย ดำเนินกระบวนเรื่องได้อย่างถูกต้อง ท่ากระบี่ชั้นปลายแถวอันหลากหลายที่เคยคิดขึ้นในยามที่ใช้ชีวิตร่อนเร่อยู่ภายในเมืองอันสับสนแห่งนั้น คล้ายเป็นเพียงความฝันเรื่องสั้นเรื่องยาวชั่วข้ามคืน
คิดบัญญัติเพลงกระบี่ที่มีเรื่องราวสะท้านฟ้าสะเทือนดิน สุดท้ายกลับกลายเป็นเพียงกระบวนท่าที่มิอาจแทงออกได้แม้แต่กระบี่เดียว
เงาของคู่ต่อสู้ลึกลับผู้นั้นพลันเงยหน้าแผดเสียงหัวร่อราวคุ้มคลั่ง กระบี่ในมือของมันยังคงแน่วนิ่ง สภาวะพลังยังคงต่อเนื่องขีดเขียนได้อีกหลายตอน เรื่องราวใต้เงากระบี่เช่นนี้ย่อมต้องไม่รวบรัดธรรมดาจนเกินไป แต่บนมือที่กุมกระบี่กลับปรากฏเม็ดเหงื่อผุดพรายขึ้นอย่างไม่อาจหยุดยั้ง
“กระบี่นี้หากแทงออกมา ย่อมต้องยอดเยี่ยมยิ่ง”
ร่างในเงามืดนั้นยิ่งหัวร่อก็ยิ่งบิดเบี้ยว ราวกับเป็นการรวมวิญญาณแค้นของเหล่าตัวละครที่เคยถูกประกายกระบี่ของมันผลักดันให้โลดแล่นไปตามกระบวนเรื่องราว เหล่าตัวละครที่ไม่อาจมีชีวิตเป็นตัวของตัวเอง เหล่าตัวละครที่ไม่อาจจบลงอย่างงดงามในทุกครั้ง
“หากเจ้าตอบได้ ว่าคิดจะแทงใส่สิ่งใดกัน”
เสียงหัวร่อเสียดแทงในครั้งนั้นยังคงดังก้องสะท้อนอยู่ในใจของมันเรื่อยมา
แม้สองเท้ายังก้าวเดิน หลังยังตั้งตรง สายตาทั้งคู่ยังคงจับจ้องไปที่เบื้องหน้า แต่จิตใจของมันกลับหนักอึ้งวนเวียนขบคิดอยู่กับคำถามเดียวนั้น
‘ที่แท้เราคิดแทงใส่สิ่งใด’ เรื่องราวใต้เงากระบี่นั้นสมควรเป็นเช่นไร
กระบี่ยังคงอยู่ข้างกาย ราวกับดรุณีน้อยที่ไม่ยอมห่างจากคนรัก ขอเพียงเอื้อมมือออกไปก็อาจสัมผัสได้ถึงความอ้อนแอ้นนุ่มนิ่มแต่ร้อนแรงนั้นได้ไม่ยาก แต่มันกลับไม่อาจเคลื่อนมือเข้าใกล้ แม้กระทั่งกลัวที่จะไปกระทบถูกเข้าโดยบังเอิญ
ตอนนี้ ที่มันทำได้มีเพียงก้าวเดินต่อไป พร้อมกับเสียงทอดถอนใจยาว
2.
ถนนนักเขียนเวิ้งว้างทอดยาวไกล ที่จริงแล้วสมควรเป็นเส้นทางสายเดิมที่มันเคยเหยียบย่ำผ่านไปมานับตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน แต่ตอนนี้มันกลับไม่อาจแน่ใจ เคยมีผู้อาวุโสท่านหนึ่งกล่าวไว้ว่า เราไม่อาจข้ามสะพานแห่งเดิมซ้ำกันได้ถึงสองครั้ง ซึ่งที่จริงแล้วย่อมสมควรกระทำได้ แต่ท่านผู้เฒ่ากลับอธิบายให้ซับซ้อนต่อไปว่า
เมื่อเราก้าวขึ้นสะพาน สายน้ำเบื้องล่างย่อมต้องไหลไป กล่าวโดยละเอียดแล้ว แต่ละย่างก้าวบนสะพานย่อมหมายถึงความเปลี่ยนแปลงของสายน้ำเบื้องล่างอันไม่มีที่สิ้นสุด ดังนั้นเราจึงไม่อาจหวนกลับมาข้าม สะพานแห่งเดิม นั้นอีกเป็นครั้งที่สองได้
หรือถนนนักเขียนสายนี้เองก็เป็นเฉกเช่นเดียวกัน แปรเปลี่ยนเรื่อยไปไม่สิ้นสุด
เส้นทางโบราณสายนี้ราวกับสามารถเติบโตมีชีวิตเป็นของตัวเอง บางทีมันอาจคอยกลืนกินร่องรอยอักษรของผู้ที่ตัดสินใจก้าวเข้ามา ที่บ้างสามารถบรรลุถึงวรรณภพอันเป็นจุดหมาย บ้างต้องล้มเลิกหายไปในระหว่างทาง บ้างยังคงวนเวียนอยู่ด้วยจุดหมายที่แตกต่าง ทั้งหมดอาจได้ร่วมมอบชีวิต กลายเป็นส่วนหนึ่งของถนนสายนี้ไปโดยไม่รู้ตัว
ความอ่อนล้าภายใต้ความสับสนยิ่งสะสมเพิ่มพูนในทุกย่างก้าว เบื้องหน้าพลันปรากฏรูปเงาของสิ่งก่อสร้างรูปร่างพิกลขึ้นราวกับเป็นภาพลวงตา ณ กลางทะเลทรายร้อนระอุ แต่อากาศกลับยิ่งเยียบเย็น บีบคั้นจนเกิดเป็นปุยหิมะสีขาวจำนวนมากมายโบกปลิวในสายลมที่คมราวใบมีด กรีดลึกลงในทรวง ทวงถามถึงรอยแผลเก่าที่ไม่มีวันเชื่อมประสานในใจของทุกผู้คน
ฟ้าหนาว ใจยิ่งเหน็บหนาวกว่า
ที่ด้านหลังของมันพลันบังเกิดเสียงดังวุ่นวาย ฝุ่นตลบขึ้นคละคลุ้ง รถโดยสารสีดำคันโตโผพุ่งมาตามเส้นทางราวกับติดปีก ม้าดำพ่วงพีคู่นั้นทั่วทั้งร่างหลั่งเหงื่อออกมาเป็นสีโลหิตน่าสยดสยอง ควบขับมาโดยไม่คิดชีวิต ราวกับจะไม่มีวันพรุ่งนี้อีกต่อไป
มันจะทำอย่างไรได้นอกจากรีบหลบเข้าข้างทางแล้วปล่อยให้รถม้าพุ่งผ่าน หน้าต่างด้านข้างของตัวรถกลับเลื่อนเปิดออกอย่างไม่คาดคิด เผยให้เห็นใบหน้า กับรอยยิ้มน้อยๆ ราวกับมิได้ตั้งใจของดรุณีนางหนึ่ง ด้วยความรวดเร็วเช่นนี้มันย่อมไม่อาจมองเห็นภาพที่ชัดเจนจนราวกับความฝันในยามตื่นนี้ได้ หากพยายามอธิบาย อาจบอกได้ว่าในชั่วขณะนั้น ใจของมันพลันโจนทะยานติดตามดรุณีนางนั้นไปด้วยความเร็วที่สัมพัทธ์กันพอดี
ลมหายใจของมันผนึกค้างราวกับถูกอากาศที่หนาวเหน็บลงอย่างฉับพลันนี้แช่แข็งไปด้วย ‘ใช่เป็นนางหรือไม่’ เจ้าของใบหน้าเดียวกันซึ่งมันมิอาจลืมเลือนได้ตลอดกาล
รถม้าสีดำพลันหยุดลงตรงหน้าตึกประหลาดที่พึ่งโผล่ขึ้นมาได้อย่างไม่คาดคิด ราวกับมีมือวิเศษคู่หนึ่งที่สามารถดึงทั้งความความเร็ว และความเร่งที่มีมาทั้งหมดออกไปจากการเคลื่อนที่ราวกับติดปีกบินของรถม้าก่อนหน้านั้น
หรือว่าจะเป็นฝีมือของชายชราที่พึ่ง ปล่อยวาง สายบังเหียน พร้อมกับลงมาเปิดประตู และยืนรออยู่อย่างนอบน้อม สารถีที่ดูธรรมดาจนมันไม่ทันพบเห็นเมื่อก่อนหน้านี้
แม้ยังไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น แต่มันจะทำอย่างไรได้นอกจากก้มหน้าเดินต่อไป กระบี่ยังคงอยู่เคียงกาย แต่มือของมันในตอนนี้ย่อมไม่อาจแตะต้อง ภายใต้หิมะน้ำแข็งกลับเกิดเป็นประกายศาตรากรีดวาดปั้นแต่งเป็นเรื่องราวลึกลับเช่นนี้ขึ้นมาอย่างไม่คาดคิด
ดรุณีเมื่อครู่ก้าวลงจากรถม้าตรงเข้าไปในตัวตึกโดยมิได้เหลียวมองมา แต่ทุกย่างก้าวของนางคล้ายเหยียบย่ำลงบนดวงใจของมันก็ไม่ปาน
เดียวดายใต้เงาจอ (เรื่องสั้น? ตอนสั้นสั้นหลายตอน(อาจจะ)จบ) 1 และ 2
หลังจากที่ได้เร้นกายหายห่างไปเนิ่นนาน เพื่อสะสางบัญชีหนี้แค้นส่วนตัว นักบู๊ไร้นามผู้หนึ่งก็กลับมายืนอย่างโดดเดี่ยวบนเส้นทางที่เคยคุ้น อาทิตย์แม้สาดแสง แต่อากาศกลับเยียบเย็นดูลี้ลับ ถนนนักเขียน ที่กล่าวขานกันว่ามีระยะทางนับหมื่นนับแสนลี้ทอดยาวไปจนสุดสายตา วรรณภพ อันครึกครื้นยังคงอยู่อีกไกลนัก
วันคืนที่ผ่านมา ในใจของมันสับสนเต็มไปด้วยเรื่องราวมากมาย แต่กลับมิอาจนำมาจับต้นชนปลาย ดำเนินกระบวนเรื่องได้อย่างถูกต้อง ท่ากระบี่ชั้นปลายแถวอันหลากหลายที่เคยคิดขึ้นในยามที่ใช้ชีวิตร่อนเร่อยู่ภายในเมืองอันสับสนแห่งนั้น คล้ายเป็นเพียงความฝันเรื่องสั้นเรื่องยาวชั่วข้ามคืน
คิดบัญญัติเพลงกระบี่ที่มีเรื่องราวสะท้านฟ้าสะเทือนดิน สุดท้ายกลับกลายเป็นเพียงกระบวนท่าที่มิอาจแทงออกได้แม้แต่กระบี่เดียว
เงาของคู่ต่อสู้ลึกลับผู้นั้นพลันเงยหน้าแผดเสียงหัวร่อราวคุ้มคลั่ง กระบี่ในมือของมันยังคงแน่วนิ่ง สภาวะพลังยังคงต่อเนื่องขีดเขียนได้อีกหลายตอน เรื่องราวใต้เงากระบี่เช่นนี้ย่อมต้องไม่รวบรัดธรรมดาจนเกินไป แต่บนมือที่กุมกระบี่กลับปรากฏเม็ดเหงื่อผุดพรายขึ้นอย่างไม่อาจหยุดยั้ง
“กระบี่นี้หากแทงออกมา ย่อมต้องยอดเยี่ยมยิ่ง”
ร่างในเงามืดนั้นยิ่งหัวร่อก็ยิ่งบิดเบี้ยว ราวกับเป็นการรวมวิญญาณแค้นของเหล่าตัวละครที่เคยถูกประกายกระบี่ของมันผลักดันให้โลดแล่นไปตามกระบวนเรื่องราว เหล่าตัวละครที่ไม่อาจมีชีวิตเป็นตัวของตัวเอง เหล่าตัวละครที่ไม่อาจจบลงอย่างงดงามในทุกครั้ง
“หากเจ้าตอบได้ ว่าคิดจะแทงใส่สิ่งใดกัน”
เสียงหัวร่อเสียดแทงในครั้งนั้นยังคงดังก้องสะท้อนอยู่ในใจของมันเรื่อยมา
แม้สองเท้ายังก้าวเดิน หลังยังตั้งตรง สายตาทั้งคู่ยังคงจับจ้องไปที่เบื้องหน้า แต่จิตใจของมันกลับหนักอึ้งวนเวียนขบคิดอยู่กับคำถามเดียวนั้น
‘ที่แท้เราคิดแทงใส่สิ่งใด’ เรื่องราวใต้เงากระบี่นั้นสมควรเป็นเช่นไร
กระบี่ยังคงอยู่ข้างกาย ราวกับดรุณีน้อยที่ไม่ยอมห่างจากคนรัก ขอเพียงเอื้อมมือออกไปก็อาจสัมผัสได้ถึงความอ้อนแอ้นนุ่มนิ่มแต่ร้อนแรงนั้นได้ไม่ยาก แต่มันกลับไม่อาจเคลื่อนมือเข้าใกล้ แม้กระทั่งกลัวที่จะไปกระทบถูกเข้าโดยบังเอิญ
ตอนนี้ ที่มันทำได้มีเพียงก้าวเดินต่อไป พร้อมกับเสียงทอดถอนใจยาว
2.
ถนนนักเขียนเวิ้งว้างทอดยาวไกล ที่จริงแล้วสมควรเป็นเส้นทางสายเดิมที่มันเคยเหยียบย่ำผ่านไปมานับตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน แต่ตอนนี้มันกลับไม่อาจแน่ใจ เคยมีผู้อาวุโสท่านหนึ่งกล่าวไว้ว่า เราไม่อาจข้ามสะพานแห่งเดิมซ้ำกันได้ถึงสองครั้ง ซึ่งที่จริงแล้วย่อมสมควรกระทำได้ แต่ท่านผู้เฒ่ากลับอธิบายให้ซับซ้อนต่อไปว่า
เมื่อเราก้าวขึ้นสะพาน สายน้ำเบื้องล่างย่อมต้องไหลไป กล่าวโดยละเอียดแล้ว แต่ละย่างก้าวบนสะพานย่อมหมายถึงความเปลี่ยนแปลงของสายน้ำเบื้องล่างอันไม่มีที่สิ้นสุด ดังนั้นเราจึงไม่อาจหวนกลับมาข้าม สะพานแห่งเดิม นั้นอีกเป็นครั้งที่สองได้
หรือถนนนักเขียนสายนี้เองก็เป็นเฉกเช่นเดียวกัน แปรเปลี่ยนเรื่อยไปไม่สิ้นสุด
เส้นทางโบราณสายนี้ราวกับสามารถเติบโตมีชีวิตเป็นของตัวเอง บางทีมันอาจคอยกลืนกินร่องรอยอักษรของผู้ที่ตัดสินใจก้าวเข้ามา ที่บ้างสามารถบรรลุถึงวรรณภพอันเป็นจุดหมาย บ้างต้องล้มเลิกหายไปในระหว่างทาง บ้างยังคงวนเวียนอยู่ด้วยจุดหมายที่แตกต่าง ทั้งหมดอาจได้ร่วมมอบชีวิต กลายเป็นส่วนหนึ่งของถนนสายนี้ไปโดยไม่รู้ตัว
ความอ่อนล้าภายใต้ความสับสนยิ่งสะสมเพิ่มพูนในทุกย่างก้าว เบื้องหน้าพลันปรากฏรูปเงาของสิ่งก่อสร้างรูปร่างพิกลขึ้นราวกับเป็นภาพลวงตา ณ กลางทะเลทรายร้อนระอุ แต่อากาศกลับยิ่งเยียบเย็น บีบคั้นจนเกิดเป็นปุยหิมะสีขาวจำนวนมากมายโบกปลิวในสายลมที่คมราวใบมีด กรีดลึกลงในทรวง ทวงถามถึงรอยแผลเก่าที่ไม่มีวันเชื่อมประสานในใจของทุกผู้คน
ฟ้าหนาว ใจยิ่งเหน็บหนาวกว่า
ที่ด้านหลังของมันพลันบังเกิดเสียงดังวุ่นวาย ฝุ่นตลบขึ้นคละคลุ้ง รถโดยสารสีดำคันโตโผพุ่งมาตามเส้นทางราวกับติดปีก ม้าดำพ่วงพีคู่นั้นทั่วทั้งร่างหลั่งเหงื่อออกมาเป็นสีโลหิตน่าสยดสยอง ควบขับมาโดยไม่คิดชีวิต ราวกับจะไม่มีวันพรุ่งนี้อีกต่อไป
มันจะทำอย่างไรได้นอกจากรีบหลบเข้าข้างทางแล้วปล่อยให้รถม้าพุ่งผ่าน หน้าต่างด้านข้างของตัวรถกลับเลื่อนเปิดออกอย่างไม่คาดคิด เผยให้เห็นใบหน้า กับรอยยิ้มน้อยๆ ราวกับมิได้ตั้งใจของดรุณีนางหนึ่ง ด้วยความรวดเร็วเช่นนี้มันย่อมไม่อาจมองเห็นภาพที่ชัดเจนจนราวกับความฝันในยามตื่นนี้ได้ หากพยายามอธิบาย อาจบอกได้ว่าในชั่วขณะนั้น ใจของมันพลันโจนทะยานติดตามดรุณีนางนั้นไปด้วยความเร็วที่สัมพัทธ์กันพอดี
ลมหายใจของมันผนึกค้างราวกับถูกอากาศที่หนาวเหน็บลงอย่างฉับพลันนี้แช่แข็งไปด้วย ‘ใช่เป็นนางหรือไม่’ เจ้าของใบหน้าเดียวกันซึ่งมันมิอาจลืมเลือนได้ตลอดกาล
รถม้าสีดำพลันหยุดลงตรงหน้าตึกประหลาดที่พึ่งโผล่ขึ้นมาได้อย่างไม่คาดคิด ราวกับมีมือวิเศษคู่หนึ่งที่สามารถดึงทั้งความความเร็ว และความเร่งที่มีมาทั้งหมดออกไปจากการเคลื่อนที่ราวกับติดปีกบินของรถม้าก่อนหน้านั้น
หรือว่าจะเป็นฝีมือของชายชราที่พึ่ง ปล่อยวาง สายบังเหียน พร้อมกับลงมาเปิดประตู และยืนรออยู่อย่างนอบน้อม สารถีที่ดูธรรมดาจนมันไม่ทันพบเห็นเมื่อก่อนหน้านี้
แม้ยังไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น แต่มันจะทำอย่างไรได้นอกจากก้มหน้าเดินต่อไป กระบี่ยังคงอยู่เคียงกาย แต่มือของมันในตอนนี้ย่อมไม่อาจแตะต้อง ภายใต้หิมะน้ำแข็งกลับเกิดเป็นประกายศาตรากรีดวาดปั้นแต่งเป็นเรื่องราวลึกลับเช่นนี้ขึ้นมาอย่างไม่คาดคิด
ดรุณีเมื่อครู่ก้าวลงจากรถม้าตรงเข้าไปในตัวตึกโดยมิได้เหลียวมองมา แต่ทุกย่างก้าวของนางคล้ายเหยียบย่ำลงบนดวงใจของมันก็ไม่ปาน