เมษา ปี 57. เป็นวันหยุดยาวในเทศกาลสงกรานต์ ผมเดินทางจากกรุงเทพฯ กลับไปบ้านที่ต่างจังหวัด ตั้งใจว่าปีนี้จะไปกราบ และ ล้างเท้าให้พ่อ เพื่อที่จะขอขมาลากรรมกับพ่อด้วย (เพราะตอนนั้นรู้สึกว่าตัวผมเองไม่ค่อยสบายบ่อยๆ อยากกราบเท้าขอขมาลาโทษ / พูดง่ายๆ คือกลัวตัวเองจะตายก่อนพ่อ แล้วจะไม่ได้รับการขออโหสิกรรมจากพ่อ). แต่ด้วยความรู้สึกที่เก้ๆ กังๆ เขินอาย เพราะห่างหายจากการทำแบบนี้มานานมากแล้วตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็ก. จนถึงวันที่ใกล้จะกลับกรุงเทพฯ
ผมได้เข้าไปหาพ่อ เพื่อบอกลาพ่อ ก่อนที่จะกลับมาทำงานที่กรุงเทพฯ เหมือนเดิม. เพราะความเขินอาย เลยไม่ได้ถือขันน้ำไปล้างเท้าให้พ่อ คิดแค่ว่าแค่ไหว้ธรรมดา และบอกลาให้แกรับรู้เหมือนทุกปีที่ผ่านมาก็น่าจะเพียงพอแล้ว. เพราะคิดว่าพ่อยังสุขภาพแข็งแรง ไม่น่าจะเป็นอะไรง่ายๆ ถ้ามีโอกาสกลับบ้านครั้งหน้าค่อยทำก็ได้!! (ทั้งที่ในในใจอยากจะกล่าวขอขมาลาโทษ ถ้าผมได้ทำอะไรล่วงเกินท่านไป ขอให้พ่ออโหสิกรรมให้ผมด้วย เกิดชาติหน้าฉันใด ขอเกิดเป็นลูกของพ่ออีก กลัวพูดไปแล้ว เหมือนจะเป็นลางไม่ดี, กลัวพ่อจะไม่สบายใจ เลยไม่พูดออกไป)
หลังจากเข้าไปไหว้เสร็จแล้ว เอาเงิน 1 พันบาท ให้พ่อ, พ่อบอกว่า “พ่อไม่เอาหรอก เก็บไว้ใช้เองเถอะนะ มีภาระเยอะอยู่ไม่ใช่เหรอ? ไม่ต้องให้พ่อหรอก พ่อยังทำงานไหว พ่อมีเงินใช้อยู่แล้ว."
ผมบอกพ่อว่า "ผมรู้ว่าพ่อยังทำงานไหว และ มีเงินเก็บใช้อยู่แล้ว แต่ผมอยากจะให้. มันเป็นเงินจากน้ำพักน้ำแรงที่ผมหามาได้ ผมอยากให้พ่อได้ใช้เงินของผมบ้าง" (ปกติให้เงินแกทุกปี แต่แกไม่เคยเอา เลยจะซื้อของอย่างอื่นให้แทน). ผมยัดเยียดเงิน 1 พันบาทใส่ในมือพ่อ จับมือพ่อให้กำเงินของผมไว้ในกำมือ.
หลังจากนั้น ผมก็บอกรักพ่อ และบอกให้พ่อดูแลสุขภาพของตัวเองด้วย เสร็จแล้วก็ไหว้ และ ลากลับกรุงเทพฯ.....................หลังจากวันนั้น ก็มีโทรศัพท์คุยกันบ้างเป็นครั้งคราว ตามแต่เวลาและโอกาสที่มี ถามสารทุกข์สุกดิบ และ เรื่องสุขภาพ. พ่อก็บอกว่าก็มีเจ็บไข้ได้ป่วยบ้างเป็นธรรมดา ตามประสาคนแก่ แต่ก็ไม่ได้เป็นอะไรมากมาย ผมก็บอกให้พ่อไปหาหมอตรวจบ้างนะ และรักษาดูแลสุขภาพด้วย...............
จนถึงกลางเดือนพฤศจิกายน ปี 57. ผมได้รับโทรศัพท์ จากทางบ้านที่ต่างจังหวัด บอกว่า.. พ่อได้เสียชีวิตแล้ว จากโรคหัวใจวายเฉียบพลัน.. ความรู้สึกตอนนั้นมันช็อคมากครับ ถามกลับไปว่าเรื่องจริงหรือเปล่า? หลังจากได้รับคำตอบซ้ำว่าเป็นเรื่องจริง ผมก็อึ้งจนไม่รู้ว่าเขาพูดอะไรบ้างหลังจากนั้น....
พอตั้งสติได้ก็ตอบกลับไปว่า ได้รับรู้แล้ว แล้วจะรีบลางานกลับไปบ้านที่ต่างจังหวัด. (คืนนั้นร้องไห้ทั้งคืน คิดถึงสิ่งที่ตัวเองตั้งใจจะทำเมื่อตอนสงกรานต์ แต่ทำไมไม่กล้าพูด ทำไมถึงไม่กล้าทำ ).. และเหตุการณ์นี้มันทำให้ผมรู้สึกเสียใจมาจนถึงทุกวันนี้. ถึงวันพ่อทีไร รู้สึกสะท้อนใจตัวเองทุกที รู้สึกผิดและค้างคาอยู่ในใจตลอดเวลา.
อยากจะบอกให้ทุกคนที่ได้อ่านบทความที่ผมเขียนขึ้นมานี้ ให้เอาไปเป็นข้อคิดนะครับว่า ถ้าเราอยากทำอะไรให้คนที่เรารัก ไม่ว่าจะเป็น พ่อ, แม่, ปู่ย่า, ตายาย, หรือ ผู้มีพระคุณใดๆ ก็แล้วแต่ อย่าอายที่จะทำ, การแสดงความรัก และ ความกตัญญู ต่อบุพการี หรือผู้มีพระคุณ ไม่ใช่เรื่องที่น่าอาย. รีบทำตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ทำให้ท่านมีความสุขที่สุด เท่าที่เราจะทำให้ท่านมีความสุขได้ ตราบจนสิ้นอายุขัยของท่านนะครับ.
เพราะถ้าหากว่าเหตุการณ์มันเกิดขึ้นกะทันหันอย่างเช่นกรณี พ่อของผม.... คุณจะได้ไม่รู้สึกเสียใจ ทีหลังว่า เรื่องแค่นี้ทำไมถึงไม่กล้าทำ ทำไมต้องอาย และก็ได้แต่เสียใจอยู่อย่างทุกวันนี้.
อาจจะพิมพ์ยาวไปหน่อย ขอบคุณพื้นที่ที่ได้ระบายออกมา ถึงความรู้สึก ที่มีต่อพ่อ ถึงแม้ว่าตอนนี้ ท่านจะจากโลกนี้ไปแล้วก็ตาม
ขอให้ทุกคนแสดงความรักต่อพ่อ แม่ และ ผู้มีพระคุณ รวมทั้งญาติพี่น้องทั้งหลาย อยากทำอะไรให้พวกเขามีความสุข ให้รีบทำก่อนที่จะสายเกินไป เพราะเราไม่สามารถรู้ได้ว่า พรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง?. เพราะถ้าคนที่เรารักจากโลกนี้ไปแล้ว ต่อให้เราเขียนคำว่า ขอโทษพันหน้า พูดคำว่ารักพักครั้ง พวกเขาก็คงจะไม่ได้อ่าน และ ก็คงจะไม่ได้ยิน เช่นกัน.
ขอบคุณที่อ่านจนจบนะครับ.
รักพ่อครับ
เรียงความ เรื่อง พ่อของฉัน (บอกรัก ในวันที่สายไป..)
ผมได้เข้าไปหาพ่อ เพื่อบอกลาพ่อ ก่อนที่จะกลับมาทำงานที่กรุงเทพฯ เหมือนเดิม. เพราะความเขินอาย เลยไม่ได้ถือขันน้ำไปล้างเท้าให้พ่อ คิดแค่ว่าแค่ไหว้ธรรมดา และบอกลาให้แกรับรู้เหมือนทุกปีที่ผ่านมาก็น่าจะเพียงพอแล้ว. เพราะคิดว่าพ่อยังสุขภาพแข็งแรง ไม่น่าจะเป็นอะไรง่ายๆ ถ้ามีโอกาสกลับบ้านครั้งหน้าค่อยทำก็ได้!! (ทั้งที่ในในใจอยากจะกล่าวขอขมาลาโทษ ถ้าผมได้ทำอะไรล่วงเกินท่านไป ขอให้พ่ออโหสิกรรมให้ผมด้วย เกิดชาติหน้าฉันใด ขอเกิดเป็นลูกของพ่ออีก กลัวพูดไปแล้ว เหมือนจะเป็นลางไม่ดี, กลัวพ่อจะไม่สบายใจ เลยไม่พูดออกไป)
หลังจากเข้าไปไหว้เสร็จแล้ว เอาเงิน 1 พันบาท ให้พ่อ, พ่อบอกว่า “พ่อไม่เอาหรอก เก็บไว้ใช้เองเถอะนะ มีภาระเยอะอยู่ไม่ใช่เหรอ? ไม่ต้องให้พ่อหรอก พ่อยังทำงานไหว พ่อมีเงินใช้อยู่แล้ว."
ผมบอกพ่อว่า "ผมรู้ว่าพ่อยังทำงานไหว และ มีเงินเก็บใช้อยู่แล้ว แต่ผมอยากจะให้. มันเป็นเงินจากน้ำพักน้ำแรงที่ผมหามาได้ ผมอยากให้พ่อได้ใช้เงินของผมบ้าง" (ปกติให้เงินแกทุกปี แต่แกไม่เคยเอา เลยจะซื้อของอย่างอื่นให้แทน). ผมยัดเยียดเงิน 1 พันบาทใส่ในมือพ่อ จับมือพ่อให้กำเงินของผมไว้ในกำมือ.
หลังจากนั้น ผมก็บอกรักพ่อ และบอกให้พ่อดูแลสุขภาพของตัวเองด้วย เสร็จแล้วก็ไหว้ และ ลากลับกรุงเทพฯ.....................หลังจากวันนั้น ก็มีโทรศัพท์คุยกันบ้างเป็นครั้งคราว ตามแต่เวลาและโอกาสที่มี ถามสารทุกข์สุกดิบ และ เรื่องสุขภาพ. พ่อก็บอกว่าก็มีเจ็บไข้ได้ป่วยบ้างเป็นธรรมดา ตามประสาคนแก่ แต่ก็ไม่ได้เป็นอะไรมากมาย ผมก็บอกให้พ่อไปหาหมอตรวจบ้างนะ และรักษาดูแลสุขภาพด้วย...............
จนถึงกลางเดือนพฤศจิกายน ปี 57. ผมได้รับโทรศัพท์ จากทางบ้านที่ต่างจังหวัด บอกว่า.. พ่อได้เสียชีวิตแล้ว จากโรคหัวใจวายเฉียบพลัน.. ความรู้สึกตอนนั้นมันช็อคมากครับ ถามกลับไปว่าเรื่องจริงหรือเปล่า? หลังจากได้รับคำตอบซ้ำว่าเป็นเรื่องจริง ผมก็อึ้งจนไม่รู้ว่าเขาพูดอะไรบ้างหลังจากนั้น....
พอตั้งสติได้ก็ตอบกลับไปว่า ได้รับรู้แล้ว แล้วจะรีบลางานกลับไปบ้านที่ต่างจังหวัด. (คืนนั้นร้องไห้ทั้งคืน คิดถึงสิ่งที่ตัวเองตั้งใจจะทำเมื่อตอนสงกรานต์ แต่ทำไมไม่กล้าพูด ทำไมถึงไม่กล้าทำ ).. และเหตุการณ์นี้มันทำให้ผมรู้สึกเสียใจมาจนถึงทุกวันนี้. ถึงวันพ่อทีไร รู้สึกสะท้อนใจตัวเองทุกที รู้สึกผิดและค้างคาอยู่ในใจตลอดเวลา.
อยากจะบอกให้ทุกคนที่ได้อ่านบทความที่ผมเขียนขึ้นมานี้ ให้เอาไปเป็นข้อคิดนะครับว่า ถ้าเราอยากทำอะไรให้คนที่เรารัก ไม่ว่าจะเป็น พ่อ, แม่, ปู่ย่า, ตายาย, หรือ ผู้มีพระคุณใดๆ ก็แล้วแต่ อย่าอายที่จะทำ, การแสดงความรัก และ ความกตัญญู ต่อบุพการี หรือผู้มีพระคุณ ไม่ใช่เรื่องที่น่าอาย. รีบทำตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ทำให้ท่านมีความสุขที่สุด เท่าที่เราจะทำให้ท่านมีความสุขได้ ตราบจนสิ้นอายุขัยของท่านนะครับ.
เพราะถ้าหากว่าเหตุการณ์มันเกิดขึ้นกะทันหันอย่างเช่นกรณี พ่อของผม.... คุณจะได้ไม่รู้สึกเสียใจ ทีหลังว่า เรื่องแค่นี้ทำไมถึงไม่กล้าทำ ทำไมต้องอาย และก็ได้แต่เสียใจอยู่อย่างทุกวันนี้.
อาจจะพิมพ์ยาวไปหน่อย ขอบคุณพื้นที่ที่ได้ระบายออกมา ถึงความรู้สึก ที่มีต่อพ่อ ถึงแม้ว่าตอนนี้ ท่านจะจากโลกนี้ไปแล้วก็ตาม
ขอให้ทุกคนแสดงความรักต่อพ่อ แม่ และ ผู้มีพระคุณ รวมทั้งญาติพี่น้องทั้งหลาย อยากทำอะไรให้พวกเขามีความสุข ให้รีบทำก่อนที่จะสายเกินไป เพราะเราไม่สามารถรู้ได้ว่า พรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง?. เพราะถ้าคนที่เรารักจากโลกนี้ไปแล้ว ต่อให้เราเขียนคำว่า ขอโทษพันหน้า พูดคำว่ารักพักครั้ง พวกเขาก็คงจะไม่ได้อ่าน และ ก็คงจะไม่ได้ยิน เช่นกัน.
ขอบคุณที่อ่านจนจบนะครับ.
รักพ่อครับ