พรหมลิขิต ดลบัลดาล

เป็นนัก (หัด) เขียนค่ะ ยินดีรับคำติชมจากทุกท่านเพื่อพัฒนาตนเองค่ะ อมยิ้ม02อมยิ้ม02อมยิ้ม02

                                                                                 พรหมลิขิต...ดลบันดาล

                 ผมแอบหลงรักผู้หญิงอยู่คนหนึ่ง...เธอที่ทำให้หัวใจของผมพองโตด้วยความสุขทุกครั้งที่ได้เห็นหน้าและรอยยิ้มที่ทำให้รู้สึกว่าดอกไม้ทั้งมวลบนโลกใบนี้กำลังผลิบานอยู่รอบๆ ตัวของเธอ สายตาที่เปล่งประกายดุจดวงดาวแห่งความสุขที่ผมเคยคิดเมื่อยังเป็นเด็กอยู่เสมอว่า จักรวาลของเราจะมีดวงดาวดวงนี้อยู่หรือไม่? และแล้ว...ผมก็ได้ค้นพบว่ามันมีอยู่จริง แปลกที่ดาวดวงนี้ไม่ได้ประดับอยู่บนท้องฟ้าหรืออยู่ในระบบสุริยะจักรวาลของเรา แต่มันกลับร่วงลงมาประดับอยู่บนใบหน้าของเธอแทน
                 เธอคนนั้น คนที่ใครๆ เรียกว่า...ชวนชม
ชวนชมเป็นผู้หญิงตัวเล็ก ผิวคล้ำ และออกจะเป็นผู้หญิงโก๊ะๆ เปิ่นๆ ด้วยซ้ำ ในสายตาของใครๆอาจมองว่าเธอเป็นผู้หญิงหน้าตาธรรมดาๆ คนหนึ่ง ที่ต้องใช้เวลาสักหน่อยถึงจะเห็นความสวยของเธอจนทำให้เพื่อนๆ ของมักล้อเธอบ่อยๆ ว่าชื่อชวนชมช่างเป็นชื่อที่ขัดกับเธอเหลือเกิน แต่สำหรับผมแล้วเพียงแวบแรกที่ผมพบเธอ ผมบอกกับตัวเองเลยว่าผู้หญิงคนนี้ได้ควักหัวใจของผมไปด้วยรอยยิ้มของเธอแล้ว
                ครั้งแรกที่เราพบกัน อาจด้วยบุญเก่าที่เหลือน้อยเต็มทีของผมก็ได้ที่ทำให้ผมได้มีวาสนาได้พบกับเธอ เพราะวันนั้นเป็นวันที่ผมโดนไล่ออกจากงาน...ถูกแฟนบอกเลิก...แม่ป่วยเข้าโรงพยาบาล มิหนำซ้ำสุนัขแสนรักที่ผมเลี้ยงมาเหมือนน้องในไส้ก็ถูกวางยา เพียงเหตุผลที่ว่ามันชอบเห่าคนแปลกหน้าที่มันไม่รู้จัก ผมไม่รู้จะเรียกโชคชะตาในวันนี้ของผมว่าอะไรดี แต่อย่างที่บอกว่าบุญของผมยังหลงเหลืออยู่บ้าง...บุญนั้นจึงดลบันดาลให้ผมได้พบกับเธอในขณะที่ผมกำลังนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ริมฟุตบาทอย่างไม่อายใครสายตาใครที่มองมาทางผมพลางคิดว่าจะโทรเรียกรถโรงพยาบาลศรีธัญญาดีหรือไม่ ขณะนั้นเองที่เธอเดินเข้ามาหาผมพร้อมผ้าเช็ดหน้าในมือและรอยยิ้มที่ทำให้หัวใจผมพองโตและเต้นไม่เป็นจังหวะ
                “คุณไม่รู้หรือไงว่าผู้ชายอายุอย่างคุณไม่ควรนั่งร้องไห้แบบเด็กๆ ให้ใครเห็นหน่ะ” เธอยื่นผ้าเช็ดหน้ามาให้พร้อมคำพูดเชิงตำหนิปนขำกับพฤติกรรมของผม คำพูดถัดมาที่ออกมาจากริมฝีปากบางเปื้อนรอยยิ้มของเธอนั้น เรียกเสียงหัวเราะเบาๆ จากผมได้เป็นอย่างดี
                  “แต่ถ้าเป็นฉัน ไม่แน่...ฉันก็อาจจะทำเหมือนคุณก็ได้นะ” แล้วเธอก็หัวเราะเสียงใสอย่างคนที่มีความสุขอยู่เสมอ
                   ชั่วขณะที่ผมเห็นรอยยิ้มนั้น ผมถามตัวเองว่า...ผมไม่เคยเห็นรอยยิ้มที่ดูจริงใจและบริสุทธิ์แบบนี้นานแค่ไหนแล้ว มันคงจะนานทีเดียวจนทำให้เมื่อผมเห็นรอยยิ้มของเธอในวันนี้ ทำให้ผมรู้สึกว่าหัวใจที่กำลังอ่อนระโหยโรยแรงและกำลังจะหยุดเต้นในไม่ช้า กลับมากระโดดโลดเต้นได้อีกครั้ง เลือดจากการสูบฉีดหัวใจครั้งนี้มันส่งพลังบางอย่างให้ผม นั่นก็คือ...พลังแห่งความหวัง
                   จากวันนั้นมาผมก็เฝ้าแอบมองเธอทุกวันจากหน้าต่างบ้านของผมที่สามารถมองเห็นรั้วบ้านของเธอได้ ใช่!เธอเป็นเพื่อนบ้านของผมเอง เพื่อนบ้านที่ผมไม่เคยใส่ใจและรับรู้เลยว่าถัดจากบ้านผมไปเพียง  ๒ หลัง จะมีผู้หญิงคนหนึ่งคนที่ผมเฝ้ามองหามาทั้งชีวิต ทั้งที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม...แต่ทำไมนะ? ผมถึงไม่เคยเห็นเธอในวงจรชีวิตของผมเลย หรือบางทีพรหมลิขิตกำลังเพิ่งเริ่มทำงานในชีวิตของผมก็เป็นได้
                   ทุกวันที่เธอต้องเดินผ่านหน้าบ้านผมเพื่อขึ้นรถเมล์ไปทำงาน ผมมักจะรีบวิ่งออกมาทำทีเป็นรดน้ำต้นไม้หน้าบ้าน เพื่อจะได้มองเห็นหน้าเธอได้อย่างชัดเจนและเพื่อเติมพลังแห่งความสุขในชีวิตของผมให้ผ่านไปในแต่ละวัน วันไหนที่ผมไม่ได้เห็นเธอเดินผ่านหน้าบ้านผม วันนั้นคือวันที่ความห่อเหี่ยวจะค่อยๆเกาะกุมหัวใจของผมให้เกิดความกระวนกระวาย เหมือนต้นไม้ที่รอคอยหยาดฝนมาชโลมรากไม้ให้เกิดความชุ่มฉ่ำ จนกระทั่งเมื่อผมได้เห็นหน้าเธออีกครั้งนั่นแหล่ะ...พลังในการดำเนินชีวิตของผมจึงจะกลับมาอีกครั้ง
                    วันนี้ก็เช่นกัน เมื่อผมเห็นเธอกำลังจะเดินผ่านหน้าบ้านผม ผมก็รีบวิ่งมายังหน้าบ้านเพื่อจะทำทีเป็นรดน้ำต้นไม้เหมือนเช่นทุกวัน แต่สิ่งหนึ่งที่วันนี้มันจะไม่เหมือนทุกวัน นั่นก็คือการได้คุยกับเธออีกครั้ง ซึ่งผมซ้อมการทักทายกับเธอเพื่อให้ดูเป็นธรรมชาติมาตลอดทั้งคืน เพราะผมตั้งใจไว้แล้วว่าวันนี้ยังไงผมก็จะต้องได้ทำความรู้จักกับเธอมากขึ้น ไม่ใช่เพียงแค่การแอบมองเธออยู่อย่างนี้
                    และแล้ว...ผมก็รวบรวมพลังเฮือกสุดท้ายเพื่อเปล่งเสียงทักทายเธออย่างที่ซ้อมมา เมื่อเห็นว่าเธอเดินมาถึงหน้าประตูรั้วสูงครึ่งเอว ที่ผมนำดอกคำแสดมาปลูกเรียงไว้อย่างสวยงาม
                     “สวัสดีครับ...ไปทำงานแต่เช้าเลยนะครับ”
                     “.........................................................”
                     ไม่มีเสียงตอบกลับมาจากปากเธอ พลอยทำให้ผมใจแป้วจนลืมไปว่าเมื่อกี้ที่ทักทายเธอไปนั้นมันเป็นเพียงแค่ความคิดของผมเท่านั้นเอง
                     “โธ่! เจ้าขุน แกนี่มันขี้ขลาดที่สุดเลย แค่เอ่ยปากทักทายผู้หญิงที่ตัวเองชอบก็ยังไม่กล้า ไอ้บ้าเอ้ย” ผมได้แต่ยืนด่าตัวเองด้วยความโมโห เมื่อทุกอย่างที่ผมวาดแผนการไว้มันพังลงเพราะความขี้ขลาดของผมคนเดียว ทั้งที่เมื่อก่อนผมเป็นหนุ่มเจ้าสำราญเลยก็ว่าได้ ชีวิตผมไม่เคยขาดแฟนเป็นเวลานาน เพราะเมื่อผมบอกเลิกกับแฟนหรือแฟนบอกเลิกกับผมก่อนก็ตาม ผมก็มักจะมีแฟนใหม่ในระยะเวลาเพียงไม่ถึง ๒ เดือนเท่านั้น ด้วยรูปร่างหน้าตา ขาว ตี่ ที่กำลังเป็นที่นิยมของสาวๆ ในสมัยนี้ จึงทำให้ชีวิตผมมักมีช่วงเวลาดีๆ กับผู้หญิงเสมอ แต่สำหรับเธอนับจากวันนั้นก็เป็นเวลาเกือบสามเดือนแล้วที่ผมต้องตกอยู่ในช่วงเวลาแห่งการแอบรัก ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าในชีวิตของผมผมจะมีโหมดอารมณ์นี้เหมือนเช่นคนอื่นอีกหลายๆ คน
                       “เฮ้ย! ไอ้ขุน นี่แกยังไม่เลิกเศร้าเรื่องแฟนเก่าอีกเหรอว่ะ ถึงได้ทำหน้าเหมือนไม่ได้เข้าห้องน้ำมา เป็นปีแบบนี้ เรื่องแม่แกก็โอเคแล้วนิ” มานพ เพื่อนสนิทของผมถาม เมื่อเห็นหน้าเซ็งๆ ของผม
                         “ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอกน้า” ผมบอกมันอย่างรำคาญนิดๆ ทั้งที่ก็รู้ว่ามันถามเพราะความเป็นห่วง แต่ช่วงเวลานี้ผมไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะเล่นหัวกับใคร
                         “ไม่ใช่เรื่องนั้นแล้วเรื่องไหนว่ะ งานก็ได้ใหม่ตั้งเดือนกว่าแล้ว หรือว่าเรื่องเจ้าโคล่า” มานพยังคงไม่หยุดเซ้าซี้ผม
                          “ไม่ใช่เรื่องหมาหรอกน้า แกจะไปไหนก็ไปๆ ชั้นอยากอยู่คนเดียว” ที่สุดผมก็เอ่ยปากไล่มันไป
                           “เฮ้ย! แกมองข้ามเพื่อนคนนี้ไปได้ไงว่ะ มีอะไรก็บอกกันซี้ เพื่อนอย่างชั้นสามารถช่วยแก้ปัญหาให้เพื่อนได้ทุกเรื่องโว้ย ยกเว้นเรื่องตัวเอง ฮ่าฮ่าฮ่า” มานพพูดอย่างโอ้อวดสรรพคุณของมัน
                          ‘จริงสิ ผมลืมมานพ ไอ้เพื่อนแสนรู้ของผมได้ไงเนี้ย’
                           “เอ่อ...คืองี้นะเพื่อนนะ....” และแล้วผมก็เล่าถึงสาเหตุที่ทำให้ผมมีอาการซังกะตายเช่นนี้ให้กับเพื่อนรักอย่างมานพฟัง
                           “หา! นี่แกล้อชั้นเล่นหรือเปล่าเนี้ย? อย่างแกเนี้ยนะจะรู้จักคำว่าแอบรักกะเค้าด้วย ฮ่าฮ่าฮ่า” มานพพูดอย่างไม่ค่อยเชื่อใจผมนัก ก่อนจะเปล่งเสียงหัวเราะเยาะผม
                           “เออ! หน้าอย่างชั้นเนี้ยแหล่ะ แกช่วยชั้นคิดหน่อยสิว่าชั้นควรจะเริ่มจากตรงไหนดี” ผมบอกมานพอย่างคนสิ้นหวัง
มานพไม่เชื่อว่าผมจะมีอาการแอบหลงรักใครจนหัวปักหัวปำขนาดนี้ สุดท้ายผมเลยต้องพามันมาค้างที่บ้าน เพื่อจะได้ให้เห็นหน้าของชวนชม...หญิงสาวที่ผมแอบหลงรักอย่างหัวปักหัวปำอย่างที่มานพมันว่าจริงๆ
                           “เฮ้ย! ผู้หญิงคนนี้นะเหรอที่ทำให้แกนอนไม่ได้กินไม่หลับหน่ะ” นี่คือคำพูดของมานพ หลังจากที่ได้เห็นหน้าของชวนชม
                          “ก็หน้าตาธรรมดาๆ ไม่เห็นน่าสนใจอะไรเลย ไอ้เรารึอุตส่าห์คิดว่าแกไปหลงรักนางฟ้าเข้า ถึงทำให้แกมีอาการแบบนี้ ที่ไหนได้ เฮ้อ! นี่แกเปลี่ยนรสนิยมตั้งแต่เมื่อไหร่ว่ะ มันแตกต่างจากแฟนแกแต่ละคนมากเลยนะโว้ย” เสียงถอนใจของมันทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิด
                           “ก็เพราะว่าเธอแตกต่างจากผู้หญิงทุกคนที่เคยเป็นแฟนชั้นไง ถึงทำให้ชั้นรู้สึกแตกต่างกับเธอกว่าทุกคน แกอย่าตัดสินคนที่ภายนอกสิ แม้ว่าจะเธอไม่ได้สวยเด่นอะไรแต่เธอคนนี้ก็ทำให้ชั้นมีความสุขทุกครั้งที่ได้เห็นหน้าและรอยยิ้มของเธอ ซึ่งชั้นไม่เคยรู้สึกอย่างนี้มาก่อนในชีวิตเลยนะ ชั้นเพิ่งเข้าใจความหมายของคำว่ารักก็ตอนที่รู้จักเธอนั่นแหล่ะ” ผมบอกมานพโดยที่ไม่หวังว่ามันจะเข้าใจเลยสักนิด
ผมไม่สนใจหรอกนะหากใครจะมองไม่เห็นถึงความสวยของชวนชม ขอแค่มีเพียงผมเท่านั้นที่มองเห็นก็พอแล้ว และผมเองก็อยากเก็บความสวยของเธอไว้เพียงคนเดียวเช่นกัน
                          ในที่สุดมานพก็ทำให้ความหวังของผมเป็นจริง
                          “สวัสดีครับ ไปทำงานแต่เช้าเลยนะครับ สงสัยยังโสดอยู่แน่ๆ เลย ถึงได้ดูสบายใจขนาดนี้” มานพทักเธอด้วยคำถามกวนๆ ตามบุคลิกอันเป็นเอกลักษณ์ของมัน ทำให้เธอชะงักอย่างแปลกใจ ก่อนจะหันมายิ้มพูดคุยกับมานพอย่างคนอัธยาศัยดี และรอยยิ้มของเธอก็เผื่อแผ่มาถึงผมด้วย ยิ่งทำให้หัวใจของผมพองโตขึ้นอีกเท่าตัว
                           “สวัสดีเช่นกันค่ะ ขยันจังเลยนะค่ะ เห็นมายืนรดน้ำต้นไม้ทุกเช้าเลยค่ะ” ปลายเสียงเธอหันมาถามผม ซึ่งทำให้ผมเกิดอาการติดอ่างไปชั่วขณะ
                           “เอ่อ...ครับ ผมเป็นคนรักต้นไม้ดอกไม้นะครับ” นี่เป็นประโยคที่ผมพูดกับเธอเป็นประโยคแรก จนทุกวันนี้เวลาที่ผมเห็นต้นไม้หรือดอกไม้ที่ไหน หน้าของเธอก็จะลอยเด่นมาอยู่ในหัวผมเสมอ ทำให้ผมอดยิ้มกับตัวเองอยู่บ่อยๆ ว่าผมพูดคำเชยๆ อย่างนั้นออกไปได้อย่างไร
                            นับจากวันนั้นมาผมก็ได้ทักทายพูดคุยกับเธอทุกวันเมื่อเธอเดินผ่านหน้าบ้าน จนทำให้ผมรู้สึกมีความสุขทุกครั้งเมื่อหลับตานอน เพราะผมรู้ว่าวันรุ่งขึ้นผมจะได้เห็นรอยยิ้มและดวงดาวที่ประดับอยู่บนใบหน้าของเธอเหมือนเช่นเคย
                            ความสัมพันธ์ของผมและเธอค่อยๆ พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ จากเพื่อนบ้านที่ไม่เคยรู้จักกัน กลายมาเป็นเพื่อนบ้านที่รู้ใจไปมาหาสู่กันเสมอ ถึงขนาดที่เธอเคยมาทำอาหารที่บ้านให้ผมทานเป็นครั้งคราวด้วยเหตุผลที่ว่า ผมเป็นชายโสดที่ต้องมีคนดูแล...เธอบอกผมอย่างนั้น ซึ่งก็เป็นเหตุผลที่ผมเต็มใจรับอย่างยิ่ง และเมื่อวันเวลาผ่านไปจากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี สองปี และสามปี ผมก็ขอเธอแต่งงานในที่สุด
                            “ชม...แต่งงานกับผมนะ ถึงผมไม่ได้เป็นผู้ชายที่ดีเลิศแต่เชื่อเถอะนะว่าผมจะเป็นผู้ชายที่ดีที่สุดในชีวิตของชม” นี่คือคำขอแต่งงานของผม ท่ามกลางสายฝนโปรยปรายดุจจะเป็นพยานรักของเราสองคน และแน่นอนว่า เธอ...ตอบตกลง
                             ปัจจุบันเราสองคนกลายเป็นพ่อแม่ลูกแฝดหญิงและลูกชายหนึ่งคน และแม้เวลาจะผ่านไปกี่ปีความรักของผมที่มีให้เธอนั้นไม่เคยน้อยลงไปเลย นับวันมันจะเพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเมื่อได้เห็นพยานรักของเราทั้งสองที่สุดแสนจะน่ารักน่าชัง ทำให้ผมยิ่งทวีความรักให้กับผู้ที่มอบพยานรักทั้งสามให้กับผม
                             ทุกวันนี้เมื่อผมเห็นรอยยิ้มของเธอ...หัวใจของผมก็ยังคงเต้นแรงอยู่เสมอ
................................................................................................
มีต่อนะค่ะ อมยิ้ม04อมยิ้ม04อมยิ้ม04
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่