วิญญาณปรมาณู มีลักษณะกลม เป็นจุดผ่องใสเหมือนแก้ว มีขนาดเล็กกว่าปลายเข็ม มีจำนวนมหาศาลนับไม่ได้ ความว่างไม่มีที่สิ้นสุด วิญญาณปรมาณูก็ไม่มีที่สิ้นสุด เป็นธรรมชาติว่าง+สว่าง ในความว่างนั้นจะมีวิญญาณปรมาณูขั้นกลาง ครอบโลกธาตุไม่มีที่สิ้นสุด ทลุปรุโปรงทุกสรรพสิ่ง ไม่มีสิ่งกีดขวางใดจะบดบังธรรมชาติวิญญาณปรมาณูได้ วิญญาณปรมาณูจะซึมซาบทลุปรุโปรงทุกสรรพสิ่ง วิญญาณปรมาณูเป็นธรรมชาติรู้ จะรู้อะไรก็ตาม ก็รู้ด้วยวิญญาณปรมาณูทั้งสิ้น
วิญญาณปรมาณูจึงเป็นเหมือนอวิชชา ปราบใดที่อวิชชาไม่ดับ คือวิญญาณปรมาณูไม่ถูกทำลาย ปราบนั้นภพ-ชาติก็ไม่ดับ วิญญาณปรมาณูเป็นอวิชชาแท้ เป็นจุดเริ่มต้นของวัฏฏจักร ภพชาติก็ผุดขึ้น กำเนิดขึ้น ปรากฏขึ้น จากวิญญาณปรมาณูทั้งสิ้น รวมเรียกว่ารูป-นาม เมื่ออวิชชาคือวิญญาณปรมาณูไม่ดับ อวิชชาจึงยังมี สังขารจึงมี รูป-นามจึงมี ผัสสะจึงมี วิญญาณจึงมี เวทนาจึงมี ตัณหาจึงมี อุปทานจึงมี ภพ-ชาติ จึงมี เกิดแก่เจ็บตายจึงมี
ผู้ที่จะสามารถทำลายวิญญาณปรมาณูนี้ได้ ต้องนิพพานเท่านั้น คือบรรลุธรรมสำเร็จพระอรหันต์เจ้า อวิชชาแท้มันผ่องใส เป็นธรรมชาติรู้ พระอนาคามีจะหลงยึดตรงนี้เป็นนิพพานไม่ได้ ต้องวิปัสสนาตัวผ่องใส คือวิญญาณปารมาณูอันนี้ให้พินาจลงไป ให้อวิชชามันดับไป ก็จะถึงวิมุตินิพพานแท้
วันนี้จะเขียนเรื่อง วิญญาณปรมาณู ไม่อิงตำรานะครับฮ่าๆอิอิ
วิญญาณปรมาณูจึงเป็นเหมือนอวิชชา ปราบใดที่อวิชชาไม่ดับ คือวิญญาณปรมาณูไม่ถูกทำลาย ปราบนั้นภพ-ชาติก็ไม่ดับ วิญญาณปรมาณูเป็นอวิชชาแท้ เป็นจุดเริ่มต้นของวัฏฏจักร ภพชาติก็ผุดขึ้น กำเนิดขึ้น ปรากฏขึ้น จากวิญญาณปรมาณูทั้งสิ้น รวมเรียกว่ารูป-นาม เมื่ออวิชชาคือวิญญาณปรมาณูไม่ดับ อวิชชาจึงยังมี สังขารจึงมี รูป-นามจึงมี ผัสสะจึงมี วิญญาณจึงมี เวทนาจึงมี ตัณหาจึงมี อุปทานจึงมี ภพ-ชาติ จึงมี เกิดแก่เจ็บตายจึงมี
ผู้ที่จะสามารถทำลายวิญญาณปรมาณูนี้ได้ ต้องนิพพานเท่านั้น คือบรรลุธรรมสำเร็จพระอรหันต์เจ้า อวิชชาแท้มันผ่องใส เป็นธรรมชาติรู้ พระอนาคามีจะหลงยึดตรงนี้เป็นนิพพานไม่ได้ ต้องวิปัสสนาตัวผ่องใส คือวิญญาณปารมาณูอันนี้ให้พินาจลงไป ให้อวิชชามันดับไป ก็จะถึงวิมุตินิพพานแท้