มาฟังโค้ชคิ้ม เล่าถึงลูกๆ ของนางกันค่ะ คนที่ไม่ชอบโค้ชคิ้ม เลื่อนผ่านไปเลยก็ได้นะคะ ^_^

กระทู้สนทนา
เล่นหูเล่นตา : ธนาคารความฝัน
เล่นหูเล่นตา : ธนาคารความฝัน : โดย...เจนนิเฟอร์ คิ้ม

        “หนูอยากจะเป็นนักร้อง จะได้เลี้ยงดูแม่ แม่หนูเลี้ยงหนูมาคนเดียว หนูรู้ว่ามันไม่ง่ายไม่สบายเหมือนใครเขา... ทุกวันนี้หนูกับแม่อาศัยบ้านของญาติอยู่ สักวันหนูจะมีบ้านของเราเอง...” ตาโตๆ คู่นั้นของหนอยแน่จ้องมองมาที่ฉัน ทำให้ฉันเห็นภาพเคลื่อนไหวที่ถูกบรรยายด้วยเสียงของเจ้าของเรื่องนั้นในคำว่า “ไม่ง่ายไม่สบาย” กระตุ้นความเป็นแม่และผู้หญิงในตัวฉันให้ฟุ้งกระจายขึ้นมาอีกครั้ง ลึกไปกว่านั้นฉันมองเห็นความกตัญญูอันยิ่งใหญ่ของนักสู้ตัวน้อยที่ยังไม่รู้ว่าโลกนี้มันไม่ง่าย ความฝันที่จะมุ่งไปเป็นอะไรสักอย่างยังไม่ยิ่งใหญ่และทรงพลังเท่าความฝันที่จะทำให้คนที่เรารักที่สุดมีชีวิตสุขสบาย... ฉันรู้สึกเหมือนมีคนเอาความฝันมาฝากไว้ที่ฉัน!

        “ผมอยากหาเงินมาเป็นค่าผ่าตัดลิ้นหัวใจของน้องชายผม เขาอายุ 19 ไม่รู้เลยว่าวันไหนเขาจะจากไป ผมสงสารน้อง เขาไม่เคยได้ใช้ชีวิตในวัยเด็กแบบเด็กทั่วๆ ไป ไม่ได้วิ่งเล่นซน เตะฟุตบอล หรือทำอะไรผาดโผนเหมือนอย่างที่ผมเคยทำ... ขอแค่ได้มีงานทำไม่ต้องมีชื่อเสียงมากมายผมก็พอใจแล้ว จะได้หาเงินมาช่วยน้องได้เสียที...” น้ำเสียงและแววตาของ “ปาร์ค” มันเศร้าพอๆ กับหน้าของมัน มันเหมือนหมาเหงา เวลาที่มันสนุกสนานเถิดเทิงกับเพื่อนๆ ร่วมทีมเป็นช่วง “เผลอ” ลืมคิดถึงเรื่องตัวเอง... ช่วงนั้นมันเป็นตัวของตัวเองมากๆ... ฉันไม่เข้าใจว่าเด็กสมัยนี้ทำไมถึงต้องรับภาระทางกายและใจมากมายถึงขนาดนี้ เป็นเพราะมันเป็นเรื่องคอขาดบาดตายของคนในครอบครัวหรือเพราะมันเองก็เป็นคนอ่อนไหวและคิดมากอยู่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ! ... ฉันรู้สึกเหมือนมีคนเอาความฝันมาฝากไว้กับฉัน!

        “ป้าๆ... เมื่อไหร่นุ๊กจะมีงานทำซะที ปีก่อนๆ มาถึงรอบนี้เขาก็มีงานมาจองกันแล้วนิ” เด็กใต้วัยเท่าหลานคนเล็กของฉันถามเซ้าซี้พิรี้พิไร มันไม่รู้หรอกว่าเส้นทางนี้มันยากเย็นแค่ไหนกว่าจะยืนหยัดทำมาหากินด้วยการขายเสียงจนกลายเป็นอาชีพจริงจังได้

        “นุ๊ก ฟังป้านะ... นักร้องประกวดรุ่นเด็กก็เหมือน “ม้าเด็ก” กว่ามันจะถูกฝึกฝนจนวิ่งแข่งได้ชนะ มันใช้เวลานานมาก ถ้ามันไม่เก่งจริงเขาก็จะไม่ปล่อยมันออกมาแข่ง เพราะออกมาแล้วถ้าวิ่งไม่ทนไม่อึดไม่เร็วกว่าตัวอื่น อีกหน่อยมันก็จะต้องออกจากการแข่งขัน กลับไปเป็นม้าในคอกอยู่ไปวันๆ มันต้องพร้อมจริงๆ ถึงจะออกมาวิ่ง เข้าใจที่ป้าพูดมั้ยนุ๊ก”

        “เข้าใจครับ” ตาคมๆ เศร้าๆ คู่นั้นสลดลงเล็กๆ หลังจากฟังม้าแก่อย่างฉันสวดบทยาว ฉันไม่รู้หรอกว่าเด็กสมัยนี้มันจะรีบทำงานหาเงินหาทองไปทำไมกัน สมัยฉันอายุเท่าพวกมันยังนอนคว่ำดูหนังสือการ์ตูนแคนดี้ คำสาปฟาโรห์ อาราเร่ คอบบร้า โดราเอมอน ฯลฯ อยู่เลย! หรือเพราะว่าฉันเกิดในครอบครัวชั้นกลางๆ ไม่เดือดร้อนเรื่องปากท้องนัก และต่อให้จะเกิดอะไรขึ้น เตี่ยกับแม่ก็จะบอกว่า “ไม่ใช่เรื่องของเด็ก เดี๋ยวป๊าจัดการเอง” เตี่ยไม่เคยส่งเสริมให้ลูกไปแข่งขันประกวดร้องเพลง หรือแม้แต่เรียนร้องเพลงก็อย่าได้หวัง มีแต่แม่ที่ไม่เคยขัดใจต่อให้ไม่มีเงิน แม่ก็จะถอดแหวนทองออกจากนิ้วเอาไปจำนำให้ลูกได้ไล่ตามความฝัน การวิ่งไล่ตามความฝันมันเหมือนเด็กน้อยวิ่งไล่ตามพระจันทร์ ตอนเด็กๆ ใครเคยทำแบบนี้บ้างมั้ย? เหมือนพระจันทร์อยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่เราก็เอื้อมไม่ถึงมันเสียที วิ่งไปโดยไม่หยุดพักเราอาจจะไปยืนอยู่บนที่สูงๆ สักที จนพระจันทร์ลอยอยู่ตรงหน้าในตำแหน่งที่เรารู้สึกเหมือนกับว่าเราคว้ามันไว้ได้ ความฝันจะเป็นจริงได้มันต้องไม่หยุดฝันและพยายามขึ้นเรื่อยๆ ต่อให้ท้ายสุดไม่เป็นจริงก็ยังดีกว่าไม่เคยพยายามเลยสักครั้ง...

        “นุ๊กอยากมีงานทำจะได้ช่วยป๋ากับแม่ส่งค่ารถค่าบ้าน เมื่อก่อนนุ๊กไม่รู้ว่าป๋ากับแม่มีปัญหาเรื่องเงิน จนเมื่อปีที่แล้ว นุ๊กเห็นแม่เหนื่อย บางทีแม่ก็ร้องไห้ มีอยู่ครั้งหนึ่งแม่หาเศษตังค์ให้นุ๊กไปโรงเรียนตอนเช้า หาทั้งบ้านได้มา 26 บาท แม่ให้นุ๊ก 20 บาท แล้วแม่เก็บไว้ซื้อน้ำกินที่โรงเรียน 6 บาท มันโคตรเศร้าเลยป้า!”

        อือ... ความทุกข์ของนุ๊กนุ๊ก (เคยได้ยินแต่ “ความสุขของกะทิ”) เด็กอายุ 19 บ่นเป็นวรรคเป็นเวรเรื่องเศรษฐกิจของครอบครัว แต่พอมันอยู่รวมกันกับเพื่อนๆ ในทีม ฉันเห็นมันเฮฮา เฮ้อ! เด็กหนอเด็ก อารมณ์ลูกกตัญญูหายหมดเลยกรู! มันเล่าให้ฉันฟังอีกว่า (มันพูดไม่หยุดจนฉันปวดหู) ได้เงินมา 2 งาน เอาเงินใส่มือแม่ช่วยค่าผ่อนรถผ่อนบ้าน ไม่คิดว่าลูกที่วันๆ เอาแต่ซนมันจะมีหัวคิดได้โดยไม่ต้องสอน เกิดขึ้นจากสิ่งที่มันเห็นอยู่ทุกวันแล้วมันสำนึก ถือเป็นบุญของพ่อแม่แล้ว... ทุกครั้งที่นุ๊กเล่าเรื่องของมันให้ฉันฟัง ฉันรู้สึกเหมือนมีคนเอาความฝันมาฝากไว้ที่ฉัน!

        “ฉีมาถึงตรงนี้ก็ไกลกว่าที่ฝันไว้แล้วค่ะ ไม่คิดว่าจะมาไกลขนาดนี้ พ่อฉีเห่อใหญ่เลย แต่แม่ชอบติ กลัวลูกเหลิง...”

        อันฉีคุยกับฉันอย่างไม่คาดหวังอะไร นางมีความฝันที่สวยงามและค่อยเป็นค่อยไป นางเป็นเด็กจิตดี นางไม่เคยอิจฉาหรือชิงดีชิงเด่นกับใคร บอกให้ทำอะไรนางก็ทำ ไม่มีข้อจำกัด นางคือลูกสาวในฝันของฉัน เป็นเด็กดีที่น่าส่งเสริมที่สุดคนหนึ่งเท่าที่ฉันเคยเจอมา นางเป็นครูสอนร้องเพลงที่มหิดล ศาลายา ไม่มีรถ ไปไหนมาไหนใช้บีทีเอส รถตู้ รถเมล์ไปตามสะดวก อาศัยพักอยู่คอนโดของเพื่อน นางไม่เคยบ่นเรื่องปัญหาส่วนตัวใดๆ อาจเป็นเพราะพ่อเป็นคณบดีคณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา เป็นผู้หลักผู้ใหญ่เป็นครูที่สอนลูกให้เป็นศิลปินด้วยใจอย่างค่อยเป็นค่อยไป เป็นคนที่เห็นเส้นทางนี้อย่างทะลุปรุโปร่ง รู้ว่าประสบการณ์และพรสวรรค์มันจะพาลูกไปถูกทางเอง เมื่อเวลานั้นมาถึง... เวลาที่ฉันสอนนาง ได้ดั่งใจที่สุดทั้งอารมณ์ เทคนิค และทัศนคติของการเป็นนักร้องที่ดี จะยืนหยัดอยู่บนเส้นทางนี้ได้ยาวนานที่สุด เวลาที่ฉันอธิบายความหมายของเพลง ช่วงที่ซาบซึ้งหรือเศร้าน้ำตานางจะไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ฉันว่าระบบซึมซับอารมณ์เพลงของนางช่างสุดยอดจริงๆ วันหนึ่งข้างหน้านางจะเป็นดีว่าที่ยิ่งใหญ่อีกคนของเมืองไทย!

        ถ้าการเป็นโค้ชเป็นเหมือนธนาคาร ความฝันของเด็กในทีมก็เป็นเหมือนเงินฝาก แต่ละคนต่างเอาความฝันมาฝากไว้ที่ฉันซึ่งเป็นเพียงสาขาย่อย สำนักงานใหญ่นั้นคือ “ประชาชนคนไทย” ที่จะให้ความนิยมเป็นดอกเบี้ยกับเด็กๆ ยิ่งให้มาก ความฝันก็จะใกล้ความจริงได้มากขึ้นตาม... ขอฝากเด็กทั้ง 4 คน (หนอยแน่ ปาร์ค อันฉี และนุ๊ก) ไว้ในความเมตตากรุณาของทุกๆ ท่านด้วยนะคะ

        ด้วยความซาบซึ้งใจ... โค้ชคิ้ม
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่