หลังจากที่ผ่านมาประมาณปีครึ่งพอดี ที่อาจารย์หลุยส์แกมารับงานอันยิ่งใหญ่ พร้อมความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่อย่างการคุมทีมระดับโคตระอภิมหายิ่งใหญ่เหนือผืนฟ้าปฐพีที่มีชืออย่างเป็นทางการว่า “แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด”
ผ่านมาได้ครึ่งทางพอดีแล้วนะครับจากสัญญาต้องเป็นสัญญาสามปีของแก ดังนั้นกระผมขอทำตัวเป็น “กูรู้” วิจารณ์แกซักหน่อย ให้หายแค้นที่ทำทีมรักได้น่าเบื่อระดับอิทธิเดชบรรลัยกัลป์ ดูหมาแถวบ้านกัดกันยังมันกว่า โอเคเข้าเรื่องเลยแล้วกันนะครับ
1) บุคคลิกแข็งกร้าว
อาจารย์หลุยส์แกเป็นคนที่มีบุคคลิกแข็งกร้าวมากนะครับ มากซะจนผมยังสงสัยเลยว่าแกเคยมีปัญหาอะไรกับคนแถวบ้าน เอ้ย กับนักเตะถึงขั้นฟาดปากกันมาแล้วรึยัง ดูอย่างกรณีที่แกเคยมีปัญหากับอดีตแข้งดังมาแล้วหลายกรณี นั่นก็พอจะบ่งชี้ถึงตัวตนของแกได้ว่าแกเป็นคนยังไง คนอย่างแกเป็นคนประเภทอัตตาสูงทะลุชั้นบรรยากาศโลกเลยนะครับ เรียกว่าพร้อมจะจัดการกับนักเตะทุกคนที่ไม่เชื่อฟังด้วยการหั่นออกจากทีมทำให้หมดอนาคตไปอย่างไม่ไยดี ซึ่งตรงนิ้บางกรณีผมว่ามันก็เกินสมควร
อันที่จริงบุคคลิกแบบนี้นั้นก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเสมอไป ป๋าเฟอร์กี้เองก็แข็งกร้าวสุด ๆ เหมือนกัน เพราะมันแสดงให้เห็นความเป็นเจ้านายกับลูกน้อง ทำให้นักเตะเกรงใจและเชื่อฟัง ซึ่งผมก็เชื่อว่านักเตะในทีมยังเกรงใจและเชื่อฟังฟานกัลอยู่
แต่ในขณะเดียวกัน สิ่งที่แตกต่างกับเฟอร์กี้คือ สำหรับป๋าแพนด้าแล้วความแข็งกร้าวนั้นไม่ได้ใช้เพื่อตัดสินนักเตะที่เล่นผิดพลาด แต่ใช้เพื่อจัดการกับนักเตะที่ออกนอกลู่นอกทางหรือปีนเกลียวมากกว่า
ในทางกลับกันฟานกัลกลับใช้ อำนาจบอสและประกาศิตที่ถืออยู่ในมือจัดการกับนักเตะทุกคนที่เล่นผิดพลาด (ยกเว้น เวนย์ รูนี่ย์ คนนึงซึ่งก็ไม่รู้มันจะยกเว้นทำพระแสงหอกง้าวอะไร) ผมยังจำชอตที่ชิชาริโต้ทำพลาด แล้วแกหันไปมองหน้ากิ๊กส์ ด้วยสายตาท่าทางประมาณว่า “เยียดเปียด มันยิงพลาดแบบนี้ได้ยังไงวะ”
ซึ่งนั่นทำให้นักเตะของแมนยูทั้งหลาย “กลัวการเล่นผิดพลาด” เพราะคนเป็นผู้จัดการทีมสร้างความหวาดกลัวในใจผู้เล่นทุกคนไว้ ใครเล่นไม่ได้อย่างใจ แกประจานออกสื่ออยู่บ่อยครั้ง และผมเชื่อว่าในการฝึกซ้อม นักเตะที่เสียบอลต้องเจอสายตาอันโรคจิตของแกเพ่งมองมา เหมือนนักเตะคนนั้นไปชำเราเด็กยังไม่บรรลุนิติภาะวะยังไงอย่างงั้น
ซึ่งตรงนี้จะส่งผลกระทบต่อนักเตะเวลาลงสนามเป็นอย่างมาก นักเตะทุกคนไม่มีใครกล้าที่จะเปิดเกมรุกเพราะกลัวว่าถ้าทำเสียบอลแล้วเกิดมันพลาดแบบชนิดเข้าตาฟานกัลละก็ เรียบร้อย ชีวิตบัดซบทันที นักเตะเองก็ต้องกินข้าวต้องเลี้ยงลูกเมีย ไม่มีใครอยากเอาอนาคตไปเสี่ยงโดนดรอปยาว ๆ หรอกครับ เพราะฉะนั้นสรุปว่าบุคคลิกอันแข็งกร้าวของฟานกัล ทำให้นักเตะในทีมเกร็งเวลาลงสนาม กลัวเกิดการผิดพลาด ไม่กล้าทำอะไรที่สุ่มเสี่ยง เลยกลายเป็นเล่นแบบหุ่นยนต์อย่างที่เราเห็น ๆ กันครับ
2) การซื้อขายนักเตะด้วยเงินมหาศาล
ส่วนที่ดี คือการผ่องถ่ายนักเตะที่ไม่เป็นที่ต้องการ หรือหมดสภาพออกไปหลายคนด้วยกัน และซื้อตัวผู้เล่นที่มีความสามารถเข้ามาสู่ทีมหลายคน นั่นทำให้ขนาดของทีมไม่ใหญ่จนเกินไป นักเตะทุกคนในทีมชุดใหญ่มีโอกาสได้ลงเล่นอย่างทั่วถึง
ในยุคอาจารย์หลุยส์คนที่ผมดูแล้วเป็นการซื้อที่น่าผิดหวังคงมีแค่ “เมมฟิส เดปาย” คนเดียวเท่านั้น แต่ก็ยังต้องรอดูต่อไปว่าเด็กคนนี้จะเปลี่ยนแปลงทัศนคติการเล่นเป็นทีมให้ดีขึ้นได้มากน้อยแค่ไหน หลัง ๆ ก็ดูดีขึ้นกว่าแต่ก่อนพอสมควร
บางอย่างแกก็ตัดสินใจถูกเพราะนักเตะบางคนก็สมควรปล่อยแล้วครับ บางคนหมดสภาพ เช่น อันแดร์สัน ฟานเพอร์ซี่ ดารเรน เฟรทเชอร์ บางคนดูแล้วไม่สามารถพัฒนาขึ้นอีกเช่น แดนนี่ เวลแบค ทอม เคลฟเวอรี่ จอนนี่ อีแวนส์ เพราะฉะนั้นก็ยังมีที่แกตัดสินใจปล่อยตัวไปถูกต้องบ้าง
ส่วนที่ไม่ดี ผมมองว่านักเตะหลายอีกหลายคนที่ฟานกัลปล่อยไป ไม่ได้แย่และอาจจะดีกว่าพวกที่ซื้อมาใหม่ด้วยซ้ำ แต่ฟานกัลชอบใช้การซื้อและขายมาแก้ปัญหาของทีม มากกว่าการฝึกสอนและพัฒนาบุคคลากร
ลองมองดูชิชาริโต้, วิลฟรีต ซาฮา, หลุยส์ นานี่, แองเจโล่ เฮนริเกซ, เบเบ้ (ที่ตอนนี้เล่นเป็นตัวจริงให้ราโย บาเยกาโน่ แม้หลายคนจะมองเค้าเป็นตัวตลก แต่ผมกลับคิดว่าเป็นเพราะภูมิหลังของเค้าทำให้เค้าไม่ได้รับโอกาสและความเชื่อมั่นจากโค้ชหลายคนที่เค้าร่วมงานด้วย แต่คนเราผิดด้วยเหรอครับที่เกิดมากำพร้า ไม่มีครอบครัวต้องโตมาในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า นี่มันนิยายสุดคลาสสิคชัด ๆ ถ้าเบเบ้ก้าวมาเป็นสุดยอดนักเตะได้)
ลองมองดูนักเตะเหล่านี้ซิครับ ผมคิดว่าแต่ละคนดูมีแนวโน้มที่จะพัฒนาเป็นนักเตะที่ดีได้ ไม่นับรวม ชินจิ คากาวะ ขวัญใจผมที่อาจจะมีร่างกายบอบบางไม่เหมาะกับลีคบ้าพลังอย่าง EPL ซักเท่าไหร่
นักเตะเหล่านี้ไม่ได้รับโอกาสในการพิสูจน์ตัวเอง ไม่ได้รับการแก้ไขจุดบกพร่องและพัฒนาขึ้นในฐานนะนักเตะและคน ๆ นึง เอะอะก็ขาย เอะอะก็ซื้อ ใช้เงินในตลาดซื้อขายนักเตะมากมายมหาศาลแต่ผลงานกลับสาละวันเตี้ยลง ดูแล้วละเหี่ยใจครับ
ในยุคของแกมีแค่คนเดียวที่พัฒนาอย่างเห็นได้ชัดเจนที่สุดนั่นคือพี่ไมค์ เอ้ย คริส สมอลลิ่ง ส่วนคนอื่นก็อาจจะมีแอชลี่ย์ ยัง ที่เคยแปลงร่างมียศตำแหน่งนำหน้าเป็นพรวน แต่ช่วงหลังก็ถูกถอดยศและถูกฟานกัลดรอปออกจากทีมอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
โดยรวมสรุปแล้วผมไม่ประทับใจในการใช้เงินมหาศาลกับผลงานที่ได้ของฟานกัล และไม่ประทับใจในทักษะการโค้ชชิ่งผึกสอนพัฒนานักเตะของฟานกัลเลย
3) ตำแหน่งการเล่น
ผมก็ไม่ค่อยจะเข้าใจอาจารย์หลุยส์เท่าไหร่นักกับความเป็นคนคิดมาก คิดบ้าบอคอแตก ประสาทแด็กส์ของแกเท่าไหร่ ทีมใหญ่ ๆ ส่วนมากแล้วจะยึดแผนการเล่นหลัก ๆ ของทีมไว้ แล้วอาจจะเปลี่ยนแผนการเล่นอื่นที่จำเป็นต้องใช้ปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ของเกม แต่ผ่านมาปีครึ่งแล้ว ผมก็เห็นแกยังเปลี่ยนแผนไปมาไม่จบซักทีเหมือนพายเรือวนในอ่าง แล้วนักเตะจะรู้หน้าที่รู้ตำแหน่งหน้าที่ของตัวเองได้อย่างไรครับ ที่ใช้มาก็มี 352, 4141, 4231 ,4222, 442 diamond, 433, 4312 ฯลฯ ก็ไม่อยากจะบอกว่าจะปรับตำแหน่งอะไรก็ปรับไปเหอะ ตราบที่ยังส่งบอลแปะไปแปะมาแบบนี้ แผนอะไรมันก็ไม่ต่างกันหรอกครับ
4) รูปแบบการเล่น
อันนี้เป็นส่วนที่ผมรังเกียจฟุตบอลของฟานกัลมากที่สุดนะครับ
too slow, too easy to predict, too boring
คงเป็นคำนิยามที่ดีที่สุดของหลุส์ฟานกัลนะครับ ปรัชญาการครองบอลขวางสนามคืนหลังส่งไปมาของฟานกัล ทำลายเอกลักษณ์อันยิ่งยงยาวนานของยูไนเต็ดไม่มีชิ้นดี พัง พังหมดแล้วครับ ต้องอดทนอีกกี่วันเดือนปี ผ่านทางชีวิตหลากหลาย ถึงจะผ่านช่วงเวลาที่ฟุตบอลเหมือนยานอนหลับนี้ไปได้
แกอาจจะคิดว่าเปอร์เซนต์ครองบอลนี้เอาสะสมไปแลกตุ๊กตาริลัคคูม่าที่เซเว่นอีเลฟเว่น หรือเอามาแลกแต้มจากพรีเมียร์ลีกได้รึเปล่าครับ ฝรั่งบอกว่าฟุตบอลของฟานกัลคือ possession but no penetration แปลเป็นภาษาไทยได้ว่า ครองบอลแต่ไม่ทะลุทะลวง คือครองไว้ไม่ให้เสียบอลให้คู่ต่อสู้ แต่ตัวเองก็ไม่มีปัญญายิงเค้าเหมือนกัน เพราะกลัวถูกตัดบอลแล้วโต้กลับ
อย่างที่แกเคยหล่นประโยคไว้แหละครับในช่วงที่มาคุมทีมได้ไม่นานว่า แกรู้สึกว่าต้องขมิบดากส์ทุกทีที่ทีมโดนบุก ยังจำช่วงที่โดนเลสเตอร์เปิดบ้านยำไป 5 – 3 ได้ใช่มั้ยครับ นั่นแหละครับเพราเจมี่ วาร์ดี้คนเดียวแท้ ๆ ทำเอาอาจารย์หลุยส์กินไม่ได้นอนไม่หลับกลัวถูกแซงนำแบบหลอน ๆ อีกครั้ง
หลังจากนั้นแหละครับ แกก็เริ่มปิ้งไอเดียบัดซบนี้ขึ้นมาได้ว่า อย่าเสียบอล อย่าโดนโต้กลับ ทั้ง ๆ ที่มันก็มีวิธีจัดการอย่างอื่น เช่น เมือเสียแล้วต้องรีบรุมแย่งบีบเร็ว เอาบอลกลับมา หรือบางอย่างมันก็ต้องวัดวาบ้าง อย่างที่หลายท่านหล่นความเห็นไว้แหละครับ ชนะนัดนึงแพ้นัดนึงได้สามคะแนน แต่เสมอสองนัดมีสองคะแนน ฟุตบอลคือเกมที่ต้องเอนเตอร์เทนคนดูนะครับ ไม่ใช่เกมที่น่าเบื่อจะหลับคาจอทีวีให้ได้ทุกครั้งขนาดนี้
ผมเชื่อว่าถ้าให้ฟานกัลใช้ปรัชญาบ้าบอนี้คุมทีมต่อไป อีกไม่นานฐานแฟนบอลทั่งโลกของยูไนเต็ดจะต้องหดลงแม้จะมีแชมป์ติดมือก็ตาม เหมือนอาเซน่อลในยุคจอร์จ เกรแฮมแหละครับ บอริ่ง อาร์เซน่อล ได้แชมป์แบบน่าเบื่อ กลายเป็นเรื่องให้คนอื่นเค้าล้อเลียนกันยันลูกบวชไปอีก
5) จิตวิทยาการคุมทีม
อันนี้ผมมองว่าแกสอบตกอย่างแรงนะครับ
อย่างที่เรียนไปในเรื่องบุคคลิกของแก ที่มันไม่ค่อยจะน่าเอ็นดูเท่าไหร่นัก แกเป็นประเภทมีอีโก้สูงมากนะครับ ในช่วงแรก ๆ ที่มาคุมทีมแกอาจจะมองว่าการนั่งดูบนอัฒจรรย์ทำให้เห็นภาพกว้างได้มากกว่าคือก็ไม่ได้คิดจะนั่งแบบนั้นไปตลอดหรอกครับผมเดาเอานะ
แต่พอนักข่าวชักถามมาก ๆ เข้าแกก็เลยบอกว่าแกไม่เห็นว่าการไปยืนสั่งการข้างสนามจะได้ประโยชน์อะไร มันเป็นแนว มันเป็นสไตล์ของแกที่จะนั่งจดอะไรยุกยิกอยู่บนอัฒจรรย์มากกว่ามาสั่งงานข้างสนาม เอาละซิ คนอย่างแก คำพูดต้องเป็นคำพูด ดังนั้นไม่ว่าทีมจะนำอยู่แค่ลูกเดียว หรือเสมอ หรือตามหลัง เราจะไม่มีวันได้เห็นแกออกมาข้างสนามหรอกครับ เพราะมันเป็น “สไตล์” ว่าไปนั่น
แต่เมื่อนักเตะเป็นคน คนย่อมต้องการแรงกระตุ้น การที่นักเตะแมนยูเล่นกันเอื่อยเฉื่อยอืดเป็นเรือเกลือผมมองว่าเป็นความผิดของ ผจกทีมนะครับที่ไม่สามารถกระตุ้นลูกทีมได้
เอาละครับ เท่าที่นึกจะตำหนิได้ผมก็ตำหนิแกไปหมดแล้ว สุดท้ายนี้ยังไงแฟน ๆ อย่างเราก็คงทำได้แค่เชียร์ทีมกันต่อไป ส่วนฟานกัลก็คงต้องให้ผลงานในสนามเป็นตัวกำหนดชะตากรรมของแกละครับ ว่าแกจะปรับเปลี่ยนสไตล์การเล่นให้ถูกใจแฟนบอลได้มั้ย
ผมเองใจจริงก็อยากให้มีการเปลี่ยนแปลง ผจกทีมวันนี้พรุ่งนี้เลยนะครับ แต่แฟนอย่างเราก็คงทำได้แค่วิจารณ์ ไม่ได้มีอำนาจอะไรจะไปปลดแกได้ แล้วอีกใจก็คิดว่าถ้าแกสำนึกมาเปลี่ยนสไตล์การเล่นฟุตบอลให้มันไม่น่าเบื่อชวนง่วงได้อย่างนัดล่าสุดที่ดูแล้วพยายามเปิดเกมรุกมากขึ้น ก็คงจะพอทนดูต่อไปจนกว่าจะหมดสัญญาของแกได้ แต่ผมกลัวว่าจะกลับไปเล่นแบบเดิมซะมากกว่า
สุดท้ายอีกนิดนึง นัดล่าสุดที่เล่นกับเวสต์แฮมเราสร้างโอกาสได้กว่ายี่สิบครั้ง แต่ตรงกรอบแค่ครั้งเดียว ผมคิดว่าเป็นเพราะจังหวะมันยังไม่ลงล็อคนะครับ เหมือนมวยเคยแต่เป็นสไตล์ปอดแหก เดินแยบ หลบ ไม่เคยยอมเปิดหน้าแลก อาศัยรอทีเผลอคู่ต่อสู้มานานจนติดเป็นนิสัย อยู่ ๆ ให้มาเดินหน้าบดขยี้คู่ต่อสู้ มันก็คงไม่ชินยังทำได้ไม่ดีเป็นธรรมดา ก็ต้องดูกันต่อไปว่าฟานกัลจะกล้าเปิดหน้าสู้กับชาวบ้านเค้ารึเปล่า ถ้าทำไม่ได้ก็ออกไปอยู่บ้านเลี้ยงหลานเถอะนะลุง เปิดโอกาสให้เด็กหนุ่ม ๆ รุ่นใหม่ไฟแรง ๆ เค้าได้ลองแสดงความกล้าหาญในการคุมทีมที่มีชื่อว่าแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดนี้เถอะ
บทวิพากษ์ หลุยส์ ฟาน กัล
ผ่านมาได้ครึ่งทางพอดีแล้วนะครับจากสัญญาต้องเป็นสัญญาสามปีของแก ดังนั้นกระผมขอทำตัวเป็น “กูรู้” วิจารณ์แกซักหน่อย ให้หายแค้นที่ทำทีมรักได้น่าเบื่อระดับอิทธิเดชบรรลัยกัลป์ ดูหมาแถวบ้านกัดกันยังมันกว่า โอเคเข้าเรื่องเลยแล้วกันนะครับ
1) บุคคลิกแข็งกร้าว
อาจารย์หลุยส์แกเป็นคนที่มีบุคคลิกแข็งกร้าวมากนะครับ มากซะจนผมยังสงสัยเลยว่าแกเคยมีปัญหาอะไรกับคนแถวบ้าน เอ้ย กับนักเตะถึงขั้นฟาดปากกันมาแล้วรึยัง ดูอย่างกรณีที่แกเคยมีปัญหากับอดีตแข้งดังมาแล้วหลายกรณี นั่นก็พอจะบ่งชี้ถึงตัวตนของแกได้ว่าแกเป็นคนยังไง คนอย่างแกเป็นคนประเภทอัตตาสูงทะลุชั้นบรรยากาศโลกเลยนะครับ เรียกว่าพร้อมจะจัดการกับนักเตะทุกคนที่ไม่เชื่อฟังด้วยการหั่นออกจากทีมทำให้หมดอนาคตไปอย่างไม่ไยดี ซึ่งตรงนิ้บางกรณีผมว่ามันก็เกินสมควร
อันที่จริงบุคคลิกแบบนี้นั้นก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเสมอไป ป๋าเฟอร์กี้เองก็แข็งกร้าวสุด ๆ เหมือนกัน เพราะมันแสดงให้เห็นความเป็นเจ้านายกับลูกน้อง ทำให้นักเตะเกรงใจและเชื่อฟัง ซึ่งผมก็เชื่อว่านักเตะในทีมยังเกรงใจและเชื่อฟังฟานกัลอยู่
แต่ในขณะเดียวกัน สิ่งที่แตกต่างกับเฟอร์กี้คือ สำหรับป๋าแพนด้าแล้วความแข็งกร้าวนั้นไม่ได้ใช้เพื่อตัดสินนักเตะที่เล่นผิดพลาด แต่ใช้เพื่อจัดการกับนักเตะที่ออกนอกลู่นอกทางหรือปีนเกลียวมากกว่า
ในทางกลับกันฟานกัลกลับใช้ อำนาจบอสและประกาศิตที่ถืออยู่ในมือจัดการกับนักเตะทุกคนที่เล่นผิดพลาด (ยกเว้น เวนย์ รูนี่ย์ คนนึงซึ่งก็ไม่รู้มันจะยกเว้นทำพระแสงหอกง้าวอะไร) ผมยังจำชอตที่ชิชาริโต้ทำพลาด แล้วแกหันไปมองหน้ากิ๊กส์ ด้วยสายตาท่าทางประมาณว่า “เยียดเปียด มันยิงพลาดแบบนี้ได้ยังไงวะ”
ซึ่งนั่นทำให้นักเตะของแมนยูทั้งหลาย “กลัวการเล่นผิดพลาด” เพราะคนเป็นผู้จัดการทีมสร้างความหวาดกลัวในใจผู้เล่นทุกคนไว้ ใครเล่นไม่ได้อย่างใจ แกประจานออกสื่ออยู่บ่อยครั้ง และผมเชื่อว่าในการฝึกซ้อม นักเตะที่เสียบอลต้องเจอสายตาอันโรคจิตของแกเพ่งมองมา เหมือนนักเตะคนนั้นไปชำเราเด็กยังไม่บรรลุนิติภาะวะยังไงอย่างงั้น
ซึ่งตรงนี้จะส่งผลกระทบต่อนักเตะเวลาลงสนามเป็นอย่างมาก นักเตะทุกคนไม่มีใครกล้าที่จะเปิดเกมรุกเพราะกลัวว่าถ้าทำเสียบอลแล้วเกิดมันพลาดแบบชนิดเข้าตาฟานกัลละก็ เรียบร้อย ชีวิตบัดซบทันที นักเตะเองก็ต้องกินข้าวต้องเลี้ยงลูกเมีย ไม่มีใครอยากเอาอนาคตไปเสี่ยงโดนดรอปยาว ๆ หรอกครับ เพราะฉะนั้นสรุปว่าบุคคลิกอันแข็งกร้าวของฟานกัล ทำให้นักเตะในทีมเกร็งเวลาลงสนาม กลัวเกิดการผิดพลาด ไม่กล้าทำอะไรที่สุ่มเสี่ยง เลยกลายเป็นเล่นแบบหุ่นยนต์อย่างที่เราเห็น ๆ กันครับ
2) การซื้อขายนักเตะด้วยเงินมหาศาล
ส่วนที่ดี คือการผ่องถ่ายนักเตะที่ไม่เป็นที่ต้องการ หรือหมดสภาพออกไปหลายคนด้วยกัน และซื้อตัวผู้เล่นที่มีความสามารถเข้ามาสู่ทีมหลายคน นั่นทำให้ขนาดของทีมไม่ใหญ่จนเกินไป นักเตะทุกคนในทีมชุดใหญ่มีโอกาสได้ลงเล่นอย่างทั่วถึง
ในยุคอาจารย์หลุยส์คนที่ผมดูแล้วเป็นการซื้อที่น่าผิดหวังคงมีแค่ “เมมฟิส เดปาย” คนเดียวเท่านั้น แต่ก็ยังต้องรอดูต่อไปว่าเด็กคนนี้จะเปลี่ยนแปลงทัศนคติการเล่นเป็นทีมให้ดีขึ้นได้มากน้อยแค่ไหน หลัง ๆ ก็ดูดีขึ้นกว่าแต่ก่อนพอสมควร
บางอย่างแกก็ตัดสินใจถูกเพราะนักเตะบางคนก็สมควรปล่อยแล้วครับ บางคนหมดสภาพ เช่น อันแดร์สัน ฟานเพอร์ซี่ ดารเรน เฟรทเชอร์ บางคนดูแล้วไม่สามารถพัฒนาขึ้นอีกเช่น แดนนี่ เวลแบค ทอม เคลฟเวอรี่ จอนนี่ อีแวนส์ เพราะฉะนั้นก็ยังมีที่แกตัดสินใจปล่อยตัวไปถูกต้องบ้าง
ส่วนที่ไม่ดี ผมมองว่านักเตะหลายอีกหลายคนที่ฟานกัลปล่อยไป ไม่ได้แย่และอาจจะดีกว่าพวกที่ซื้อมาใหม่ด้วยซ้ำ แต่ฟานกัลชอบใช้การซื้อและขายมาแก้ปัญหาของทีม มากกว่าการฝึกสอนและพัฒนาบุคคลากร
ลองมองดูชิชาริโต้, วิลฟรีต ซาฮา, หลุยส์ นานี่, แองเจโล่ เฮนริเกซ, เบเบ้ (ที่ตอนนี้เล่นเป็นตัวจริงให้ราโย บาเยกาโน่ แม้หลายคนจะมองเค้าเป็นตัวตลก แต่ผมกลับคิดว่าเป็นเพราะภูมิหลังของเค้าทำให้เค้าไม่ได้รับโอกาสและความเชื่อมั่นจากโค้ชหลายคนที่เค้าร่วมงานด้วย แต่คนเราผิดด้วยเหรอครับที่เกิดมากำพร้า ไม่มีครอบครัวต้องโตมาในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า นี่มันนิยายสุดคลาสสิคชัด ๆ ถ้าเบเบ้ก้าวมาเป็นสุดยอดนักเตะได้)
ลองมองดูนักเตะเหล่านี้ซิครับ ผมคิดว่าแต่ละคนดูมีแนวโน้มที่จะพัฒนาเป็นนักเตะที่ดีได้ ไม่นับรวม ชินจิ คากาวะ ขวัญใจผมที่อาจจะมีร่างกายบอบบางไม่เหมาะกับลีคบ้าพลังอย่าง EPL ซักเท่าไหร่
นักเตะเหล่านี้ไม่ได้รับโอกาสในการพิสูจน์ตัวเอง ไม่ได้รับการแก้ไขจุดบกพร่องและพัฒนาขึ้นในฐานนะนักเตะและคน ๆ นึง เอะอะก็ขาย เอะอะก็ซื้อ ใช้เงินในตลาดซื้อขายนักเตะมากมายมหาศาลแต่ผลงานกลับสาละวันเตี้ยลง ดูแล้วละเหี่ยใจครับ
ในยุคของแกมีแค่คนเดียวที่พัฒนาอย่างเห็นได้ชัดเจนที่สุดนั่นคือพี่ไมค์ เอ้ย คริส สมอลลิ่ง ส่วนคนอื่นก็อาจจะมีแอชลี่ย์ ยัง ที่เคยแปลงร่างมียศตำแหน่งนำหน้าเป็นพรวน แต่ช่วงหลังก็ถูกถอดยศและถูกฟานกัลดรอปออกจากทีมอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
โดยรวมสรุปแล้วผมไม่ประทับใจในการใช้เงินมหาศาลกับผลงานที่ได้ของฟานกัล และไม่ประทับใจในทักษะการโค้ชชิ่งผึกสอนพัฒนานักเตะของฟานกัลเลย
3) ตำแหน่งการเล่น
ผมก็ไม่ค่อยจะเข้าใจอาจารย์หลุยส์เท่าไหร่นักกับความเป็นคนคิดมาก คิดบ้าบอคอแตก ประสาทแด็กส์ของแกเท่าไหร่ ทีมใหญ่ ๆ ส่วนมากแล้วจะยึดแผนการเล่นหลัก ๆ ของทีมไว้ แล้วอาจจะเปลี่ยนแผนการเล่นอื่นที่จำเป็นต้องใช้ปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ของเกม แต่ผ่านมาปีครึ่งแล้ว ผมก็เห็นแกยังเปลี่ยนแผนไปมาไม่จบซักทีเหมือนพายเรือวนในอ่าง แล้วนักเตะจะรู้หน้าที่รู้ตำแหน่งหน้าที่ของตัวเองได้อย่างไรครับ ที่ใช้มาก็มี 352, 4141, 4231 ,4222, 442 diamond, 433, 4312 ฯลฯ ก็ไม่อยากจะบอกว่าจะปรับตำแหน่งอะไรก็ปรับไปเหอะ ตราบที่ยังส่งบอลแปะไปแปะมาแบบนี้ แผนอะไรมันก็ไม่ต่างกันหรอกครับ
4) รูปแบบการเล่น
อันนี้เป็นส่วนที่ผมรังเกียจฟุตบอลของฟานกัลมากที่สุดนะครับ
too slow, too easy to predict, too boring
คงเป็นคำนิยามที่ดีที่สุดของหลุส์ฟานกัลนะครับ ปรัชญาการครองบอลขวางสนามคืนหลังส่งไปมาของฟานกัล ทำลายเอกลักษณ์อันยิ่งยงยาวนานของยูไนเต็ดไม่มีชิ้นดี พัง พังหมดแล้วครับ ต้องอดทนอีกกี่วันเดือนปี ผ่านทางชีวิตหลากหลาย ถึงจะผ่านช่วงเวลาที่ฟุตบอลเหมือนยานอนหลับนี้ไปได้
แกอาจจะคิดว่าเปอร์เซนต์ครองบอลนี้เอาสะสมไปแลกตุ๊กตาริลัคคูม่าที่เซเว่นอีเลฟเว่น หรือเอามาแลกแต้มจากพรีเมียร์ลีกได้รึเปล่าครับ ฝรั่งบอกว่าฟุตบอลของฟานกัลคือ possession but no penetration แปลเป็นภาษาไทยได้ว่า ครองบอลแต่ไม่ทะลุทะลวง คือครองไว้ไม่ให้เสียบอลให้คู่ต่อสู้ แต่ตัวเองก็ไม่มีปัญญายิงเค้าเหมือนกัน เพราะกลัวถูกตัดบอลแล้วโต้กลับ
อย่างที่แกเคยหล่นประโยคไว้แหละครับในช่วงที่มาคุมทีมได้ไม่นานว่า แกรู้สึกว่าต้องขมิบดากส์ทุกทีที่ทีมโดนบุก ยังจำช่วงที่โดนเลสเตอร์เปิดบ้านยำไป 5 – 3 ได้ใช่มั้ยครับ นั่นแหละครับเพราเจมี่ วาร์ดี้คนเดียวแท้ ๆ ทำเอาอาจารย์หลุยส์กินไม่ได้นอนไม่หลับกลัวถูกแซงนำแบบหลอน ๆ อีกครั้ง
หลังจากนั้นแหละครับ แกก็เริ่มปิ้งไอเดียบัดซบนี้ขึ้นมาได้ว่า อย่าเสียบอล อย่าโดนโต้กลับ ทั้ง ๆ ที่มันก็มีวิธีจัดการอย่างอื่น เช่น เมือเสียแล้วต้องรีบรุมแย่งบีบเร็ว เอาบอลกลับมา หรือบางอย่างมันก็ต้องวัดวาบ้าง อย่างที่หลายท่านหล่นความเห็นไว้แหละครับ ชนะนัดนึงแพ้นัดนึงได้สามคะแนน แต่เสมอสองนัดมีสองคะแนน ฟุตบอลคือเกมที่ต้องเอนเตอร์เทนคนดูนะครับ ไม่ใช่เกมที่น่าเบื่อจะหลับคาจอทีวีให้ได้ทุกครั้งขนาดนี้
ผมเชื่อว่าถ้าให้ฟานกัลใช้ปรัชญาบ้าบอนี้คุมทีมต่อไป อีกไม่นานฐานแฟนบอลทั่งโลกของยูไนเต็ดจะต้องหดลงแม้จะมีแชมป์ติดมือก็ตาม เหมือนอาเซน่อลในยุคจอร์จ เกรแฮมแหละครับ บอริ่ง อาร์เซน่อล ได้แชมป์แบบน่าเบื่อ กลายเป็นเรื่องให้คนอื่นเค้าล้อเลียนกันยันลูกบวชไปอีก
5) จิตวิทยาการคุมทีม
อันนี้ผมมองว่าแกสอบตกอย่างแรงนะครับ
อย่างที่เรียนไปในเรื่องบุคคลิกของแก ที่มันไม่ค่อยจะน่าเอ็นดูเท่าไหร่นัก แกเป็นประเภทมีอีโก้สูงมากนะครับ ในช่วงแรก ๆ ที่มาคุมทีมแกอาจจะมองว่าการนั่งดูบนอัฒจรรย์ทำให้เห็นภาพกว้างได้มากกว่าคือก็ไม่ได้คิดจะนั่งแบบนั้นไปตลอดหรอกครับผมเดาเอานะ
แต่พอนักข่าวชักถามมาก ๆ เข้าแกก็เลยบอกว่าแกไม่เห็นว่าการไปยืนสั่งการข้างสนามจะได้ประโยชน์อะไร มันเป็นแนว มันเป็นสไตล์ของแกที่จะนั่งจดอะไรยุกยิกอยู่บนอัฒจรรย์มากกว่ามาสั่งงานข้างสนาม เอาละซิ คนอย่างแก คำพูดต้องเป็นคำพูด ดังนั้นไม่ว่าทีมจะนำอยู่แค่ลูกเดียว หรือเสมอ หรือตามหลัง เราจะไม่มีวันได้เห็นแกออกมาข้างสนามหรอกครับ เพราะมันเป็น “สไตล์” ว่าไปนั่น
แต่เมื่อนักเตะเป็นคน คนย่อมต้องการแรงกระตุ้น การที่นักเตะแมนยูเล่นกันเอื่อยเฉื่อยอืดเป็นเรือเกลือผมมองว่าเป็นความผิดของ ผจกทีมนะครับที่ไม่สามารถกระตุ้นลูกทีมได้
เอาละครับ เท่าที่นึกจะตำหนิได้ผมก็ตำหนิแกไปหมดแล้ว สุดท้ายนี้ยังไงแฟน ๆ อย่างเราก็คงทำได้แค่เชียร์ทีมกันต่อไป ส่วนฟานกัลก็คงต้องให้ผลงานในสนามเป็นตัวกำหนดชะตากรรมของแกละครับ ว่าแกจะปรับเปลี่ยนสไตล์การเล่นให้ถูกใจแฟนบอลได้มั้ย
ผมเองใจจริงก็อยากให้มีการเปลี่ยนแปลง ผจกทีมวันนี้พรุ่งนี้เลยนะครับ แต่แฟนอย่างเราก็คงทำได้แค่วิจารณ์ ไม่ได้มีอำนาจอะไรจะไปปลดแกได้ แล้วอีกใจก็คิดว่าถ้าแกสำนึกมาเปลี่ยนสไตล์การเล่นฟุตบอลให้มันไม่น่าเบื่อชวนง่วงได้อย่างนัดล่าสุดที่ดูแล้วพยายามเปิดเกมรุกมากขึ้น ก็คงจะพอทนดูต่อไปจนกว่าจะหมดสัญญาของแกได้ แต่ผมกลัวว่าจะกลับไปเล่นแบบเดิมซะมากกว่า
สุดท้ายอีกนิดนึง นัดล่าสุดที่เล่นกับเวสต์แฮมเราสร้างโอกาสได้กว่ายี่สิบครั้ง แต่ตรงกรอบแค่ครั้งเดียว ผมคิดว่าเป็นเพราะจังหวะมันยังไม่ลงล็อคนะครับ เหมือนมวยเคยแต่เป็นสไตล์ปอดแหก เดินแยบ หลบ ไม่เคยยอมเปิดหน้าแลก อาศัยรอทีเผลอคู่ต่อสู้มานานจนติดเป็นนิสัย อยู่ ๆ ให้มาเดินหน้าบดขยี้คู่ต่อสู้ มันก็คงไม่ชินยังทำได้ไม่ดีเป็นธรรมดา ก็ต้องดูกันต่อไปว่าฟานกัลจะกล้าเปิดหน้าสู้กับชาวบ้านเค้ารึเปล่า ถ้าทำไม่ได้ก็ออกไปอยู่บ้านเลี้ยงหลานเถอะนะลุง เปิดโอกาสให้เด็กหนุ่ม ๆ รุ่นใหม่ไฟแรง ๆ เค้าได้ลองแสดงความกล้าหาญในการคุมทีมที่มีชื่อว่าแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดนี้เถอะ