ความหมายของคำว่าศักดินา
“ศักดินา” โดยรูปคำ แปลว่า “อำนาจในการครอบครองที่นา” และถ้าจะแปลขยายความออกให้แจ่มแจ้งแล้ว ศักดินาก็หมายถึง อำนาจในการครอบครองที่ดิน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการทำไร่และการทำนา อันเป็นอาชีพหลักของประชาชนในยุคนั้นนั่นเอง จากการแปลความหมายของศัพท์เช่นนี้ เราก็พอจะมองเห็นได้คร่าวๆ แล้วว่าระบบผลิตศักดินาเป็นระบบผลิตที่พัวพันอยู่กับ “
ที่ดิน”
ตามหลักเศรษฐศาสตร์ “ที่ดิน”ถือว่าเป็นปัจจัยแห่งการผลิต (Means of Production) อย่างหนึ่งพูดอย่างง่ายๆ ก็คือ ที่ดินเป็นเครื่องมืออันหนึ่งในการทำมาหากินของมนุษย์ ในสังคมของมนุษย์ก่อนสมัยทุนนิยมซึ่งเครื่องจักรกลถือกำเนิดขึ้นมาเป็นเครื่องมือในการทำมาหากินนั้น เครื่องมือสำคัญในการหากินของมนุษย์ก็คือที่ดิน ทั้งนี้เพราะมนุษย์ยังชีพด้วยการเพาะปลูกซึ่งเรียกเป็นศัพท์ว่า กสิกรรม เป็นหลัก
ความผาสุกของมนุษย์ แต่ละคนจะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับข้อที่ว่า เขามีที่ดินมากหรือน้อยหรือไม่มีเลย ผู้ที่มีที่ดินมากก็มีความผาสุกมาก ผู้ที่มีที่ดินน้อยก็มีความผาสุดน้อยลดหลั่นลงมา และผู้ที่ไม่มีที่ดินเลยก็ย่อมประสบกับความยากลำบากในการครองชีพ เพราะต้องเช่าที่ดินเขาทำมาหากิน เสียค่าเช่า เสียส่วนแบ่ง หรือไม่ก็ต้องเป็นคนงานในไร่นาของเจ้าของที่ดิน ซึ่งเรียกกันว่า “ทาสกสิกร”
ที่ไทยโบราณเรียกว่า“ไพร่” ที่ถูกกำหนดชนชั้นด้วยระบบศักดินานี้
ระบบศักดินาของไทยมีที่มาจากสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยแจกจ่ายที่ดินให้ขุนนางข้าราช การ ไพร่ วัด ซึ่งกระทำกันครั้งใหญ่เมื่อ พ.ศ.๑๙๙๘ ใน
สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ดังปรากฏอยู่ในกฎหมาย พระอัยการตำแหน่งนายทหารและพลเรือน ที่กำหนดอัตราการถือครองที่ดินของพระบรมวงศานุวงศ์ ขุนนาง ไพร่ พระ อย่าง ตายตัวตามบรรดาศักดิ์ เช่น อุปราชมีศักดินา ๑๐๐,๐๐๐ ไร่ ไพร่ มีศักดินา ๒๕ -๑๐ ไร่ เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อแลกเปลี่ยนกับความจงรักภักดี และไดัรับภาษีอากร เป็น การตอบแทน
แต่พวกมีศักดินาทั้งมวลไม่ยอมหยุดแค่อำนาจในการถือครองที่ดิน แต่ยัง’ใช้อำนาจของพวกตนผ่านลงมาเพื่อกำหนดสิทธิและหน้าที่ของชนชั้นทาสกสิกรที่พึงมีต่อตน พูดง่ายๆ ก็คือเป็นสถาบันที่ดูแลผลประโยชน์ กล่าวคือแสวงหาผลประโยชน์ และรักษาผลประโยชน์ของชนชั้นเจ้าที่ดินแต่ฝ่ายเดียว
โดยอ้างประธานของระบบศักดินาโบราณที่เราเรียกกันว่า “กษัตริย์” หรือ “พระเจ้าแผ่นดิน” ถ้าจะแปลโดยศัพท์แล้ว “กษัตริย์” ก็คือ “ผู้มีที่ดิน” หรือ “ผู้ครอบครองผืนดิน” ต้นรากของคำนี้ก็คือคำว่า “เกษตร” อันหมายถึงที่ดินเพาะปลูก กับคำว่า “ขัตติยะ” ก็มีต้นรากมาจากคำว่า “เขตต์” ซึ่งมีความหมายเดียวกัน แม้คำไทยๆ ที่ว่า “พระเจ้าแผ่นดิน”ก็แปลได้ว่า “พระผู้เป็นเจ้าของผืนแผ่นดินทั้งมวล” นั่นเอง
แม้ว่าตัวประธานในตำแหน่งศักดินาอย่าง
กษัตริย์จะประกาศล้มเลิก ระบบ”ไพร่”และ”ทาส”ไปแล้วด้วยพระมหากรุณาธิคุณ ของล้นเกล้ารัชกาลที่5 แต่ขุนนางศักดินาก็มิได้ยอมปล่อยให้อำนาจที่ตนเคยมี เคยกดขี่คนอื่นให้หลุดลอยไป โดยแปรเปลี่ยนตัวเองมายึดกุมอำนาจในชื่อ “ข้าราชการ” มีหน้าที่คอยสั่งการบริหารงานแผ่นดิน
หรือว่าตัวประธานในตำแหน่งศักดินาอย่าง ก
ษัตริย์จะยินยอมสละพระราชอำนาจของตนเองให้กับประชาชนไปแล้ว เมื่อสมัยล้นเกล้า รัชกาลที่ 7 ในปี พ.ศ.2475 กลุ่มศักดินาข้าราชการก็ยังแฝงตัวอย่างกลมกลืนในกลุ่มคณะราษฎร์รับสืบช่วงอำนาจในการเก็บเกี่ยวผลผลิตรูปแบบใหม่ที่ไม่ได้มาจากผลผลิตในที่ดินเฉพาะของตน แต่มาจากผลผลิตรวมในทุกตารางนิ้วของประเทศซึ่งมาในรูปแบบเงินตรา หาใช่ผลผลิตทางการเกษตรเช่นเดิมไม่
แม้ว่าโลกจะเปลี่ยนหมุนเวียนขับเคลื่อนไปข้างหน้า แต่ระบบศักดินาก็ยังคงยึดเกาะอย่างเหนียวแน่นในสังคมไทย ซึ่งอำนาจของทั่วโลกในเกือบทุกประเทศแบ่งปันและตัดสินกันด้วยเสียงของประชาชน
แต่อำนาจการปกครองในไทยยึดครองไว้ด้วยการชี้ขาดของพวกศักดินาข้าราชการ
เพราะอะไรหรือ บทความนี้ไม่มีคำตอบให้ผุ้ที่เข้ามาอ่าน และคงไม่เหมาะที่จะลงเนื้อหาอย่างที่ผู้เขียนคิดและร่างบทความนี้ไว้ในครั้งแรกด้วยเนื้อหาที่ยาวเกินหลายสิบหน้า
ป.ล.ผู้เขียนเองก็เริ่มรู้สึกตัวว่า ตนเองเริ่มที่จะไม่เหมาะที่จะแสดงความเห็นในราชดำเนินแห่งนี้อีกแล้ว เพราะการถกเถียงพูดคุยกันด้วยหลักการและเหตุผล หรือแสดงเนื้อหาอย่างมีสาระในที่แห่งนี้ ก็เหมือจะไม่ถูกกับรสนิยมคนสมัยนี้ที่ชอบแค่ความสะใจชั่วครั้งชั่วคราว จ้องจะด่ากันเพียงอย่างเดียว ซึ่งไม่ใช่แนวทางที่ผมถนัด ดังนั้นจึงคิดว่าคงจะหยุดเขียนก่อนชั่วคราว รอให้สถานที่แห่งนี้ หรือเหตุการณ์ในบ้านเมืองนี้ แปรเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้นก่อน แล้วค่อยว่ากันใหม่
ขอบคุณในน้ำใจไมตรีของทุกๆท่านที่ตามอ่านผมมาเสมอครับ
ขอบคุณครับ
บทความสุดท้ายของนายพระรอง ศักดินา ระบอบที่ไม่เคยหายไปจากสังคมไทย
“ศักดินา” โดยรูปคำ แปลว่า “อำนาจในการครอบครองที่นา” และถ้าจะแปลขยายความออกให้แจ่มแจ้งแล้ว ศักดินาก็หมายถึง อำนาจในการครอบครองที่ดิน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการทำไร่และการทำนา อันเป็นอาชีพหลักของประชาชนในยุคนั้นนั่นเอง จากการแปลความหมายของศัพท์เช่นนี้ เราก็พอจะมองเห็นได้คร่าวๆ แล้วว่าระบบผลิตศักดินาเป็นระบบผลิตที่พัวพันอยู่กับ “ที่ดิน”
ตามหลักเศรษฐศาสตร์ “ที่ดิน”ถือว่าเป็นปัจจัยแห่งการผลิต (Means of Production) อย่างหนึ่งพูดอย่างง่ายๆ ก็คือ ที่ดินเป็นเครื่องมืออันหนึ่งในการทำมาหากินของมนุษย์ ในสังคมของมนุษย์ก่อนสมัยทุนนิยมซึ่งเครื่องจักรกลถือกำเนิดขึ้นมาเป็นเครื่องมือในการทำมาหากินนั้น เครื่องมือสำคัญในการหากินของมนุษย์ก็คือที่ดิน ทั้งนี้เพราะมนุษย์ยังชีพด้วยการเพาะปลูกซึ่งเรียกเป็นศัพท์ว่า กสิกรรม เป็นหลัก
ความผาสุกของมนุษย์ แต่ละคนจะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับข้อที่ว่า เขามีที่ดินมากหรือน้อยหรือไม่มีเลย ผู้ที่มีที่ดินมากก็มีความผาสุกมาก ผู้ที่มีที่ดินน้อยก็มีความผาสุดน้อยลดหลั่นลงมา และผู้ที่ไม่มีที่ดินเลยก็ย่อมประสบกับความยากลำบากในการครองชีพ เพราะต้องเช่าที่ดินเขาทำมาหากิน เสียค่าเช่า เสียส่วนแบ่ง หรือไม่ก็ต้องเป็นคนงานในไร่นาของเจ้าของที่ดิน ซึ่งเรียกกันว่า “ทาสกสิกร” ที่ไทยโบราณเรียกว่า“ไพร่” ที่ถูกกำหนดชนชั้นด้วยระบบศักดินานี้
ระบบศักดินาของไทยมีที่มาจากสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยแจกจ่ายที่ดินให้ขุนนางข้าราช การ ไพร่ วัด ซึ่งกระทำกันครั้งใหญ่เมื่อ พ.ศ.๑๙๙๘ ในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ดังปรากฏอยู่ในกฎหมาย พระอัยการตำแหน่งนายทหารและพลเรือน ที่กำหนดอัตราการถือครองที่ดินของพระบรมวงศานุวงศ์ ขุนนาง ไพร่ พระ อย่าง ตายตัวตามบรรดาศักดิ์ เช่น อุปราชมีศักดินา ๑๐๐,๐๐๐ ไร่ ไพร่ มีศักดินา ๒๕ -๑๐ ไร่ เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อแลกเปลี่ยนกับความจงรักภักดี และไดัรับภาษีอากร เป็น การตอบแทน
แต่พวกมีศักดินาทั้งมวลไม่ยอมหยุดแค่อำนาจในการถือครองที่ดิน แต่ยัง’ใช้อำนาจของพวกตนผ่านลงมาเพื่อกำหนดสิทธิและหน้าที่ของชนชั้นทาสกสิกรที่พึงมีต่อตน พูดง่ายๆ ก็คือเป็นสถาบันที่ดูแลผลประโยชน์ กล่าวคือแสวงหาผลประโยชน์ และรักษาผลประโยชน์ของชนชั้นเจ้าที่ดินแต่ฝ่ายเดียว
โดยอ้างประธานของระบบศักดินาโบราณที่เราเรียกกันว่า “กษัตริย์” หรือ “พระเจ้าแผ่นดิน” ถ้าจะแปลโดยศัพท์แล้ว “กษัตริย์” ก็คือ “ผู้มีที่ดิน” หรือ “ผู้ครอบครองผืนดิน” ต้นรากของคำนี้ก็คือคำว่า “เกษตร” อันหมายถึงที่ดินเพาะปลูก กับคำว่า “ขัตติยะ” ก็มีต้นรากมาจากคำว่า “เขตต์” ซึ่งมีความหมายเดียวกัน แม้คำไทยๆ ที่ว่า “พระเจ้าแผ่นดิน”ก็แปลได้ว่า “พระผู้เป็นเจ้าของผืนแผ่นดินทั้งมวล” นั่นเอง
แม้ว่าตัวประธานในตำแหน่งศักดินาอย่าง กษัตริย์จะประกาศล้มเลิก ระบบ”ไพร่”และ”ทาส”ไปแล้วด้วยพระมหากรุณาธิคุณ ของล้นเกล้ารัชกาลที่5 แต่ขุนนางศักดินาก็มิได้ยอมปล่อยให้อำนาจที่ตนเคยมี เคยกดขี่คนอื่นให้หลุดลอยไป โดยแปรเปลี่ยนตัวเองมายึดกุมอำนาจในชื่อ “ข้าราชการ” มีหน้าที่คอยสั่งการบริหารงานแผ่นดิน
หรือว่าตัวประธานในตำแหน่งศักดินาอย่าง กษัตริย์จะยินยอมสละพระราชอำนาจของตนเองให้กับประชาชนไปแล้ว เมื่อสมัยล้นเกล้า รัชกาลที่ 7 ในปี พ.ศ.2475 กลุ่มศักดินาข้าราชการก็ยังแฝงตัวอย่างกลมกลืนในกลุ่มคณะราษฎร์รับสืบช่วงอำนาจในการเก็บเกี่ยวผลผลิตรูปแบบใหม่ที่ไม่ได้มาจากผลผลิตในที่ดินเฉพาะของตน แต่มาจากผลผลิตรวมในทุกตารางนิ้วของประเทศซึ่งมาในรูปแบบเงินตรา หาใช่ผลผลิตทางการเกษตรเช่นเดิมไม่
แม้ว่าโลกจะเปลี่ยนหมุนเวียนขับเคลื่อนไปข้างหน้า แต่ระบบศักดินาก็ยังคงยึดเกาะอย่างเหนียวแน่นในสังคมไทย ซึ่งอำนาจของทั่วโลกในเกือบทุกประเทศแบ่งปันและตัดสินกันด้วยเสียงของประชาชน แต่อำนาจการปกครองในไทยยึดครองไว้ด้วยการชี้ขาดของพวกศักดินาข้าราชการ
เพราะอะไรหรือ บทความนี้ไม่มีคำตอบให้ผุ้ที่เข้ามาอ่าน และคงไม่เหมาะที่จะลงเนื้อหาอย่างที่ผู้เขียนคิดและร่างบทความนี้ไว้ในครั้งแรกด้วยเนื้อหาที่ยาวเกินหลายสิบหน้า
ป.ล.ผู้เขียนเองก็เริ่มรู้สึกตัวว่า ตนเองเริ่มที่จะไม่เหมาะที่จะแสดงความเห็นในราชดำเนินแห่งนี้อีกแล้ว เพราะการถกเถียงพูดคุยกันด้วยหลักการและเหตุผล หรือแสดงเนื้อหาอย่างมีสาระในที่แห่งนี้ ก็เหมือจะไม่ถูกกับรสนิยมคนสมัยนี้ที่ชอบแค่ความสะใจชั่วครั้งชั่วคราว จ้องจะด่ากันเพียงอย่างเดียว ซึ่งไม่ใช่แนวทางที่ผมถนัด ดังนั้นจึงคิดว่าคงจะหยุดเขียนก่อนชั่วคราว รอให้สถานที่แห่งนี้ หรือเหตุการณ์ในบ้านเมืองนี้ แปรเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้นก่อน แล้วค่อยว่ากันใหม่
ขอบคุณในน้ำใจไมตรีของทุกๆท่านที่ตามอ่านผมมาเสมอครับ
ขอบคุณครับ