[รีวิวเรื่องที่ 112] In the Heart of the Sea/หัวใจเพชฌฆาตวาฬมหาสมุทร



[เรื่องที่ 112] In the Heart of the Sea/หัวใจเพชฌฆาตวาฬมหาสมุทร ; (Ron Howard, 2015)

คะแนน : 8/10

หนังสร้างต่อยอดมาจากวรรณกรรมอเมริกันสุดอมตะอย่าง 'โมบี้ดิก' (Moby-Dick) ซึ่งเกี่ยวกับการตามล่ามหาวาฬสีขาวตัวหนึ่งที่ขึ้นชื่อเรื่องความดุร้ายและจมเรือล่าวาฬมานับไม่ถ้วนแล้ว ... ซึ่งตัวหนังเองก็ได้พาเรามาอยู่กับอีก side story นึง เกี่ยวกับเรือล่าวาฬที่มีชื่อว่า 'ดิ เอสเซ็กซ์' ที่ต้องเผชิญหน้ากับอสูรกายสีขาวตัวนี้เช่นกัน

ถือว่าเป็นหนังอีกเรื่องที่มีหน้าหนังน่าสนใจจากกลิ่นอายแฟนตาซีหน่อยๆ แล้วก็พล็อตที่น่าสนใจมาก .. ซึ่งพอเอาเข้าจริงตัวหนังก็ถือว่าทำหน้าที่ได้ค่อนข้างดีนะ ถึงแม้โทนมันจะออกไปทางสารคดีไปหน่อยก็เถอะ (ถ้าเข้มกว่านี้อีกนิดก็ใช่เลย) แต่จุดขายของหนังจริงๆมันน่าจะอยู่ที่ความตื่นตาของการเดินเรือเสียมากกว่า

โดยส่วนตัวผู้เขียนชอบบรรดาฉากที่ต้นเรืออย่างโอเว่น (Chris Hemsworth) และกัปตันพอลลาร์ด (Benjamin Walker) เขานั่งแซะกันเรื่องคานอำนาจกันบนเรือซึ่งนักแสดงทั้งสองคนก็ทำหน้าที่ได้ดีในจุดยืนทางสังคมที่แตกต่างกันและยังเชื่อมโยงไปยังประเด็นแนวคิดทางศาสนาตอนท้ายเรื่องได้อย่างน่าสนใจ

อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นว่าจุดขายของหนังคือความตื่นตาตื่นใจของการเดินเรือ, In the Heart of the Sea ซึ่งใช้ฉากหลังเป็นอเมริกาในยุคล่าวาฬเพื่อนำไขสันหลังมาเป็นน้ำมันเชื้อเพลง (ก่อนที่น้ำมันฟอสซิลจะถูกค้นพบ) ได้ให้รายละเอียดในทุกๆจุดอย่างครบถ้วนจนทำให้มันกลายเป็นเรื่องน่าสนใจได้ ตั้งแต่กระบวนการลงทุนจัดหาเรือ, เตรียมบุคลากร, จนไปถึงวิธีการสังหารวาฬ. ซึ่งในพาร์ทแรกของหนังนั้นให้ความรู้สึกเหมือนเป็นสารคดีย่อมๆที่ทำได้ดีมากจนต้องยอมรับเลยว่ามันทำให้เราตื่นเต้นได้จริงๆ

และเชื่อว่าหลายคนคงจะมีคำถามในใจว่า 'แล้วอีปลาวาฬยักษ์มันออกมาเยอะมั้ย?' .. ก็ต้องตอบอย่างซื่อสัตย์ว่า 'ก็เยอะอยู่ แต่ไม่พอจนทำให้จุใจ', สิ่งที่ไม่ถูกใจคือพาร์ทกลางที่ค่อนข้างลังเลเหลือเกินของหนัง ที่เหมือนจะหาทางไปไม่ถูกระหว่างสายดราม่าระหว่างลูกเรือหรือจะไปทางแฟนตาซีล่าปลาวาฬดี  ผลที่ออกมาก็เลยครึ่งๆกลางๆอย่างที่เห็นในหนัง, ปัญหาธีมที่ไม่ชัดเท่าไหร่แถมความสัมพันธ์บนเรือจากที่ต้นเรือกับกัปตันที่แซะกันจนเสียมบิ่นในช่วงแรก อยู่ดีๆก็มลายหายไปไม่ได้ถูกใช้ต่อ ปล่อยให้คนดูอย่างเราๆเคว้งคว้างไป.

แต่หนังก็มาฟื้นตัวได้อีกครั้งในช่วงดราม่าท้ายเรื่อง ซึ่งเป็นช่วงที่ตัวเอกและเพื่อนๆลูกเรือต้องลอยคอรอความช่วยเหลืออยู่กลางทะเลเป็นเวลากว่า 1 เดือน ซึ่งมีอารมณ์ประมาณฉากในหนังเรื่อง Unbroken นี่แต่ให้ความรู้สึกหดหู่เศร้าหมองได้มากกว่าเยอะ ประจวบกับไดอะล็อคระหว่างผู้เล่าเรื่องกับนักเขียนก็คอยสมทบทำให้หนังมันดูมีน้ำหนักมากขึ้นจนพยุงตัวเองให้จบอย่างสวยงามได้.

ในแง่ของงานภาพและเพลงประกอบก็สอบผ่านแบบไม่มีข้อโต้แย้ง ถ้ารู้งี้ผู้เขียนคงไปหาโรง IMAX ดูแล้ว ภาพอลังการมากกกกกกกกกกก ถ้าได้เสียงกระหึ่มกว่านี้นี่ใช่เลย

... อย่าลืมไปโดนกันนะจ๊ะ

ขอเชิญติดตามรีวิว/ข่าวสารและร่วมกันพูดคุยเรื่องหนังได้ที่เพจครับ : https://www.facebook.com/expensivemovie
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่