ฌาน ที่พระพุทธเจ้าสรรเสริญ และ ที่ไม่สรรเสริญ

โดยปกติ เรามักเข้าใจว่า ฌาน ที่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก เหมือนกันหมด
และพระพุทธเจ้าตรัสสรรเสริญว่าดีเหมือนกันหมด และหมายถึง สมาธิ เหมือนกันหมด
แต่เมื่อผมทำการตรวจสอบหลักฐานจากพระสูตร ดูแล้ว ปรากฏว่า ไม่จริง นะครับท่าน

ข้อความจาก โคปกโมคคัลลานสูตร ท่านพระอานนท์ ยืนยันว่า ฌานที่พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญ ก็มี ที่ไม่ทรงสรรเสริญ ก็มี
สรุปง่ายๆ ก็คือ ฌาน ที่ปราศจาก นิวรณ์ หรือ อุปกิเลส อย่างนี้เป็นฌานที่ทรงสรรเสริญ และตรัสเรียกว่า สมาธิ
ในทางกลับกัน ฌานที่ประกอบด้วยอุปกิเลส หรือ ถูกนิวรณ์ครอบงำ ไม่ทรงสรรเสริญ ไม่ตรัสเรียกว่าสมาธิ แต่เรียกว่า ฌาน(เฉยๆ)

จากข้อมูลตรงนี้ ทำให้ทราบว่า ไม่ใช่ว่า ฌานทุกชนิด จะปราศจาก อุปกิเลส หรือ นิวรณ์เสมอไป นะครับ
และก็ไม่ได้แปลว่า ฌาน จะต้องเป็นสิ่งที่ตรัสเรียกว่า สมาธิ เสมอไป คือ ..........

1 เมื่อเป็นฌานที่ปราศจากนิวรณ์ หรือ อุปกิเลสเท่านั้น ที่เรียกว่า สมาธิ
2 สมาธินั้น จะต้องประกอบด้วย องค์แห่งมรรค(ที่เหลือ)ทั้งเจ็ด มี สัมมาทิฐิ เป็นต้น เท่านั้น จึงจะเรียกว่า สัมมาสมาธิ

อนุโมทนา ครับท่าน











    [๑๑๖]  ว.  ข้าแต่พระอานนท์ผู้เจริญ  ความจริง  พระวิหารเวฬุวัน  จะเป็นที่รื่นรมย์
เงียบเสียง  และไม่อึกทึกครึกโครม  มีลมพัดเย็นสบาย  เป็นที่พักผ่อนของมนุษย์  สมควรแก่การ
หลีกออกเร้นอยู่  ก็ด้วยมีพระคุณเจ้าทั้งหลาย  เพ่งฌานและมีฌานเป็นปรกติต่างหาก  พระคุณเจ้า
ทั้งหลายทั้งเพ่งฌานและมีฌาน  เป็นปรกติทีเดียว  ข้าแต่พระอานนท์ผู้เจริญ  กระผมขอเล่าถวาย
สมัยหนึ่งพระโคดมผู้เจริญพระองค์นั้น  ประทับอยู่ที่กูฏาคารศาลา  ในป่ามหาวัน  เขตพระนครเวสาลี
ครั้งนั้นแล  กระผมเข้าไปเฝ้าพระโคดมผู้เจริญพระองค์นั้นยังที่ประทับ  ณกูฏาคารศาลา  ป่ามหาวัน
ณ  ที่นั้นแล  พระองค์ได้ตรัสฌานกถาโดยอเนกปริยายพระองค์ทั้งเป็นผู้เพ่งฌานและเป็นผู้มีฌาน
เป็นปรกติ  แต่ก็ทรงสรรเสริญฌาน  ทั้งปวง  ฯ
    [๑๑๗]  อา.  ดูกรพราหมณ์  พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นทรงสรรเสริญฌานทั้งปวงก็มิใช่
ไม่ทรงสรรเสริญฌานทั้งปวงก็มิใช่  พระองค์ไม่ทรงสรรเสริญฌานเช่นไร  ดูกรพราหมณ์  ภิกษุ
บางรูปในธรรมวินัยนี้  มีใจรัญจวนด้วยกามราคะ  ถูกกามราคะครอบงำอยู่  และไม่รู้จักสลัดกามราคะ
อันเกิดขึ้นแล้ว  ตามความเป็นจริง  เธอย่อมเพ่งเล็ง  จดจ่อ  ปักใจ  มุ่งหมายเฉพาะกามราคะ
ทำกามราคะไว้ในภายใน  มีใจปั่นป่วนด้วยพยาบาท  ถูกพยาบาทครอบงำอยู่  และไม่รู้จักสลัด
พยาบาทอันเกิดขึ้นแล้ว  ตามความเป็นจริง  เธอย่อมเพ่งเล็ง  จดจ่อ  ปักใจมุ่งหมายเฉพาะพยาบาท
ทำพยาบาทไว้ในภายใน  มีใจกลัดกลุ้มด้วยถีนมิทธะถูกถีนมิทธะครอบงำอยู่  และไม่รู้จักสลัด
ถีนมิทธะอันเกิดขึ้นแล้ว  ตามความเป็นจริง  เธอย่อมเพ่งเล็ง  จดจ่อ  ปักใจ  มุ่งหมายเฉพาะถีนมิทธะ
ทำถีนมิทธะไว้ในภายใน  มีใจกลัดกลุ้มด้วยอุทธัจจกุกกุจจะ  ถูกอุทธัจจกุกกุจจะครอบงำอยู่  และไม่
รู้จักสลัดอุทธัจจกุกกุจจะอันเกิดขึ้นแล้ว  ตามความเป็นจริง  เธอย่อมเพ่งเล็ง  จดจ่อ  ปักใจ  มุ่งหมาย
เฉพาะอุทธัจจกุกกุจจะ  ทำอุทธัจจกุกกุจจะไว้ในภายในมีใจกลัดกลุ้มด้วยวิจิกิจฉา  ถูกวิจิกิจฉา
ครอบงำอยู่  และไม่รู้จักสลัดวิจิกิจฉาอันเกิดขึ้นแล้ว  ตามความเป็นจริง  เธอย่อมเพ่งเล็ง  จดจ่อ
ปักใจ  มุ่งหมายเฉพาะวิจิกิจฉา  ทำวิจิกิจฉาไว้ในภายใน  ดูกรพราหมณ์  พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น
ไม่ทรงสรรเสริญฌานเช่นนี้แล  ดูกรพราหมณ์  ก็พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นทรง  สรรเสริญฌาน
เช่นไรเล่า  ภิกษุในธรรมวินัยนี้  สงัดจากกาม  สงัดจากอกุศลธรรม  เข้าปฐมฌาน  มีวิตก  มีวิจาร  มีปีติ
และสุขเกิดแต่วิเวกอยู่  เข้าทุติยฌาน  มีความผ่องใสแห่งใจภายใน  มีความเป็นธรรมเอกผุดขึ้น
เพราะสงบ  วิตกและวิจารไม่มีวิตก  ไม่มีวิจาร  มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่  เป็นผู้วางเฉย
เพราะหน่ายปีติ  มีสติสัมปชัญญะอยู่  และเสวยสุขด้วยนามกาย  เข้าตติยฌานที่พระอริยะเรียก
เธอ  ได้ว่า  ผู้วางเฉย  มีสติอยู่เป็นสุขอยู่  เข้าจตุตถฌาน  อันไม่มีทุกข์  ไม่มีสุขเพราะละสุข
ละทุกข์  และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ  ได้  มีสติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขาอยู่  ดูกรพราหมณ์
พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นทรงสรรเสริญฌานเช่นนี้  แล  ฯ

http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=14&A=1735&Z=1979&pagebreak=0

                    ทรงแสดงฌาน ๔ และวิชชา ๓
    ภ. เราก็เหมือนอย่างนั้นแล พราหมณ์ เมื่อประชาชนผู้ตกอยู่ในอวิชชา เกิดในฟอง
อันกะเปาะฟองหุ้มห่อไว้ ผู้เดียวเท่านั้นในโลก ได้ทำลายกะเปาะฟอง คือ อวิชชา แล้วได้
ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณอันยอดเยี่ยม เรานั้นเป็นผู้เจริญที่สุด ประเสริฐที่สุดของโลก
เพราะความเพียรของเราที่ปรารภแล้วแล ไม่ย่อหย่อน สติดำรงมั่นไม่ฟั่นเฟือน กายสงบ ไม่
กระสับกระส่าย จิตตั้งมั่น มีอารมณ์เป็นหนึ่ง.
                    ปฐมฌาน
    เรานั้นแล สงัดแล้วจากกาม สงัดแล้วจากอกุศลธรรม ได้บรรลุปฐมฌาน มีวิตก
มีวิจาร มีปีติและสุขซึ่งเกิดแต่วิเวกอยู่.
                    ทุติยฌาน
    เราได้บรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิต ณ ภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก
ไม่มีวิจาร เพราะวิตก วิจาร สงบไป มีปีติและสุขซึ่งเกิดแต่สมาธิอยู่.
                    ตติยฌาน
    เรามีอุเบกขาอยู่ มีสติ มีสัมปชัญญะ และเสวยสุขด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไป
ได้บรรลุตติยฌาน ที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญว่า เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติ มีสุขอยู่ ดังนี้ อยู่.
                    จตุตถฌาน
    เราได้บรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์และดับโสมนัส โทมนัส
ก่อนๆ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่.
                บุพเพนิวาสานุสสติญาณ
    เรานั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ ผุดผ่อง ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควร
แก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้แล้ว ได้น้อมจิตไปเพื่อบุพเพนิวาสานุสสติญาณ เรานั้น
ย่อมระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือระลึกชาติได้หนึ่งชาติบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้าง
สี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้าง สิบชาติบ้าง ยี่สิบชาติบ้าง สามสิบชาติบ้าง สี่สิบชาติบ้าง ห้าสิบชาติบ้าง
ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง ตลอดสังวัฏฏกัลป์เป็นอันมากบ้าง ตลอดวิวัฏฏกัลป์
เป็นอันมากบ้าง ตลอดสังวัฏฏวิวัฏฏกัลป์เป็นอันมากบ้าง ว่าในภพโน้นเราได้มีชื่ออย่างนั้น มีโคตร
อย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียง
เท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว ได้ไปเกิดในภพโน้น แม้ในภพโน้นนั้น เราก็ได้มีชื่ออย่างนั้น
มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนด
อายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพโน้นนั้นแล้ว ได้มาเกิดในภพนี้ เราย่อมระลึกถึงชาติก่อนได้เป็น
อันมาก พร้อมทั้งอุเทส พร้อมทั้งอาการ ด้วยประการฉะนี้ พราหมณ์ วิชชาที่หนึ่งนี่แล เรา
ได้บรรลุแล้วในปฐมยามแห่งราตรี อวิชชา เรากำจัดได้แล้ว วิชชาเกิดแก่เราแล้ว ความมืด
เรากำจัดได้แล้ว แสงสว่างเกิดแก่เราแล้ว เหมือนที่เกิดแก่บุคคลผู้ไม่ประมาท มีความเพียร
เผากิเลส ส่งจิตไปแล้วอยู่ฉะนั้น ความชำแรกออกครั้งที่หนึ่งของเรานี้แล ได้เป็นเหมือนการ
ทำลายออกจากกะเปาะฟองแห่งลูกไก่ฉะนั้น.
                    จุตูปปาตญาณ
    เรานั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ ผุดผ่อง ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควร
แก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้แล้ว ได้น้อมจิตไปเพื่อญาณเครื่องรู้จุติและอุปบัติ
ของสัตว์ทั้งหลาย เรานั้นย่อมเล็งเห็นหมู่สัตว์ผู้กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี
มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์
ผู้เข้าถึงตามกรรมว่า หมู่สัตว์ผู้เกิดเป็นอยู่เหล่านี้ ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต
ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นมิจฉาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิ หมู่สัตว์ผู้เกิดเป็นอยู่
เหล่านั้น เบื้องหน้าแต่แตกกายตายไป เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก หรือว่าหมู่สัตว์ผู้เกิด
เป็นอยู่เหล่านี้ ประกอบด้วยกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยเจ้า เป็น
สัมมาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจสัมมาทิฏฐิ หมู่สัตว์ผู้เกิดเป็นอยู่เหล่านั้น เบื้องหน้าแต่แตก
กายตายไป เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เราย่อมเล็งเห็นหมู่สัตว์ผู้กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต
มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อม
รู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เข้าถึงตามกรรมด้วยประการดังนี้ พราหมณ์ วิชชาที่สองนี้แล เราได้บรรลุแล้ว
ในมัชฌิมยามแห่งราตรี อวิชชา เรากำจัดได้แล้ว วิชชาเกิดแก่เราแล้ว ความมืดเรากำจัดได้แล้ว
แสงสว่างเกิดแก่เราแล้ว เหมือนที่เกิดแก่บุคคลผู้ไม่ประมาท มีความเพียรเผากิเลส ส่งจิตไป
แล้วอยู่ฉะนั้น ความชำแรกออกครั้งที่สองของเรานี้แล ได้เป็นเหมือนการทำลายออกจากกะเปาะ
ฟองแห่งลูกไก่ ฉะนั้น.
                    อาสวักขยญาณ
    เรานั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควร
แก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้แล้ว ได้น้อมจิตไปเพื่ออาสวักขยญาณ เรานั้นได้รู้ชัด
ตามเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้เหตุให้เกิดทุกข์ ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ความ
ดับทุกข์ ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า เหล่านี้
อาสวะ ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้เหตุให้เกิดอาสวะ ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ความดับอาสวะ ได้รู้
ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับอาสวะ เมื่อเรานั้นรู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้ จิตได้
หลุดพ้นแล้วแม้จากกามาสวะ ได้หลุดพ้นแล้วแม้จากภวาสวะ ได้หลุดพ้นแล้วแม้จากอวิชชาสวะ
เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ได้มีญาณหยั่งรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว ได้รู้ด้วยปัญญาอันยิ่งว่า ชาติสิ้นแล้ว
พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นอีกเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี พราหมณ์
วิชชาที่สามนี้แล เราได้บรรลุแล้วในปัจฉิมยามแห่งราตรี อวิชชา เรากำจัดได้แล้ว วิชชาเกิด
แก่เราแล้ว ความมืดเรากำจัดได้แล้ว แสงสว่างเกิดแก่เราแล้ว เหมือนที่เกิดแก่บุคคลผู้ไม่ประมาท
มีความเพียรเผากิเลสส่งจิตไปแล้วอยู่ ฉะนั้น ความชำแรกออกครั้งที่สามของเรานี้แล ได้เป็น
เหมือนการทำลายออกจากกะเปาะฟองแห่งลูกไก่ ฉะนั้น.

http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=1&A=0&Z=315



แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่