สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 4
ผมมองอีกมุมครับ
ผมมองว่า ปชป. ไม่ได้ยอมรับหรืออะไรเลย ทุกเรื่องทุกกรณีที่ผ่านมา ไม่ใช่การตัดนิ้วร้ายทิ้ง
แต่เป็นเรื่องการเมืองภายในพรรคล้วน ๆ
คุณธารินทร์นั้น ผมมองว่า แกถอยตัวแกเองออกไปครับ
นี่เขาเรียกว่าคนฉลาด อยู่ต่อมีหวังโดนตรวจสอบเละ จรดีกว่า ไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครตามตรวจสอบ
คุณธารินทร์นั้น ผมเห็นว่า แก "ซาโตริ" ในวิถีการเมืองแล้ว ไม่ทะเยอทะยานอะไรแล้ว
และ "รวย" เกินพอแล้ว ถอยออกไปนั่งจิบไวน์ขวดละแสนเล่นดีกว่า สบายกว่ากันเยอะ
(ขืนอยู่ต่อ โดนสอยเรื่องแม่ค้าไก่ย่างถือหุ้นสามร้อยล้านเอาได้ง่าย ๆ)
ส่วนเรื่องในอดีต กรณีคุณเฉลิม คุณวีระ ..... จนมาถึงเสธ.หนั่น
ล้วนเป็นเรื่องชิงการนำ ชิงอำนาจในพรรค ชิงผลประโยชน์ เมื่อขัดกัน ไม่ลงตัว ก็ต้องแยกทาง
(หากเป็นพรรคอื่น จะโดนชี้นิ้วใส่ว่า โดนซื้อตัว)
คุณองกรณ์ ก็รอดูครับ ว่าจะลา ปชป. ตลอดกาล หรือแค่ช่วงนี้เท่านั้น
(หากมีการเปลี่ยนแปลงภายในพรรค เช่น เปลี่ยนหัวหน้า เปลี่ยนกรรมการบริหาร คุณองกรณ์คงกลับ)
คุณอลงกรณ์ บังอาจเสนอสิ่งที่ทำให้นายชวน นายแหล กลายเป็นคนงี่เง่า
จึงโดนเบาะ ๆ ด้วยการลดบทบาทและความสำคัญภายในพรรค เป็นการลงโทษกลาย ๆ
เรื่อง ส.ส. ปชป. อีสานหายไปไหน
ไม่มีอะไรซับซ้อนครับ ความจริงแล้ว คะแนนไม่ได้หายไปมากมายอะไร แค่แพ้เลือกตั้งในเขตเท่านั้น
แต่แพ้ไม่มาก ได้หลายหมื่นคะแนนแทบทุกเขต
เมื่อเป็นระบบเขตเดียวเบอร์เดียว ปชป. เลยดูเหมือนไม่ได้รับความนิยมในอีสานแล้ว
ตอนสู้กับความหวังใหม่นั่นแหละครับที่ ปชป. พลาด
พลาดเพราะมีการ "อม" เงินพรรคหลายร้อยล้าน จนทำให้ขุนศึกภาคอีสานของ ปชป. ที่ถือเงินกลายเป็นมหาเศรษฐีจนถึงทุกวันนี้
(และก็โดนลดบทบาทลงไป จนวันนี้ บทบาทภายในพรรคแทบไม่เหลือ)
ตอนนั้น ความหวังใหม่แจกแหลก แต่ ปชป. อม เลยแพ้ความหวังใหม่ไป 2 เสียง
(บิ๊กจิ๋วเคยโกรธยายเที่ยงก็เรื่องนี้แหละครับ อุตส่าห์ให้เด็กเอาเงินยัดกระสอบไปให้ช่วยแจกให้หน่อย ดันปฏิเสธ
เลยโดนบิ๊กจิ๋วเด้งจากแม่ทัพภาค 2 เข้ากรุ แต่มาได้ดิบได้ดีตอนนายชวนกลับมาเป็นนายกฯรอบ 2 ดึงออกจากรุมาเป็น ผบ.ทบ.)
ประกอบกับ พอต่อมาเจอทักษิณฟีเวอร์เข้าไป
ปชป. ที่มีแค่มิติการเมืองเรื่องใส่ร้าย เรื่องบริหารบ้านเมืองไม่รู้เรื่อง ไม่เป็น เลยหาฝั่งไม่เจอ
เรื่องหม่อมเอ๋อ ผมว่าไม่ใช่เรื่องตัดนิ้วร้ายอะไรหรอกครับ
คน กทม. ไม่ได้ว่าอะไรหม่อมเอ๋อสักนิด แม้จะขัดหูขัดตาบ้าง
คน กทม. ยังกลัวพวกตัวเองเสียหน้า อย่างไรก็เลือก ปชป. วันยังค่ำ
ที่เป็นปัญหานี่ ไม่ใช่เรื่องนิ้วดีนิ้วร้ายอะไรหรอกครับ แต่เรื่องผลประโยชน์ล้วน ๆ
ผลประโยชน์ที่กินมูมมานฝ่ายเดียว ไม่แบ่ง หกเจ็ดปีมานี่ นับหมื่นล้าน
ผลประโยชน์เรื่อง "การเมือง"
จึงต้องมีการสะกัดกั้นกันไว้ พอดีมีจังหวะให้เล่น ก็ต้องรีบจัดการ
อย่าลืมนะครับ ปชป. นั้น ไม่หนุนหม่อมเอ๋อมาตั้งแต่ปี 55 แล้ว ไม่อยากส่งลงผู้ว่า กทม. ด้วยซ้ำ
จนหม่อมเอ๋อลั่นอมตะวาจาบนเวทีปราศรัยว่า อย่าดูถูกกรู (แล้วเล่นคำด้วยการต่อท้ายว่า เพราะกรูคือ ปชป.)
แต่สุดท้าย หาตัวเลือกไม่มี สู้พงศพัศไม่ได้แน่ ๆ จึงหันมาใช้หม่อมเอ๋อ
แล้วพอหม่อมเอ๋อชนะ แน่นอน จะง้อพรรค จะเป็นลูกไล่ให้พรรคทำไม
ทางใครทางมัน
ที่สำคัญ มันมีการวางแผนแซะแหลลงตับออกจากหัวหน้าพรรครับ
แล้วจะชูหม่อมเอ๋อเป็นหัวหน้าพรรคแทน จะมีการ "ยึด" ปชป.
ฝ่ายหนึ่งต้องการพรรคการเมืองหนุนในการสืบทอดอำนาจ
คนหนึ่งแม้ประกาศวางมือการเมือง ออกจากพรรค แต่ต้องการกุมอำนาจในพรรค
วางแผนกันแล้ว เตะไอ้แหลออกไป เอาหม่อมเอ๋อมาเชิดแทน
ไล่แก๊งไอติมไป เอาเด็ก กปปส. เข้าแทน
ผมว่าเรื่องมันก็เท่านี้แหละ
เพราะหากมองว่า ปชป. ยอมรับ เปลี่ยนแปลง ย่อมต้องเห็นอะไรใหม่ ๆ ในพรรค
ไม่ใช่แค่ทะเลาะกันแล้วแยกทาง แต่ทุกอย่างเหมือนเดิม
ไดโนเสาอย่างไร ไดโนเสาอย่างนั้น เหมือนเดิมทุกอย่าง
ผมมองว่า ปชป. ไม่ได้ยอมรับหรืออะไรเลย ทุกเรื่องทุกกรณีที่ผ่านมา ไม่ใช่การตัดนิ้วร้ายทิ้ง
แต่เป็นเรื่องการเมืองภายในพรรคล้วน ๆ
คุณธารินทร์นั้น ผมมองว่า แกถอยตัวแกเองออกไปครับ
นี่เขาเรียกว่าคนฉลาด อยู่ต่อมีหวังโดนตรวจสอบเละ จรดีกว่า ไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครตามตรวจสอบ
คุณธารินทร์นั้น ผมเห็นว่า แก "ซาโตริ" ในวิถีการเมืองแล้ว ไม่ทะเยอทะยานอะไรแล้ว
และ "รวย" เกินพอแล้ว ถอยออกไปนั่งจิบไวน์ขวดละแสนเล่นดีกว่า สบายกว่ากันเยอะ
(ขืนอยู่ต่อ โดนสอยเรื่องแม่ค้าไก่ย่างถือหุ้นสามร้อยล้านเอาได้ง่าย ๆ)
ส่วนเรื่องในอดีต กรณีคุณเฉลิม คุณวีระ ..... จนมาถึงเสธ.หนั่น
ล้วนเป็นเรื่องชิงการนำ ชิงอำนาจในพรรค ชิงผลประโยชน์ เมื่อขัดกัน ไม่ลงตัว ก็ต้องแยกทาง
(หากเป็นพรรคอื่น จะโดนชี้นิ้วใส่ว่า โดนซื้อตัว)
คุณองกรณ์ ก็รอดูครับ ว่าจะลา ปชป. ตลอดกาล หรือแค่ช่วงนี้เท่านั้น
(หากมีการเปลี่ยนแปลงภายในพรรค เช่น เปลี่ยนหัวหน้า เปลี่ยนกรรมการบริหาร คุณองกรณ์คงกลับ)
คุณอลงกรณ์ บังอาจเสนอสิ่งที่ทำให้นายชวน นายแหล กลายเป็นคนงี่เง่า
จึงโดนเบาะ ๆ ด้วยการลดบทบาทและความสำคัญภายในพรรค เป็นการลงโทษกลาย ๆ
เรื่อง ส.ส. ปชป. อีสานหายไปไหน
ไม่มีอะไรซับซ้อนครับ ความจริงแล้ว คะแนนไม่ได้หายไปมากมายอะไร แค่แพ้เลือกตั้งในเขตเท่านั้น
แต่แพ้ไม่มาก ได้หลายหมื่นคะแนนแทบทุกเขต
เมื่อเป็นระบบเขตเดียวเบอร์เดียว ปชป. เลยดูเหมือนไม่ได้รับความนิยมในอีสานแล้ว
ตอนสู้กับความหวังใหม่นั่นแหละครับที่ ปชป. พลาด
พลาดเพราะมีการ "อม" เงินพรรคหลายร้อยล้าน จนทำให้ขุนศึกภาคอีสานของ ปชป. ที่ถือเงินกลายเป็นมหาเศรษฐีจนถึงทุกวันนี้
(และก็โดนลดบทบาทลงไป จนวันนี้ บทบาทภายในพรรคแทบไม่เหลือ)
ตอนนั้น ความหวังใหม่แจกแหลก แต่ ปชป. อม เลยแพ้ความหวังใหม่ไป 2 เสียง
(บิ๊กจิ๋วเคยโกรธยายเที่ยงก็เรื่องนี้แหละครับ อุตส่าห์ให้เด็กเอาเงินยัดกระสอบไปให้ช่วยแจกให้หน่อย ดันปฏิเสธ
เลยโดนบิ๊กจิ๋วเด้งจากแม่ทัพภาค 2 เข้ากรุ แต่มาได้ดิบได้ดีตอนนายชวนกลับมาเป็นนายกฯรอบ 2 ดึงออกจากรุมาเป็น ผบ.ทบ.)
ประกอบกับ พอต่อมาเจอทักษิณฟีเวอร์เข้าไป
ปชป. ที่มีแค่มิติการเมืองเรื่องใส่ร้าย เรื่องบริหารบ้านเมืองไม่รู้เรื่อง ไม่เป็น เลยหาฝั่งไม่เจอ
เรื่องหม่อมเอ๋อ ผมว่าไม่ใช่เรื่องตัดนิ้วร้ายอะไรหรอกครับ
คน กทม. ไม่ได้ว่าอะไรหม่อมเอ๋อสักนิด แม้จะขัดหูขัดตาบ้าง
คน กทม. ยังกลัวพวกตัวเองเสียหน้า อย่างไรก็เลือก ปชป. วันยังค่ำ
ที่เป็นปัญหานี่ ไม่ใช่เรื่องนิ้วดีนิ้วร้ายอะไรหรอกครับ แต่เรื่องผลประโยชน์ล้วน ๆ
ผลประโยชน์ที่กินมูมมานฝ่ายเดียว ไม่แบ่ง หกเจ็ดปีมานี่ นับหมื่นล้าน
ผลประโยชน์เรื่อง "การเมือง"
จึงต้องมีการสะกัดกั้นกันไว้ พอดีมีจังหวะให้เล่น ก็ต้องรีบจัดการ
อย่าลืมนะครับ ปชป. นั้น ไม่หนุนหม่อมเอ๋อมาตั้งแต่ปี 55 แล้ว ไม่อยากส่งลงผู้ว่า กทม. ด้วยซ้ำ
จนหม่อมเอ๋อลั่นอมตะวาจาบนเวทีปราศรัยว่า อย่าดูถูกกรู (แล้วเล่นคำด้วยการต่อท้ายว่า เพราะกรูคือ ปชป.)
แต่สุดท้าย หาตัวเลือกไม่มี สู้พงศพัศไม่ได้แน่ ๆ จึงหันมาใช้หม่อมเอ๋อ
แล้วพอหม่อมเอ๋อชนะ แน่นอน จะง้อพรรค จะเป็นลูกไล่ให้พรรคทำไม
ทางใครทางมัน
ที่สำคัญ มันมีการวางแผนแซะแหลลงตับออกจากหัวหน้าพรรครับ
แล้วจะชูหม่อมเอ๋อเป็นหัวหน้าพรรคแทน จะมีการ "ยึด" ปชป.
ฝ่ายหนึ่งต้องการพรรคการเมืองหนุนในการสืบทอดอำนาจ
คนหนึ่งแม้ประกาศวางมือการเมือง ออกจากพรรค แต่ต้องการกุมอำนาจในพรรค
วางแผนกันแล้ว เตะไอ้แหลออกไป เอาหม่อมเอ๋อมาเชิดแทน
ไล่แก๊งไอติมไป เอาเด็ก กปปส. เข้าแทน
ผมว่าเรื่องมันก็เท่านี้แหละ
เพราะหากมองว่า ปชป. ยอมรับ เปลี่ยนแปลง ย่อมต้องเห็นอะไรใหม่ ๆ ในพรรค
ไม่ใช่แค่ทะเลาะกันแล้วแยกทาง แต่ทุกอย่างเหมือนเดิม
ไดโนเสาอย่างไร ไดโนเสาอย่างนั้น เหมือนเดิมทุกอย่าง
ความคิดเห็นที่ 8
พรรคนี้ เน้น พูดเก่ง หน้าตาดี ส่วนการงาน ดีไม่ดีไม่สน เพราะ มีหน้าที่เอาใจนายทุน
เพราะ เจ้าของตัวจริง คือ พ่อค้าที่เป็นนายทุนหลัก
ของเก่าที่ผมเคยเขียน เมื่อต้นปี 2556
http://pantip.com/topic/30127686
เห็นกระทู้ข้างล่าง พูดว่า "รักประชาธิปัตย์เพราะเป็นพรรคที่ไม่มีเจ้าของ" .....ลองมาดูพรรคไม่มีเจ้าของเขาทำอะไรกันครับ
รายงานจาก สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง แจ้งวัฒนะฯ ว่า กกต.มีมติให้ประกาศผลการตรวจสอบรายการค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้ง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อซึ่งได้จัดให้มีการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 ซึ่งมีพรรคการเมืองที่ส่งผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อจำนวนทั้งสิ้น 40 พรรค โดย 40 พรรคส่งผู้สมัครจำนวนรวมทั้งสิ้น 1,379 คน
ขณะนี้ กกต.ได้มีมติให้ประกาศผลการตรวจสอบรายการค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อครบถ้วนทั้ง 40 พรรค แล้ว อาทิ
- พรรคเพื่อไทย ส่งผู้สมัคร 124 คน ค่าใช้จ่ายที่พรรคสามารถใช้ได้ 186,000,000 บาท กกต.ประกาศผลการตรวจสอบ 93,846,296.45 บาท คิดเป็นคนละ 756,824 บาท
- พรรคประชาธิปัตย์ ส่งผู้สมัคร 125 คน ค่าใช้จ่ายที่พรรคสามารถใช้ได้ 187,500,000 บาท กกต.ประกาศผลการตรวจสอบ 165,420,868.94 บาท คิดเป็นคนละ 1,323,366 บาท
- พรรคภูมิใจไทย ส่งผู้สมัคร 125 คน ค่าใช้จ่ายที่พรรคสามารถใช้ได้ 187,500,000 บาท กกต.ประกาศผลการตรวจสอบ 81,304,081 บาท คิดเป็นคนละ 650,432 บาท
- พรรคชาติไทยพัฒนา ส่งผู้สมัคร 124 คน ค่าใช้จ่ายที่พรรคสามารถใช้ได้ 186,000,000 บาท กกต.ประกาศผลการตรวจสอบ 59,829,751.65 บาท คิดเป็นคนละ 482,497
- พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน ส่งผู้สมัคร 123 คน ค่าใช้จ่ายที่พรรคสามารถใช้ได้ 184,500,000 บาท กกต.ประกาศผลการตรวจสอบ 57,156,665.31 บาท คิดเป็นคนละ 464,688
- พรรคประชาธิปไตยใหม่ ส่งผู้สมัคร 5 คน ค่าใช้จ่ายที่พรรคสามารถใช้ได้ 7,500,000 บาท กกต.ประกาศผลการตรวจสอบ 177,800 บาท คิดเป็นคนละ 35,560
- พรรครักประเทศไทย ส่งผู้สมัคร 11 คน ค่าใช้จ่ายที่พรรคสามารถใช้ได้ 16,500,000 บาท กกต.ประกาศผลการตรวจสอบ 9,574,938.80 บาท คิดเป็นคนละ 870,448
- พรรคพลังชล ส่งผู้สมัคร 18 คน ค่าใช้จ่ายที่พรรคสามารถใช้ได้ 27,000,000 บาท กกต.ประกาศผลการตรวจสอบ 17,825,276.66 บาท คิดเป็นคนละ 990,293
- พรรครักษ์สันติ ส่งผู้สมัคร 64 คน ค่าใช้จ่ายที่พรรคสามารถใช้ได้ 96,000,000 บาท กกต.ประกาศผลการตรวจสอบ 8,537,289.49 บาท คิดเป็นคนละ 133,395
- พรรคมาตุภูมิ ส่งผู้สมัคร 40 คน ค่าใช้จ่ายที่พรรคสามารถใช้ได้ 60,000,000 บาท กกต.ประกาศผลการตรวจสอบ 9,543,715.69 บาท คิดเป็นคนละ 238,592 บาท
- พรรคมหาชน ส่งผู้สมัคร 5 คน ค่าใช้จ่ายที่พรรคสามารถใช้ได้ 7,500,000 บาท กกต.ประกาศผลการตรวจสอบ 212,800 บาท คิดเป็นคนละ 42,560 บาท
นี่แหละครับ พรรคไม่มีเจ้าของ เมื่อมันไม่มีเจ้าของ มันก็เหมือนบริษัทไม่มีเถ้าแก่ คนในบริษัทมันก็ถลุงเงินในบริษัทกันกระจายครับ ถามหน่อยเถอะ ว่า ถ้าพรรคประชาธิปัตย์มีเถ้าแก่ เถ้าแก่มันจะยอมให้ใช้เงินหาเสียงเฉลี่ย คนละ 1.32 ล้าน หรือ สองเท่าเมื่อเทียบกับพรรค ไทยรักไทย หรือ ชาติไทยพัฒนาเขาหรือ?
ถ้าจะบอกว่า เพื่อไทย ปั้นตัวเลขให้น้อย มันก็ไม่เป็นความจริง เพราะ สิทธิ ที่จะใช้จ่าย ที่ กกต. อนุญาตให้ใช้มีถึง 186 ล้านบาท ดังนั้น ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องทำตัวเลขให้น้อยเข้าไว้
นี่ขนาดเงินในพรรคประชาธิปัตย์ของตัวเองแท้ ๆ ยังตะบี้ตะบันถลุงกันขนาดนี้ และ งบประมาณของชาติ ที่ไม่ใช่เงินของพรรคตัวเอง มันจะตะบี้ตะบันใช้กันขนาดไหน
ใครตรึกตรองดูนะครับ
เพราะ เจ้าของตัวจริง คือ พ่อค้าที่เป็นนายทุนหลัก
ของเก่าที่ผมเคยเขียน เมื่อต้นปี 2556
http://pantip.com/topic/30127686
เห็นกระทู้ข้างล่าง พูดว่า "รักประชาธิปัตย์เพราะเป็นพรรคที่ไม่มีเจ้าของ" .....ลองมาดูพรรคไม่มีเจ้าของเขาทำอะไรกันครับ
รายงานจาก สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง แจ้งวัฒนะฯ ว่า กกต.มีมติให้ประกาศผลการตรวจสอบรายการค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้ง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อซึ่งได้จัดให้มีการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 ซึ่งมีพรรคการเมืองที่ส่งผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อจำนวนทั้งสิ้น 40 พรรค โดย 40 พรรคส่งผู้สมัครจำนวนรวมทั้งสิ้น 1,379 คน
ขณะนี้ กกต.ได้มีมติให้ประกาศผลการตรวจสอบรายการค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อครบถ้วนทั้ง 40 พรรค แล้ว อาทิ
- พรรคเพื่อไทย ส่งผู้สมัคร 124 คน ค่าใช้จ่ายที่พรรคสามารถใช้ได้ 186,000,000 บาท กกต.ประกาศผลการตรวจสอบ 93,846,296.45 บาท คิดเป็นคนละ 756,824 บาท
- พรรคประชาธิปัตย์ ส่งผู้สมัคร 125 คน ค่าใช้จ่ายที่พรรคสามารถใช้ได้ 187,500,000 บาท กกต.ประกาศผลการตรวจสอบ 165,420,868.94 บาท คิดเป็นคนละ 1,323,366 บาท
- พรรคภูมิใจไทย ส่งผู้สมัคร 125 คน ค่าใช้จ่ายที่พรรคสามารถใช้ได้ 187,500,000 บาท กกต.ประกาศผลการตรวจสอบ 81,304,081 บาท คิดเป็นคนละ 650,432 บาท
- พรรคชาติไทยพัฒนา ส่งผู้สมัคร 124 คน ค่าใช้จ่ายที่พรรคสามารถใช้ได้ 186,000,000 บาท กกต.ประกาศผลการตรวจสอบ 59,829,751.65 บาท คิดเป็นคนละ 482,497
- พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน ส่งผู้สมัคร 123 คน ค่าใช้จ่ายที่พรรคสามารถใช้ได้ 184,500,000 บาท กกต.ประกาศผลการตรวจสอบ 57,156,665.31 บาท คิดเป็นคนละ 464,688
- พรรคประชาธิปไตยใหม่ ส่งผู้สมัคร 5 คน ค่าใช้จ่ายที่พรรคสามารถใช้ได้ 7,500,000 บาท กกต.ประกาศผลการตรวจสอบ 177,800 บาท คิดเป็นคนละ 35,560
- พรรครักประเทศไทย ส่งผู้สมัคร 11 คน ค่าใช้จ่ายที่พรรคสามารถใช้ได้ 16,500,000 บาท กกต.ประกาศผลการตรวจสอบ 9,574,938.80 บาท คิดเป็นคนละ 870,448
- พรรคพลังชล ส่งผู้สมัคร 18 คน ค่าใช้จ่ายที่พรรคสามารถใช้ได้ 27,000,000 บาท กกต.ประกาศผลการตรวจสอบ 17,825,276.66 บาท คิดเป็นคนละ 990,293
- พรรครักษ์สันติ ส่งผู้สมัคร 64 คน ค่าใช้จ่ายที่พรรคสามารถใช้ได้ 96,000,000 บาท กกต.ประกาศผลการตรวจสอบ 8,537,289.49 บาท คิดเป็นคนละ 133,395
- พรรคมาตุภูมิ ส่งผู้สมัคร 40 คน ค่าใช้จ่ายที่พรรคสามารถใช้ได้ 60,000,000 บาท กกต.ประกาศผลการตรวจสอบ 9,543,715.69 บาท คิดเป็นคนละ 238,592 บาท
- พรรคมหาชน ส่งผู้สมัคร 5 คน ค่าใช้จ่ายที่พรรคสามารถใช้ได้ 7,500,000 บาท กกต.ประกาศผลการตรวจสอบ 212,800 บาท คิดเป็นคนละ 42,560 บาท
นี่แหละครับ พรรคไม่มีเจ้าของ เมื่อมันไม่มีเจ้าของ มันก็เหมือนบริษัทไม่มีเถ้าแก่ คนในบริษัทมันก็ถลุงเงินในบริษัทกันกระจายครับ ถามหน่อยเถอะ ว่า ถ้าพรรคประชาธิปัตย์มีเถ้าแก่ เถ้าแก่มันจะยอมให้ใช้เงินหาเสียงเฉลี่ย คนละ 1.32 ล้าน หรือ สองเท่าเมื่อเทียบกับพรรค ไทยรักไทย หรือ ชาติไทยพัฒนาเขาหรือ?
ถ้าจะบอกว่า เพื่อไทย ปั้นตัวเลขให้น้อย มันก็ไม่เป็นความจริง เพราะ สิทธิ ที่จะใช้จ่าย ที่ กกต. อนุญาตให้ใช้มีถึง 186 ล้านบาท ดังนั้น ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องทำตัวเลขให้น้อยเข้าไว้
นี่ขนาดเงินในพรรคประชาธิปัตย์ของตัวเองแท้ ๆ ยังตะบี้ตะบันถลุงกันขนาดนี้ และ งบประมาณของชาติ ที่ไม่ใช่เงินของพรรคตัวเอง มันจะตะบี้ตะบันใช้กันขนาดไหน
ใครตรึกตรองดูนะครับ
แสดงความคิดเห็น
….”ความจริง” ที่ประชาธิปัตย์ควรกล้าที่จะเผชิญ....
ในอดีตที่ยังไม่นานมานี้.....ชื่อของธารินทร์ นิมานเหมินทร์แห่งพรรคประชาธิปัตย์ดังก้องว่านี่แหละคือ “ว่าที” นายกรัฐมนตรีคนต่อไปของประเทศไทย ประชาธิปัตย์ แต่เมื่อปัญหาต้มยำกุ้งลุกลามและโยงใยถึงคดีปรส. ชื่อของธารินทร์ นิมานเหมินทร์ที่ประชาธิปัตย์เคยภูมิอกภูมิใจนักหนากลับห่างหายและถูกลืมเลือนไปในชั่วพริบตา! ป่วยการที่จะสาวไปถึงรุ่นก่อนอย่าง วีระ อุทัย พิชัย เฉลิม สมัคร อลงกรณ์ ประจวบ ฯลฯ ว่ามีจุดจบในพรรคประชาธิปัตย์อย่างไร?
ประชาธิปัตย์ก็คือประชาธิปัตย์ ถ้าไม่จวนตัวจริงๆ พวกเขาจะไม่มีวันยอมเปลี่ยนแปลงและยอมรับสภาพความเป็นจริง แม้ขนาดเคยใช้เงินทุนของพรรคเองและให้คนของพรรคเองออกไปสำรวจความนิยมพรรคประชาธิปัตย์ ผลออกมาว่าพรรคเสื่อมความนิยมในภาคอีสานและภาคเหนือ แทนที่พรรคจะยอมรับความจริง กลับตำหนิคน(พรรคประชาธิปัตย์ด้วยกันเอง)ว่าไปทำสำรวจเฉพาะในจังหวัดที่ไม่ชอบประชาธิปัตย์ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ถ้าประชาธิปัตย์ไม่เปิดใจให้ “กว้าง” พอ.....แล้วเรื่องใหญ่ๆ ระดับประเทศ ?
การพ่ายแพ้ของพรรคประชาธิปัตย์ในภาคอีสาน....กลับกลายเป็นว่าคนอีสานมีความรู้น้อย เห็นแก่เงิน และไม่เข้าใจระบบการเมืองไทย ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นพรรคประชาธิปัตย์เคยกวาดที่นั่งมาจำนวนมากในภาคอีสาน? ความจริงตรงนี้ ไม่เคยถูกนำไปประเมินไปศึกษา.....พรรคไทยรักไทยเขาศึกษาเขารู้ปัญหา เสนอนโยบายออกมาอย่างเป็นธรรมให้กับคนทั่วประเทศ เมื่อได้รับเลือกก็ได้ทำตามนโยบายนั้น.....เกิดประโยชน์จริง จับต้องได้จริง....ประชาชน “ส่วนใหญ่” เขาก็เห็นคุณค่าของการเลือกตั้ง และศรัทธาพรรคและผู้นำพรรคที่ทำนโยบายนั้นออกมา จนป่านนี้ “ศรัทธา” นั้นยังคงอยู่ในใจประชาชนอยู่ และเมื่อหันหน้ากลับมาถามประชาธิปัตย์ดูว่ามีอะไรให้เขาประทับใจบ้าง? คุณชายหมู....จะถือโอกาสนี้ตอบไหมครับ??
อดใจรอชมรายการ “เชือดนิ่มๆ” อย่ากระพริบตาครับ ตัดนิ้วร้ายทิ้งไปอย่างนี้บ่อยเข้าๆ.....สุดท้ายอย่าเผลอตัวตัดขั้วหัวใจเองก็แล้วกัน เป็นห่วงน่ะครับในฐานะอดีตแฟนคลับ