วันก่อนได้มีโอกาสดู ฮอร์โมน ซีรีย์ยอดฮิต
พอดูแล้วทำให้ฉุกคิดประสบการ์ณชีวิตได้อย่างหนึ่ง
สิ่งนี้ทำให้เราได้รู้ว่า เรา "กลัว" อะไรมากที่สุดในชีวิต
ประสบการ์ณที่จะทำให้ไม่มีวันลืมความรู้สึกนั้นได้เลยว่ามันทรมาณมากแค่ไหน
ทุกๆคนคงรู้จักคำว่า "จิตตก"กันอยู่แล้ว และคิดว่าทุกคนคงเคยผ่านมาบ้างไม่มากก็น้อย..
เช่นเดียวกันผมเองก็เป็นคนนึงที่ไม่เคยจิตตกมาก่อนเลย อาจมีบ้างแต่ก็ไม่มากมายอะไร
แต่แล้วมีอยู่วันนึง ผมได้ประสบกับอุบัติเหตุข้างทางที่ไม่ร้ายแรงมากแต่ก็ทำให้อีกฝ่ายหนึ่ง เลือดออก และ ด้วยความตกใจเลยรีบรุดเข้าไปช่วยประคองเขาและทำให้ผมต้องสัมผัสโดนเลือดของ อีกฝ่ายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็เช็ดกับกระดาษตามปกติ
ซึ่งในตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไร แต่แล้วพอกลับมาถึงบ้าน อยู่ดีๆมันก็มีอะไรบางอย่าง แว๊บบบ.... เข้ามาในหัว
"เฮ้ย มันจะเป็นอะไรรึเปล่าวะ?"
"ไม่น่านาาา ไม่น่าเป็นไปได้"
แต่ก็ยังรู้สึกไม่สบายใจเลยลองหาข้อมูลในอากู๋ดูดีกว่า
พิมพ์ไป
"โอกาสในการติด HIV"
ข้อมูลขึ้นมาเต็มหน้า มีข้อมูลความรู้มากมาย
เราก็ค้นคว้าทันทีว่า โอกาสติดเชื้อในลักษณะนี้มีมากน้อยแค่ไหน ถึงแม้ว่าคำตอบก็รู้ๆกันอยู่ตามความรู้ที่เราได้เรียนมา นั่นคือ
***โอกาสแทบจะไม่มีเลย***
แต่ว่าก็ดั้น!!....ไปเจอข้อความของคนๆนึงในบอร์ด ย้ำว่าคนเดียว ที่เขียนว่า
"ถ้าหากโดนเลือดของอีกคนทางผิวหนัง ถึงแม้ว่าโอกาสในการติดต่อ อาจจะน้อยมาก แต่ก็ไม่ใช่ 0% เพราะเชื้อสามารถเข้าทางบางแผลหรือเนื้อเยื่ออ่อนของผิวหนังเราได้"
อะไรนะ!!!
ไม่ใช่ 0% นั่นแสดงว่ามีโอกาสยังงั้นเหรอ!!! เอ้ะ แล้วยังไง เอ้ะ.....
ความกังวลเริ่มครอบงำเข้ามาเรื่อยๆ ความกลัวตามมาติดๆ การค้นคว้าในเนตเริ่มถลำลึกเข้าไปเรื่อยๆ ค้นไปจนถึงบทความต่างประเทศ ข่าวสารทุกอย่างที่มีในตอนนั้น อ่านหมด!!
แน่นอนข้อความในนั้นย่อมต้องมีส่วนที่ทำให้เราคิดมากขึ้นไปอีกแน่นอน ถึงแม้มันจะมาจากแหล่งข้อมูลที่ไม่น่าเชื่อถือก็เถอะ
นาทีนั้นเรานับหมด!!
เป็นความกลัวที่ทรมาณจริงๆ หัวสมองปั่นไปหมด คิดไปทุกอย่าง ชีวิตจะทำยังไงดี จะบอกพ่อแม่ยังไง แฟนเราอีกล่ะ ชีวิตเราล่ะ ฯลฯ
จิตตกเต็มรูปแบบ
มีวิธีเดียวที่จะช่วยให้หายได้ นั่นคือการ ตรวจเลือด!!
เอาล่ะตัดสินใจแน่แน่ว หาข้อมูลเลยว่าต้องไปตรวจยังไง ที่ไหน
ปัญหาคือ เรารู้ๆกันอยู่แล้วว่า การตรวจเลือดนั้น จะไปตรวจทันทีไม่ได้ มันต้องรอเวลาหลัง "เสี่ยง"
จะบ้าตาย... นาทีนั้น รอแค่นาทีเดียวก็จะแย่แล้ว...
ส่วนมากก็ต้องรอ เดือนนึง หรือ สามเดือน!!! โอ้ไม่นะ เรารอไม่ไหวแน่ๆ ตายแน่ๆถ้าต้องรอขนาดนั้น
และแล้วเราก็ได้เจอข้อมูลที่ช่วยชีวิตเราไว้ได้
นั่นคือการตรวจ NAT วิธีการตรวจแบบนี้เป็นวิธีการแบบใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นและยังไม่ได้นำมาใช้ อย่างเป็นทางการ แต่ให้ผลที่แม่นยำ 99% โดย 1% ที่หายไปเกิดจากข้อมูลของทางฝั่งคนไข้เอง นับได้ว่ามั่นใจ 100% เลยก็ได้
โดยการตรวจวิธีนี้สามารถตรวจได้หลังได้รับความเสี่ยงมา 5 วัน (เร็วมาก) และต้องไปทำการตรวจที่
"คลินิคนิรนาม" เท่านั้น
ชื่ออาจจะดูน่ากลัว แต่จริงๆเขาตั้งชื่อนั้นมันมีเหตุผล
คลินิคนี้ตั้งขึ้นมาโดยพยายามเข้าถึงคนไข้อย่างแท้จริง ร้อยทั้งร้อย คนส่วนมากไปตรวจเลือด ย่อมมีความตะขิดตะขวงใจอยู่แล้ว อยู่ดีๆจะไปตรวจทำไม ก็จะคิดกันไปเองว่าต้องถูกมองว่าไปมั่วมามั่งล่ะ อะไรต่างๆนาๆไม่อยากพิมพ์ โดยส่วนมากคนทั่วไปเขาไม่ได้นึกนี่ว่าคนที่ไปตรวจเขาอาจจะเจออะไรมาซึ่งไม่ เกี่ยวกับเรื่องนั้นเลยก็ได้
อย่างผมเป็นต้น (โอกาสเสี่ยงอย่างอื่นผมเป็น 0 อย่างแท้จริง 5555 แต่ดันต้องมาตรวจเพราะไอ้โรคจิตตกนี่ล่ะ) ทางคลินิคนี้จึงได้รับตรวจเลือดโดยที่เราไม่จำเป็นต้องบอกชื่อจริงเลย เดี๋ยวเล่ารายละเอียดอีกที
เอาวะพอไหว รอ ...รอ...รอ.. .... 5 วันผ่านไป ช่วงเวลานี้มันช่างยาวนานเหลือเกิน ทั้งวันไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไร นั่งดูเวลาอย่างเดียว ให้มันเย็นดึก และเช้าเลยยิ่งดี นี่สินะความรู้สึกคนจิตตก..
ในที่สุดก็มาถึงเวลานั้นเสียที!!
ตื่นแต่เช้าตรู่เลย 6 โมง แต่งตัว.. เคลียร์งาน เมล ทุกอย่าง ไม่บอกใคร แต่งตัวเดินออกจากบ้านนั่งมอไซค์ปากซอย
"พี่ไปถนนสารสิน ตรงสามแยกเลยครับ"
มอไซค์จอดนิ่มนวลที่สามแยก จ่ายตังเสร็จ คลินิคอยู่ตรงหน้าป้าย หน้าพี่อนันดาใหญ่เบ้อเริ่ม เดินเข้าไป ไม่มีลังเล
เปิดประตูกระจก ....
คนอย่างเยอะ!! นี่ขนาดมาเช้าแล้วนะเนี่ย เดินอย่างกล้าๆกลัวๆ ทำอะไรไม่เป็นจนเขาเรียกไปรับบัตรคิว
ก็นั่งรอ จนถึงคิว เจ้าหน้าที่ยิ้มแย้มมากกกกก พูดหวานมากก แบบไม่เคยเจอมาก่อนก็สอบถามว่ามาทำอะไร เคยมามั้ย บอกขั้นตอน กรอกประวัติ
เพิ่งจะรู้
ตรวจฟรี!!! ด้วย
โดยแต่ละคนมีสิทธิ์ตรวจได้ปีละ 2 ครั้งฟรีๆ (แต่ต้องยื่นบัตรประชาชนนะ) เขาจะเก็บข้อมูลแต่ไม่มีการเปิดเผยใดๆทั้งสิ้น จากนั้นก็ได้บัตรประจำตัวมา โดยเป็นชื่อย่อตัวอักษรเดียว และรหัสตัวเลขประจำตัว
จากนั้นก็เดินขึ้นบันไดไปชั้นสอง รอคิวหมอก่อน (ต้องพบหมอก่อนนะครับ) ระหว่างรอ เราก็คิดว่าเมืองไทยนี่จริงๆแล้วก็ดีนะ มีบริการแบบนี้ด้วย ถึงแม้คนส่วนมากจะไม่รู้แต่อย่างน้อยก็รู้ว่ายังมีของดีซ่อนอยู่จริงๆ
สังเกตคนเดินไปมา สังเกตได้ว่า คนที่มา มากกว่าครึ่ง เป็นชายรักชาย... แปลกแฮะทำไม?
"เบอร์ 29ค่ะ" เสียงหมอเรียกมาจากในห้อง
เราลุกเปิดประตู เจอหน้าหมอไหว้อย่างงาม แทบจะกราบ
"เอ้า เป็นไง ไปทำอะไรมา ตรวจ HIV ใช่มั้ย?"
"ไหนเล่าให้ฟังสิ"
เราก็เล่าไปๆ
หมอทำหน้านิ่งมากๆ จากนั้นก็พูดเสียงเนิบๆ
"เรารู้จัก HIV ใช่มั้ย? ก่อนจะมามีศึกษามาระดับนึงแล้วใช่รึเปล่า อืม.. แต่พูดไปก็คงไม่ช่วยอะไร งั้นเอางี้ ไปเจาะเลือดเลยดีกว่า ... จะได้รู้ๆกันไปนะ"
ไหว้หมออย่างงาม เดินออกมา ไปห้องเจาะเลือด ก็เป็นไปตามขั้นตอน จากนั้นต้องรอ 1 ชม. เพื่อรอฟังผล
1ชม. ผ่านไปไวเหมือนโกหก ..
“หมายเลข 29 ค่ะ”
น้ำเสียงที่คุ้นเคย... เปิดประตูเข้าไปอยู่จุดเดิมนั่งลงตรงหน้าหมอ
หน้าหมอดูเครียดมากๆเปลี่ยนไปจากตอนแรกสิ้นเชิง เราเริ่มใจเสียละ
เอาแล้วไงกู....
“สวัสดี เอาล่ะผลออกมาละนะ ก่อนอื่นเลยหมอต้องบอกก่อนว่าโอกาสติดเชื้อ มีอยู่สามทาง
1.ทางเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน
2.ทางเลือด
3.ทางแม่สู่ลูก
อย่างของคุณเป็นกรณีที่สอง คุณสัมผัสกับเลือดของอีกคน ซึ่งถ้าอีกคนมีเชื้ออยู่ เลือดนั้นย่อมต้องมีเชื้ออยู่ด้วย
โอกาสจะติดมีมากมีน้อย ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น ทางเข้าออกของเชื้อ ปริมาณขอเชื้อ และเวลาในการสัมผัสเชื้อ... คุณเองคุณคิดว่ามีความเสี่ยงใช่มั้ย?”
“ครับ” (คิดในใจ ถ้ากูไม่คิดกูคงมาหรอกนะ)
“ทำใจเย็นๆนะ ไหนลองบอกมาสิว่า ถ้าเกิดติดเชื้อ จะทำยังไงต่อไป”
(อ้าว เชี่ยแล้ว... หน้าชาเลย ใจสั่น อยากวิ่งหนีในตอนนั้นๆเลย)
“ก็....ต้องรักษาตัวครับ”
น้ำตาเริ่มซึมออกมา
หมอถอนหายใจยาวๆ
“ดีแล้ว .... ผลออกมาเป็นลบนะ คุณปกติดีไม่มีเชื้อ”
เยส!!!!!!! ดีใจมากกกกกก ไม่เคยดีใจขนาดนี้มาก่อน ขอบคุณ

กใหญ่
หมอก็บอกว่า
"จริงแล้วๆ อย่างกรณีของเรา ไม่จำเป็นต้องมาตรวจหรอก เพราะยังไงก็ไม่ติดเชื้อ เราน่ะไปเสพข้อมูลในเนตมากไป ซึ่งส่วนมากเป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้องเลย
อย่างการที่เลือดจะมาติดอีกฝ่ายได้ มันต้องมีทางเข้าด้วย ถ้ามาสมัผัสผิวหนังเราตรงๆ ไม่มีทางเลยที่เชื้อจะผ่านเข้าไปได้ มันต้องมีบาดแผลด้วย ซึ่งบาดแผลนี้ต้องเป็นบาดแผลเปิด อีกต่างหาก แผลเปิด คือแผลที่ต้องสด ใหม่ ยังเจ็บและมีเลือดไหลอยู่ตลอดเวลา ...แผลถลอก ตกสะเก็ด ขีดข่วน อันนี้ไม่นับเพราะมันเข้าไม่ได้ .. และถึงแม้ว่าจะเป็นแผลเปิด มันก็ต้องดูโอกาสอีกว่า เลือดที่มาสัมผัส มีเชื้อมากน้อยแค่ไหน มีมากโอกาสก็มากตาม มีน้อย โอกาสก็น้อยตาม ดังนั้น โอกาสติดแทบเป็น 0 คนบ้าที่ไหนมีแผลเปิด เลือดไหลตลอดเวลาจะมาเดินตามท้องถนน หรือ ปล่อยให้มันไหลไปเรื่อยๆ
เชื้อไวรัสเองก็อยู่ได้ 3 ที่เท่านั้นคือ
1.เลือด มีมากสุด
2.สารคัดหลั่ง
3.ส่วนอื่นๆเช่น น้ำลาย น้ำหนอง....
แต่ข้อสามนี้ไม่นับว่ามีโอกาสทำให้ติดเชื้อได้ เพราะ ปริมาณของเชื้อ มีน้อยจนเกินไปจนทำให้ติดไม่ได้นั่นเอง
หมอก็ยกตย. เช่นการจูบ ถ้าจูบกันแล้วให้ติดเชื้อได้ ต้องใช้น้ำลายประมาณ แกลลอนนึง คุณคิดว่าทำได้มั้ยล่ะ??"
ทุกอย่างเคลียร์ ....
จากนั้นจึงได้คุยทั่วไปกับหมอ เช่นเรื่องคนไข้ที่มาที่นี่ ทำไมถึงส่วนมากเป็นแบบชายรักชาย
หมอเล่าให้ฟังว่า
"อย่างที่เล่าไป โอกาสติดเชื้อมีมากน้อยไม่เท่ากัน ตามสถิติแล้วโอกาสการติดเชื้อในกลุ่มชายรักชาย จะมีมากกว่าคู่ชายหญิงธรรมดาถึงสองเท่า หรืออาจจะมากกว่า รองลงมาจะเป็นกลุ่มแม่บ้าน ใช่ครับฟังไม่ผิด แม่บ้าน!! หมอบอกว่า คุณเชื่อมั้ยคนที่ติดส่วนมากเกิดเพราะความไว้ใจ.. สามีไปมีอะไรกับคนอื่น ไปมั่วมาติดเชื้อมาแล้วมาติดภรรยาต่ออีกที พวกนี้จะเยอะมาก.... "
ผมเลยถามต่อว่า
“ทำไมพวกผู้หญิงที่ทำงานออน. หรือ สถานบันเทิงทั่วๆไป ไม่อยู่อันดับ 1 เหรอ?ครับ”
หมอก็ตอบมาว่า
"พวกนี้เค้าสะอาดนะ ส่วนมากไม่ติดหรอกเค้าตรวจโรคบ่อย คอยระวังและป้องกันทุกครั้ง แต่ก็ไม่ใช่ว่า 100% เพราะยังไงพวกนี้โอกาสติดก็มีสูงอยู่แล้ว ให้สัก 70% น่าจะเหมาะกว่า แต่ถ้าเราไปเที่ยวแล้วป้องกันซะก็ไม่ต้องไปกังวลอะไรมาก
แต่ถึงแม้ว่าป้องกันโดยใช้ถุงยาง ก็ไม่ใช่ว่าป้องกัน 100% นะ ถ้าเกิดถุงแตก หรือรั่ว เมื่อนั้นล่ะบรรลัยเกิด... เราไม่ทางรู้เลยว่ามันรั่วรึเปล่า หรือบางทีแตกแต่คนใช้ไม่รู้ตัวก็มี คนที่โดนก็เหมือนถูกหวย คนมันจะโดนยังไงก็โดน
ติดเชื้อกันเป็นแถบ"
หมอบอกว่าปีๆนึงมีคนจิตตกแบบเราไปหาหมอเยอะมาก มีทุกวันเป็นเรื่องธรรมดาหมอก็มีหน้าที่ให้คำแนะนำและข้อมูลที่ถูกต้องจะได้ ไม่ต้องเข้าใจผิดและคิดมาก
“ระวังได้.. แต่อย่าระแวง” หมอบอกมาสั้นๆได้ใจความ
“อ้อลืมบอกไป ที่ตรวจนี่คือการตรวจแบบธรรมดานะ GEN4 มั่นใจผลได้หลังรับเสี่ยงมา 14 วัน”

..
“เอ่อ..แล้ว NAT ล่ะครับหมอ?...”
“อ้อๆๆ มีๆ แต่ว่า NAT เขาจะส่งไปตรวจให้อีกทีทุกคนอยู่แล้วทุกวัน คุณกลับไป รอ ถ้าภายในสองวันไม่มีโทรศัพท์ไปหาคุณ คุณก็ปลอดภัย... แต่ถ้ามี เขาจะให้เรากลับมาตรวจอีกทีนะ เพื่อความชัวร์”
“ลืมบอกไป คุณรู้รึยังว่าเดี๋ยวนี้ HIV รักษาได้แล้วนะ ถ้าเรารู้เร็วรักษาเร็ว หายไปเป็นร้อยคนแล้ว เพราะงั้น ไม่ต้องกังวลให้มาก เพราะยังไงคุณก็ไม่มีความเสี่ยงอยู่แล้ว คนอื่นรุนแรงกว่าคุณหลายร้อยเท่ายังไม่กังวลเท่าคุณเลย”
เราก็ลุกขึ้นลาหมอ ออกจากห้อง กลับบ้าน
ต้องรออีกสองวันเชียวรึเนี่ย....เอาวะ
วันต่อมาตอนบ่ายๆก็รอไม่ไหวอยู่ดี เลยโทรไปที่ศูนย์ NAT ถามเลย
ปรากฎว่า “ยืนยันผลตามเดิมทุกคนค่ะ”
ถอนหายใจโล่งยาวววววว
กลับมาที่ความกลัวต่อ.. นอกเรื่องไปยาว
อย่างที่เล่าเมื่อเกิดอะไรขึ้นกับตัวเราชีวิตเรา เริ่มรู้สึกไม่มั่นคง ไม่ปลอดภัย สิ่งที่เรากลัวคืออะไร ทำไมเราถึงกลัวขนาดนั้นได้
กลัวโดนด่า? ไม่ใช่นี่
กลัวตาย?... มีบ้างแต่ไม่น่าใช่อันหลัก
กลัวการรักษา?... อันนี้ยิ่งไม่ใช่อีก
กลัวอะไรหว่า ความรู้สึกนี้......
คิดไปคิดมา เอ้ะ หรือว่า....
เรากำลังจะแต่งงานเดือนมกรานี้ แน่นอนเราต้องมีการวางแผน มีความฝัน มีสิ่งที่อยากทำร่วมกับแฟนเรา อยากสร้างครอบครัวที่อบอุ่นไปด้วยกัน อยากไปเที่ยวด้วยกัน อยุ่ด้วยกันตลอดเวลา หัวเราะด้วยกัน ร้องไห้ด้วยกัน (ยกเวนตอนเธอเป็นเมนส์ ผมร้องคนเดียว เพราะโดนกระทำ) พอคิดตรงนี้ ภาพแฟลชแบคก็ขึ้นมา อดีตที่เราเคยมีร่วมกันมา เรื่องราวย้อนไปตั้งแต่เจอกันที่เมกา เดทครั้งแรก เที่ยวครั้งแรก เริ่มทำธุรกิจครั้งแรก ...ทุกอย่างๆขึ้นมาหมด
ใช่แล้ว!!! อย่างนี้นี่เอง
สิ่งที่เรากลัวที่สุด ไม่ใช่อะไรเลย ......... เรากลัวที่จะไม่ได้ใช้ชีวิตร่วมกับเธอ.........
ตั้งแต่นั้นมา เราตัดความเสี่ยงทุกอย่างออกไปจนหมด จากเดิมที่ไม่มีความเสี่ยงอยู่แล้ว... เพราะแน่นอน เราไม่เที่ยว ไม่ดื่ม ไม่สูบบุหรี่ เราก็ละเอียดรอบคอบให้มากขึ้น ไม่ใช่เฉพาะเรื่องนี้แต่เป็นในทุกๆเรื่อง เพราะในชีวิตของเรา ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว แต่ยังมีคนอื่นอยู่ด้วย ถ้าเราทำอะไรไม่คิด เราอาจจะต้องสูญเสียสิ่งๆนี้ไป เราตายไม่เท่าไหร่ แต่ความเสียดายมันเจ็บมากกว่าการตายเสียอีก ....
#สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตไม่ใช่ชีวิตของเราแต่เป็นชีวิตของคนที่มีความสำคัญที่สุดสำหรับเราต่างหาก
แชร์ประสบการ์ณ จิตตก และความกลัวที่สุดในชีวิตครับ หวังว่าจะมีประโยชน์สำหรับหลายๆคน
พอดูแล้วทำให้ฉุกคิดประสบการ์ณชีวิตได้อย่างหนึ่ง
สิ่งนี้ทำให้เราได้รู้ว่า เรา "กลัว" อะไรมากที่สุดในชีวิต
ประสบการ์ณที่จะทำให้ไม่มีวันลืมความรู้สึกนั้นได้เลยว่ามันทรมาณมากแค่ไหน
ทุกๆคนคงรู้จักคำว่า "จิตตก"กันอยู่แล้ว และคิดว่าทุกคนคงเคยผ่านมาบ้างไม่มากก็น้อย..
เช่นเดียวกันผมเองก็เป็นคนนึงที่ไม่เคยจิตตกมาก่อนเลย อาจมีบ้างแต่ก็ไม่มากมายอะไร
แต่แล้วมีอยู่วันนึง ผมได้ประสบกับอุบัติเหตุข้างทางที่ไม่ร้ายแรงมากแต่ก็ทำให้อีกฝ่ายหนึ่ง เลือดออก และ ด้วยความตกใจเลยรีบรุดเข้าไปช่วยประคองเขาและทำให้ผมต้องสัมผัสโดนเลือดของ อีกฝ่ายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็เช็ดกับกระดาษตามปกติ
ซึ่งในตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไร แต่แล้วพอกลับมาถึงบ้าน อยู่ดีๆมันก็มีอะไรบางอย่าง แว๊บบบ.... เข้ามาในหัว
"เฮ้ย มันจะเป็นอะไรรึเปล่าวะ?"
"ไม่น่านาาา ไม่น่าเป็นไปได้"
แต่ก็ยังรู้สึกไม่สบายใจเลยลองหาข้อมูลในอากู๋ดูดีกว่า
พิมพ์ไป
"โอกาสในการติด HIV"
ข้อมูลขึ้นมาเต็มหน้า มีข้อมูลความรู้มากมาย
เราก็ค้นคว้าทันทีว่า โอกาสติดเชื้อในลักษณะนี้มีมากน้อยแค่ไหน ถึงแม้ว่าคำตอบก็รู้ๆกันอยู่ตามความรู้ที่เราได้เรียนมา นั่นคือ
***โอกาสแทบจะไม่มีเลย***
แต่ว่าก็ดั้น!!....ไปเจอข้อความของคนๆนึงในบอร์ด ย้ำว่าคนเดียว ที่เขียนว่า
"ถ้าหากโดนเลือดของอีกคนทางผิวหนัง ถึงแม้ว่าโอกาสในการติดต่อ อาจจะน้อยมาก แต่ก็ไม่ใช่ 0% เพราะเชื้อสามารถเข้าทางบางแผลหรือเนื้อเยื่ออ่อนของผิวหนังเราได้"
อะไรนะ!!!
ไม่ใช่ 0% นั่นแสดงว่ามีโอกาสยังงั้นเหรอ!!! เอ้ะ แล้วยังไง เอ้ะ.....
ความกังวลเริ่มครอบงำเข้ามาเรื่อยๆ ความกลัวตามมาติดๆ การค้นคว้าในเนตเริ่มถลำลึกเข้าไปเรื่อยๆ ค้นไปจนถึงบทความต่างประเทศ ข่าวสารทุกอย่างที่มีในตอนนั้น อ่านหมด!!
แน่นอนข้อความในนั้นย่อมต้องมีส่วนที่ทำให้เราคิดมากขึ้นไปอีกแน่นอน ถึงแม้มันจะมาจากแหล่งข้อมูลที่ไม่น่าเชื่อถือก็เถอะ
นาทีนั้นเรานับหมด!!
เป็นความกลัวที่ทรมาณจริงๆ หัวสมองปั่นไปหมด คิดไปทุกอย่าง ชีวิตจะทำยังไงดี จะบอกพ่อแม่ยังไง แฟนเราอีกล่ะ ชีวิตเราล่ะ ฯลฯ
จิตตกเต็มรูปแบบ
มีวิธีเดียวที่จะช่วยให้หายได้ นั่นคือการ ตรวจเลือด!!
เอาล่ะตัดสินใจแน่แน่ว หาข้อมูลเลยว่าต้องไปตรวจยังไง ที่ไหน
ปัญหาคือ เรารู้ๆกันอยู่แล้วว่า การตรวจเลือดนั้น จะไปตรวจทันทีไม่ได้ มันต้องรอเวลาหลัง "เสี่ยง"
จะบ้าตาย... นาทีนั้น รอแค่นาทีเดียวก็จะแย่แล้ว...
ส่วนมากก็ต้องรอ เดือนนึง หรือ สามเดือน!!! โอ้ไม่นะ เรารอไม่ไหวแน่ๆ ตายแน่ๆถ้าต้องรอขนาดนั้น
และแล้วเราก็ได้เจอข้อมูลที่ช่วยชีวิตเราไว้ได้
นั่นคือการตรวจ NAT วิธีการตรวจแบบนี้เป็นวิธีการแบบใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นและยังไม่ได้นำมาใช้ อย่างเป็นทางการ แต่ให้ผลที่แม่นยำ 99% โดย 1% ที่หายไปเกิดจากข้อมูลของทางฝั่งคนไข้เอง นับได้ว่ามั่นใจ 100% เลยก็ได้
โดยการตรวจวิธีนี้สามารถตรวจได้หลังได้รับความเสี่ยงมา 5 วัน (เร็วมาก) และต้องไปทำการตรวจที่
"คลินิคนิรนาม" เท่านั้น
ชื่ออาจจะดูน่ากลัว แต่จริงๆเขาตั้งชื่อนั้นมันมีเหตุผล
คลินิคนี้ตั้งขึ้นมาโดยพยายามเข้าถึงคนไข้อย่างแท้จริง ร้อยทั้งร้อย คนส่วนมากไปตรวจเลือด ย่อมมีความตะขิดตะขวงใจอยู่แล้ว อยู่ดีๆจะไปตรวจทำไม ก็จะคิดกันไปเองว่าต้องถูกมองว่าไปมั่วมามั่งล่ะ อะไรต่างๆนาๆไม่อยากพิมพ์ โดยส่วนมากคนทั่วไปเขาไม่ได้นึกนี่ว่าคนที่ไปตรวจเขาอาจจะเจออะไรมาซึ่งไม่ เกี่ยวกับเรื่องนั้นเลยก็ได้
อย่างผมเป็นต้น (โอกาสเสี่ยงอย่างอื่นผมเป็น 0 อย่างแท้จริง 5555 แต่ดันต้องมาตรวจเพราะไอ้โรคจิตตกนี่ล่ะ) ทางคลินิคนี้จึงได้รับตรวจเลือดโดยที่เราไม่จำเป็นต้องบอกชื่อจริงเลย เดี๋ยวเล่ารายละเอียดอีกที
เอาวะพอไหว รอ ...รอ...รอ.. .... 5 วันผ่านไป ช่วงเวลานี้มันช่างยาวนานเหลือเกิน ทั้งวันไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไร นั่งดูเวลาอย่างเดียว ให้มันเย็นดึก และเช้าเลยยิ่งดี นี่สินะความรู้สึกคนจิตตก..
ในที่สุดก็มาถึงเวลานั้นเสียที!!
ตื่นแต่เช้าตรู่เลย 6 โมง แต่งตัว.. เคลียร์งาน เมล ทุกอย่าง ไม่บอกใคร แต่งตัวเดินออกจากบ้านนั่งมอไซค์ปากซอย
"พี่ไปถนนสารสิน ตรงสามแยกเลยครับ"
มอไซค์จอดนิ่มนวลที่สามแยก จ่ายตังเสร็จ คลินิคอยู่ตรงหน้าป้าย หน้าพี่อนันดาใหญ่เบ้อเริ่ม เดินเข้าไป ไม่มีลังเล
เปิดประตูกระจก ....
คนอย่างเยอะ!! นี่ขนาดมาเช้าแล้วนะเนี่ย เดินอย่างกล้าๆกลัวๆ ทำอะไรไม่เป็นจนเขาเรียกไปรับบัตรคิว
ก็นั่งรอ จนถึงคิว เจ้าหน้าที่ยิ้มแย้มมากกกกก พูดหวานมากก แบบไม่เคยเจอมาก่อนก็สอบถามว่ามาทำอะไร เคยมามั้ย บอกขั้นตอน กรอกประวัติ
เพิ่งจะรู้
ตรวจฟรี!!! ด้วย
โดยแต่ละคนมีสิทธิ์ตรวจได้ปีละ 2 ครั้งฟรีๆ (แต่ต้องยื่นบัตรประชาชนนะ) เขาจะเก็บข้อมูลแต่ไม่มีการเปิดเผยใดๆทั้งสิ้น จากนั้นก็ได้บัตรประจำตัวมา โดยเป็นชื่อย่อตัวอักษรเดียว และรหัสตัวเลขประจำตัว
จากนั้นก็เดินขึ้นบันไดไปชั้นสอง รอคิวหมอก่อน (ต้องพบหมอก่อนนะครับ) ระหว่างรอ เราก็คิดว่าเมืองไทยนี่จริงๆแล้วก็ดีนะ มีบริการแบบนี้ด้วย ถึงแม้คนส่วนมากจะไม่รู้แต่อย่างน้อยก็รู้ว่ายังมีของดีซ่อนอยู่จริงๆ
สังเกตคนเดินไปมา สังเกตได้ว่า คนที่มา มากกว่าครึ่ง เป็นชายรักชาย... แปลกแฮะทำไม?
"เบอร์ 29ค่ะ" เสียงหมอเรียกมาจากในห้อง
เราลุกเปิดประตู เจอหน้าหมอไหว้อย่างงาม แทบจะกราบ
"เอ้า เป็นไง ไปทำอะไรมา ตรวจ HIV ใช่มั้ย?"
"ไหนเล่าให้ฟังสิ"
เราก็เล่าไปๆ
หมอทำหน้านิ่งมากๆ จากนั้นก็พูดเสียงเนิบๆ
"เรารู้จัก HIV ใช่มั้ย? ก่อนจะมามีศึกษามาระดับนึงแล้วใช่รึเปล่า อืม.. แต่พูดไปก็คงไม่ช่วยอะไร งั้นเอางี้ ไปเจาะเลือดเลยดีกว่า ... จะได้รู้ๆกันไปนะ"
ไหว้หมออย่างงาม เดินออกมา ไปห้องเจาะเลือด ก็เป็นไปตามขั้นตอน จากนั้นต้องรอ 1 ชม. เพื่อรอฟังผล
1ชม. ผ่านไปไวเหมือนโกหก ..
“หมายเลข 29 ค่ะ”
น้ำเสียงที่คุ้นเคย... เปิดประตูเข้าไปอยู่จุดเดิมนั่งลงตรงหน้าหมอ
หน้าหมอดูเครียดมากๆเปลี่ยนไปจากตอนแรกสิ้นเชิง เราเริ่มใจเสียละ
เอาแล้วไงกู....
“สวัสดี เอาล่ะผลออกมาละนะ ก่อนอื่นเลยหมอต้องบอกก่อนว่าโอกาสติดเชื้อ มีอยู่สามทาง
1.ทางเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน
2.ทางเลือด
3.ทางแม่สู่ลูก
อย่างของคุณเป็นกรณีที่สอง คุณสัมผัสกับเลือดของอีกคน ซึ่งถ้าอีกคนมีเชื้ออยู่ เลือดนั้นย่อมต้องมีเชื้ออยู่ด้วย
โอกาสจะติดมีมากมีน้อย ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น ทางเข้าออกของเชื้อ ปริมาณขอเชื้อ และเวลาในการสัมผัสเชื้อ... คุณเองคุณคิดว่ามีความเสี่ยงใช่มั้ย?”
“ครับ” (คิดในใจ ถ้ากูไม่คิดกูคงมาหรอกนะ)
“ทำใจเย็นๆนะ ไหนลองบอกมาสิว่า ถ้าเกิดติดเชื้อ จะทำยังไงต่อไป”
(อ้าว เชี่ยแล้ว... หน้าชาเลย ใจสั่น อยากวิ่งหนีในตอนนั้นๆเลย)
“ก็....ต้องรักษาตัวครับ”
น้ำตาเริ่มซึมออกมา
หมอถอนหายใจยาวๆ
“ดีแล้ว .... ผลออกมาเป็นลบนะ คุณปกติดีไม่มีเชื้อ”
เยส!!!!!!! ดีใจมากกกกกก ไม่เคยดีใจขนาดนี้มาก่อน ขอบคุณ
หมอก็บอกว่า
"จริงแล้วๆ อย่างกรณีของเรา ไม่จำเป็นต้องมาตรวจหรอก เพราะยังไงก็ไม่ติดเชื้อ เราน่ะไปเสพข้อมูลในเนตมากไป ซึ่งส่วนมากเป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้องเลย
อย่างการที่เลือดจะมาติดอีกฝ่ายได้ มันต้องมีทางเข้าด้วย ถ้ามาสมัผัสผิวหนังเราตรงๆ ไม่มีทางเลยที่เชื้อจะผ่านเข้าไปได้ มันต้องมีบาดแผลด้วย ซึ่งบาดแผลนี้ต้องเป็นบาดแผลเปิด อีกต่างหาก แผลเปิด คือแผลที่ต้องสด ใหม่ ยังเจ็บและมีเลือดไหลอยู่ตลอดเวลา ...แผลถลอก ตกสะเก็ด ขีดข่วน อันนี้ไม่นับเพราะมันเข้าไม่ได้ .. และถึงแม้ว่าจะเป็นแผลเปิด มันก็ต้องดูโอกาสอีกว่า เลือดที่มาสัมผัส มีเชื้อมากน้อยแค่ไหน มีมากโอกาสก็มากตาม มีน้อย โอกาสก็น้อยตาม ดังนั้น โอกาสติดแทบเป็น 0 คนบ้าที่ไหนมีแผลเปิด เลือดไหลตลอดเวลาจะมาเดินตามท้องถนน หรือ ปล่อยให้มันไหลไปเรื่อยๆ
เชื้อไวรัสเองก็อยู่ได้ 3 ที่เท่านั้นคือ
1.เลือด มีมากสุด
2.สารคัดหลั่ง
3.ส่วนอื่นๆเช่น น้ำลาย น้ำหนอง....
แต่ข้อสามนี้ไม่นับว่ามีโอกาสทำให้ติดเชื้อได้ เพราะ ปริมาณของเชื้อ มีน้อยจนเกินไปจนทำให้ติดไม่ได้นั่นเอง
หมอก็ยกตย. เช่นการจูบ ถ้าจูบกันแล้วให้ติดเชื้อได้ ต้องใช้น้ำลายประมาณ แกลลอนนึง คุณคิดว่าทำได้มั้ยล่ะ??"
ทุกอย่างเคลียร์ ....
จากนั้นจึงได้คุยทั่วไปกับหมอ เช่นเรื่องคนไข้ที่มาที่นี่ ทำไมถึงส่วนมากเป็นแบบชายรักชาย
หมอเล่าให้ฟังว่า
"อย่างที่เล่าไป โอกาสติดเชื้อมีมากน้อยไม่เท่ากัน ตามสถิติแล้วโอกาสการติดเชื้อในกลุ่มชายรักชาย จะมีมากกว่าคู่ชายหญิงธรรมดาถึงสองเท่า หรืออาจจะมากกว่า รองลงมาจะเป็นกลุ่มแม่บ้าน ใช่ครับฟังไม่ผิด แม่บ้าน!! หมอบอกว่า คุณเชื่อมั้ยคนที่ติดส่วนมากเกิดเพราะความไว้ใจ.. สามีไปมีอะไรกับคนอื่น ไปมั่วมาติดเชื้อมาแล้วมาติดภรรยาต่ออีกที พวกนี้จะเยอะมาก.... "
ผมเลยถามต่อว่า
“ทำไมพวกผู้หญิงที่ทำงานออน. หรือ สถานบันเทิงทั่วๆไป ไม่อยู่อันดับ 1 เหรอ?ครับ”
หมอก็ตอบมาว่า
"พวกนี้เค้าสะอาดนะ ส่วนมากไม่ติดหรอกเค้าตรวจโรคบ่อย คอยระวังและป้องกันทุกครั้ง แต่ก็ไม่ใช่ว่า 100% เพราะยังไงพวกนี้โอกาสติดก็มีสูงอยู่แล้ว ให้สัก 70% น่าจะเหมาะกว่า แต่ถ้าเราไปเที่ยวแล้วป้องกันซะก็ไม่ต้องไปกังวลอะไรมาก
แต่ถึงแม้ว่าป้องกันโดยใช้ถุงยาง ก็ไม่ใช่ว่าป้องกัน 100% นะ ถ้าเกิดถุงแตก หรือรั่ว เมื่อนั้นล่ะบรรลัยเกิด... เราไม่ทางรู้เลยว่ามันรั่วรึเปล่า หรือบางทีแตกแต่คนใช้ไม่รู้ตัวก็มี คนที่โดนก็เหมือนถูกหวย คนมันจะโดนยังไงก็โดน
ติดเชื้อกันเป็นแถบ"
หมอบอกว่าปีๆนึงมีคนจิตตกแบบเราไปหาหมอเยอะมาก มีทุกวันเป็นเรื่องธรรมดาหมอก็มีหน้าที่ให้คำแนะนำและข้อมูลที่ถูกต้องจะได้ ไม่ต้องเข้าใจผิดและคิดมาก
“ระวังได้.. แต่อย่าระแวง” หมอบอกมาสั้นๆได้ใจความ
“อ้อลืมบอกไป ที่ตรวจนี่คือการตรวจแบบธรรมดานะ GEN4 มั่นใจผลได้หลังรับเสี่ยงมา 14 วัน”
“เอ่อ..แล้ว NAT ล่ะครับหมอ?...”
“อ้อๆๆ มีๆ แต่ว่า NAT เขาจะส่งไปตรวจให้อีกทีทุกคนอยู่แล้วทุกวัน คุณกลับไป รอ ถ้าภายในสองวันไม่มีโทรศัพท์ไปหาคุณ คุณก็ปลอดภัย... แต่ถ้ามี เขาจะให้เรากลับมาตรวจอีกทีนะ เพื่อความชัวร์”
“ลืมบอกไป คุณรู้รึยังว่าเดี๋ยวนี้ HIV รักษาได้แล้วนะ ถ้าเรารู้เร็วรักษาเร็ว หายไปเป็นร้อยคนแล้ว เพราะงั้น ไม่ต้องกังวลให้มาก เพราะยังไงคุณก็ไม่มีความเสี่ยงอยู่แล้ว คนอื่นรุนแรงกว่าคุณหลายร้อยเท่ายังไม่กังวลเท่าคุณเลย”
เราก็ลุกขึ้นลาหมอ ออกจากห้อง กลับบ้าน
ต้องรออีกสองวันเชียวรึเนี่ย....เอาวะ
วันต่อมาตอนบ่ายๆก็รอไม่ไหวอยู่ดี เลยโทรไปที่ศูนย์ NAT ถามเลย
ปรากฎว่า “ยืนยันผลตามเดิมทุกคนค่ะ”
ถอนหายใจโล่งยาวววววว
กลับมาที่ความกลัวต่อ.. นอกเรื่องไปยาว
อย่างที่เล่าเมื่อเกิดอะไรขึ้นกับตัวเราชีวิตเรา เริ่มรู้สึกไม่มั่นคง ไม่ปลอดภัย สิ่งที่เรากลัวคืออะไร ทำไมเราถึงกลัวขนาดนั้นได้
กลัวโดนด่า? ไม่ใช่นี่
กลัวตาย?... มีบ้างแต่ไม่น่าใช่อันหลัก
กลัวการรักษา?... อันนี้ยิ่งไม่ใช่อีก
กลัวอะไรหว่า ความรู้สึกนี้......
คิดไปคิดมา เอ้ะ หรือว่า....
เรากำลังจะแต่งงานเดือนมกรานี้ แน่นอนเราต้องมีการวางแผน มีความฝัน มีสิ่งที่อยากทำร่วมกับแฟนเรา อยากสร้างครอบครัวที่อบอุ่นไปด้วยกัน อยากไปเที่ยวด้วยกัน อยุ่ด้วยกันตลอดเวลา หัวเราะด้วยกัน ร้องไห้ด้วยกัน (ยกเวนตอนเธอเป็นเมนส์ ผมร้องคนเดียว เพราะโดนกระทำ) พอคิดตรงนี้ ภาพแฟลชแบคก็ขึ้นมา อดีตที่เราเคยมีร่วมกันมา เรื่องราวย้อนไปตั้งแต่เจอกันที่เมกา เดทครั้งแรก เที่ยวครั้งแรก เริ่มทำธุรกิจครั้งแรก ...ทุกอย่างๆขึ้นมาหมด
ใช่แล้ว!!! อย่างนี้นี่เอง
สิ่งที่เรากลัวที่สุด ไม่ใช่อะไรเลย ......... เรากลัวที่จะไม่ได้ใช้ชีวิตร่วมกับเธอ.........
ตั้งแต่นั้นมา เราตัดความเสี่ยงทุกอย่างออกไปจนหมด จากเดิมที่ไม่มีความเสี่ยงอยู่แล้ว... เพราะแน่นอน เราไม่เที่ยว ไม่ดื่ม ไม่สูบบุหรี่ เราก็ละเอียดรอบคอบให้มากขึ้น ไม่ใช่เฉพาะเรื่องนี้แต่เป็นในทุกๆเรื่อง เพราะในชีวิตของเรา ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว แต่ยังมีคนอื่นอยู่ด้วย ถ้าเราทำอะไรไม่คิด เราอาจจะต้องสูญเสียสิ่งๆนี้ไป เราตายไม่เท่าไหร่ แต่ความเสียดายมันเจ็บมากกว่าการตายเสียอีก ....
#สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตไม่ใช่ชีวิตของเราแต่เป็นชีวิตของคนที่มีความสำคัญที่สุดสำหรับเราต่างหาก