นโยบายโค้ชเฮงหากได้เป็นประธานพัฒนาเทคนิคของสมาคมบอลไทย

กระทู้สนทนา
เอาที่ผมสัมภาษณ์โค้ชเฮงเรื่องนโยบายหากได้เป็นประธานฝ่ายพัฒนาเทคนิคสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยมาให้อ่านกันครับ

เปิดใจนโยบายโค้ชเฮง

หลังจากเมื่อวันพุธที่ 2 ธ.ค.ที่ผ่านมา พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ทำการแถลงข่าวเปิดตัวเป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ อย่างเป็นทางการ พร้อมกับเปิดตัว “โค้ชเฮง” วิทยา เลาหกุล เข้าร่วมงานในตำแหน่งประธานฝ่ายพัฒนาเทคนิค ล่าสุด “โค้ชเฮง” ได้เปิดใจให้สัมภาษณ์กับทีมข่าวฮอตสกอร์ เกี่ยวกับแผนงานต่างๆ โดยระบุว่าเป็นความฝันมาตลอดทั้งชีวิตที่จะทำหน้าที่พัฒนาเทคนิคให้กับวงการลูกหนังไทยทั้งระบบ หลังจากพิสูจน์ผลงานให้เห็นกับการสร้างอคาเดมี่ของสโมสรชลบุรี เอฟซี มาแล้ว
“ผมมีความฝันมานานแล้วว่าอยากจะทำหน้าที่ประธานฝ่ายพัฒนาเทคนิคฟุตบอลไทย ผมเคยทะเลาะกับสมาคมมาตั้งแต่สมัยคุณวิจิตร เกตุแก้ว มาจนถึงยุคของคุณวรวีร์ แต่ก็ไม่เคยได้รับโอกาส ผมไม่อยากทะเลาะกับใครแล้ว  อันที่จริงผมไม่ได้คิดว่าจะต้องอยู่กับฝ่ายไหน แม้กระทั่งหากคุณวรวีร์ชนะการเลือกตั้ง ตำแหน่งนี้ก็ควรมีบทบาททำงานจริงๆ ไม่ใช่ตั้งไว้แค่ชื่ออย่างที่ผ่านๆ มา เพราะประเทศที่ประสบความสำเร็จในเรื่องฟุตบอลทั่วทั้งโลก เล็งเห็นความสำคัญของตำแหน่งนี้ และฟุตบอลไทยจะไปบอลโลกได้ ต้องพัฒนาจากโครงสร้างทั้งระบบก่อน เด็กรุ่นเยาวชนต้องไปฟุตบอลโลกเป็นประจำ เราถึงค่อยไปหวังว่าทีมชุดใหญ่จะได้ไปบอลโลก”
“ครั้งนี้ผมถูกผู้ใหญ่ท่านหนึ่งในวงการฟุตบอลไทย ผมไม่ขอเอ่ยชื่อ แต่บอกได้ว่าเป็นคนที่มีวิสัยทัศน์ มีบารมี มีบทบาทสำคัญ และมีความคิดที่จะพัฒนาโครงสร้างฟุตบอลไทยอย่างจริงจัง ซึ่งเมื่อได้คุยกันแล้วก็มองว่านี่คือโอกาสที่ผมจะได้นำความรู้และโครงสร้างที่พัฒนาเด็กเยาวชนของชลบุรีมานานกว่า 10 ปี มาใช้กับฟุตบอลไทยทั้งระบบเสียที” โค้ชเฮงกล่าว

พร้อมลาชลบุรีเพื่อลูกหนังไทย
“โค้ชเฮง” เผยต่อไปว่าหากชนะการเลือกตั้งครั้งนี้ ตนคงลาออกจากตำแหน่งประธานพัฒนาเทคนิคของ ชลบุรี เอฟซี เพื่อทำหน้าที่พัฒนาเทคนิคให้กับสมาคมฟุตบอลอย่างเต็มตัว และเชื่อมั่นว่าโครงสร้างและเมนูการฝึกสอนที่ถูกต้อง จะช่วยยกระดับให้ทีมชาติไทยขึ้นไปเทียบเท่ากับประเทศญี่ปุ่น หรือระดับโลกได้
“ผมไม่ทำงานแบบจับปลาสองมืออยู่แล้ว ที่ผ่านมาผมทำอคาเดมี่ของชลบุรี และสร้างเด็กเยาวชนขึ้นมาเป็นที่ยอมรับของประเทศอื่นๆ ไม่ใช่แค่ในประเทศไทย ผมว่าเด็กชลบุรีน่าอิจฉาเสียด้วยซ้ำที่มีโอกาสได้เรียนรู้และอยู่ในโครงสร้างนี้ ต่อไปเราจะกระจายไปให้ทั่วทั้งประเทศ ลองคิดดูว่าจะมีเยาวชนเก่งๆ เกิดขึ้นมาอีกมากแค่ไหน ชลบุรีเองก็ได้ประโยชน์เหมือนเดิม เพราะโครงสร้างที่ผมนำมาใช้ก็ยังคงอยู่”
อคาเดมี่สมาคมแหล่งปั้นช้างเผือก
ส่วนเรื่องโครงการเปิดอคาเดมี่ของสมาคมฟุตบอลนั้น “โค้ชเฮง” กล่าวว่าเป็นรูปแบบที่ประเทศญี่ปุ่น, จีน, เกาหลีใต้, เยอรมนี ใช้อยู่ โดยนักเตะแต่ละคนอาจจะมีสังกัดหรือไม่มีก็ได้ ซึ่งจะไม่ใช้วิธีการคัดเลือก แต่จะเปิดโอกาสให้เด็กทุกคนเข้ามาเก็บประสบการณ์ความรู้ เหมือนอย่างที่ชลบุรีทำอยู่ในปัจจุบัน
“เด็กของชลบุรี ไม่ได้มาจากการคัดตัว เราใช้วิธีประเมินผลและเล็คเชอร์ว่าแต่ละคนมีข้อบกพร่องด้านใดบ้าง ควรจะพัฒนาในจุดใด และแบ่งเป็นระดับอายุ แล้วค่อยประเมินออกมาว่าคนไหนมีพรสวรรค์ก็จะจัดไว้อีกกลุ่ม เพื่อให้หาประสบการณ์ทั้งการฝึกซ้อมและไปแข่งขันในต่างประเทศ อย่างเช่นเจ้ายิม (วรชิต กนิตศรีบำเพ็ญ) และอีกหลายๆ คนที่กำลังก้าวขึ้นมา”
“สำหรับอคาเดมี่ของสมาคม ตอนนี้เราเล็งสถานที่ไว้แล้ว แต่ยังบอกไม่ได้ว่าที่ไหน เป็นที่ๆ ดีมากๆ และผมเองก็ขับรถผ่านทุกวัน ก่อนหน้านี้ยังไม่ค่อยได้ถูกใช้งานอย่างจริงจัง และผมก็มองว่าเป็นสถานที่ที่เหมาะสมกับโครงการนี้”
“เด็กๆ ที่จะเข้ามาอยู่ในอคาเดมี่ อาจจะมีสังกัดอยู่แล้วหรือไม่มีก็ได้ หากเราพัฒนาจนเด็กก้าวขึ้นไปอยู่ชุดใหญ่ของสโมสรได้ ก็ถือเป็นความสำเร็จของโครงการรวมถึงนักเตะเอง เหมือนกับที่ประเทศญี่ปุ่นทำอยู่ในปัจจุบัน”

ไม่ปิดกั้นโค้ชไทย-ต่างชาติ
“โค้ชเฮง” เผยต่อไปว่า “สำหรับบุคคลากรที่จะดึงมาทำงานในอคาเดมี่ ผมไม่ปิดกั้นว่าต้องเป็นชาติไหน หากมองว่าใคร สามารถสอนเด็กได้อย่างถูกวิธี ก็พร้อมจะดึงมาร่วมงาน ที่ผ่านมามีคนโทรหาผมเยอะมาก ว่าอยากขอร่วมทำงานด้วย แต่เราก็จะมาดูอีกทีว่าใครเหมาะสมบ้าง”
“สิ่งสำคัญนอกเหนือจากนักเตะแล้ว โค้ชไทยเองก็ต้องมีการพัฒนา ไม่ใช่เพื่อแค่สอบไลเซ่นผ่านเท่านั้น แต่ต้องมีการอบรมการฝึกสอนอย่างถูกต้อง เพราะหากเราได้โค้ชที่มีคุณภาพแล้ว โค้ชเหล่านี้ก็จะสามารถสั่งสอนเด็กให้มีคุณภาพได้เช่นกัน”

ยันร่วมงาน‘ซิโก้’ได้ไม่มีปัญหา
ส่วนกรณีที่มีแฟนบอลตั้งข้อสงสัยว่าหาก “โค้ชเฮง” เข้ามาเป็นประธานเทคนิค แล้วจะมีการเปลี่ยนแปลงทีมชาติไทยหรือไม่ “โค้ชเฮง” กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า
“ไม่มีหรอก โค้ชทีมชาติทุกชุดก็จะยังทำงานต่อไป ผมคงคอยให้คำปรึกษาแนะนำ ที่ผ่านมาซิโก้ก็มาขอคำปรึกษาอยู่บ้าง โค้ชทีมชาติไทยทุกชุดก็ลูกศิษย์เก่าผมทั้งนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างมันอยู่ที่ผลลัพธ์มากกว่า”
“ผมตั้งเป้าไว้ว่าจะเริ่มต้นพัฒนาเด็กที่เกิดในปี 2000 ก็คือรุ่นยู16 ว่าจะต้องไปฟุตบอลโลกให้ได้ เราต้องเริ่มพัฒนาจากเด็กๆ ก่อนให้ได้ไปฟุตบอลโลกอย่างสม่ำเสมอ และถ้าทำได้ทำไมชุดใหญ่เราจะไปฟุตบอลโลกไม่ได้ล่ะ”

แย้มปีหน้า‘ยิม’อาจไม่ได้อยู่ไทย
ส่วนกรณีของ “เจ้ายิม” วรชิต กนิตศรีบำเพ็ญ มิดฟิลด์ดาวรุ่งของ ชลบุรี และกัปตันทีมชาติไทยชุดยู-19 ตกเป็นข่าวว่าได้รับการติดต่อให้ไปร่วมทีม วิสเซิล โกเบ ในเจลีก ของญี่ปุ่น “โค้ชเฮง”  ยืนยันว่าเป็นความจริงโดยจะเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นในวันที่ 15 ธ.ค. นี้ อย่างไรก็ตาม “โค้ชเฮง” แย้มเป็นนัยว่าทีมที่จะเซ็นสัญญากับ “ยิม” อาจไม่ใช่ วิสเซิ่ล โกเบ แต่เป็นสโมสรอื่นในระดับเจลีก และปีหน้ามีโอกาสเป็นไปได้สูงที่เจ้าตัวจะไม่ได้ค้าแข้งอยู่ในไทยลีก
“วันที่ 15 ธ.ค. นี้ยิมจะไปญี่ปุ่น ผมยังไม่แน่ใจว่าจะไปทดสอบฝีเท้าหรือเซ็นสัญญา แค่คาดว่าคงไปเทสต์มากกว่า  ส่วนตัวผมยังไม่คิดว่าเขาพร้อมที่จะเล่นระดับเจลีกนะ เขามีความสามารถในเกมรุก มีเทคนิคความคล่องแคล่วที่ดี แต่เกมรับยังต้องพัฒนาอีกมาก แต่ผมอยากจะบอกว่าที่จริงแล้วทีมที่สนใจยิม ไม่ใช่ วิสเซิ่ล โกเบ หรอก แต่เป็นอีกทีมในเจลีก ซึ่งผมยังเปิดเผยชื่อทีมไม่ได้ และเขาน่าจะขอเซ็นสัญญาเลย ซึ่งผมมองว่าในวัยนี้ ยิมควรจะไปเก็บเกี่ยวเรียนรู้ประสบการณ์ที่นั่น ไม่ใช่เวลาที่จะคิดถึงเรื่องค่าจ้างตอบแทน ดังนั้นถ้ามีโอกาสแล้วก็ควรไป”

‘เนวิน’รับชวน‘เฮงซัง’เพราะในไทยมีคนเดียว
ด้าน นายเนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรบุรีรัมย์  ยูไนเต็ด เผยว่าตนเองคือคนที่เชิญ “โค้ชเฮง” เข้ามาร่วมทีมของ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง และสาเหตุเพราะมองว่าในประเทศไทยมี “โค้ชเฮง” เพียงคนเดียวที่มีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริงสำหรับตำแหน่งประธานฝ่ายพัฒนาเทคนิค ส่วนการร่วมงานกับโค้ชทีมชาติทุกชุดในปัจจุบันนั้น “โค้ชเฮง” จะเป็นคนประเมินภาพรวมทั้งหมด
“ผมมองว่าในประเทศไทย มีโค้ชเฮงคนเดียวที่ทำได้ ที่สำคัญเขาเป็นคนไทย มีความมุ่งมั่นตั้งใจกับการทำงานจริงจัง มีความรู้ความสามารถที่เห็นเป็นรูปธรรม ผมเคยพูดไว้ว่าบุรีรัมย์ เรามีทุกอย่างแล้ว ขาดอย่างเดียวคือไม่มีโค้ชเฮง แต่หากได้ โค้ชเฮง เข้ามาเป็นประธานฝ่ายพัฒนาเทคนิคของสมาคมฟุตบอล ไม่ใช่เพียงแค่ ชลบุรี หรือ บุรีรัมย์  แต่เยาวชนไทยทั้งประเทศจะเกิดการพัฒนาอย่างเป็นระบบแน่นอน”
“โค้ชที่จะเข้ามาทำงานทุกคนจะอยู่ใต้อัมเบรลล่าของโค้ชเฮง ไม่ว่าจะในอคาเดมี่หรือทีมชาติก็ตาม ทุกคนต้องทำงานร่วมกัน และมีโค้ชเฮงเป็นผู้ประเมินสูงสุด เพื่อให้ทั้งระบบพัฒนาไปในทิศทางเดียวกัน” บิ๊กเนกล่าวในท้ายที่สุด
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่