วันที่ 14/10/2558 ขับรถกลับบ้าน เส้นทางก็คือ สายลำพูนไปป่าซาง ประมาณทุ่มกว่าๆ ก็มี รถมอเตอร์ไซด์ HONDA CBR300 ขับมาจากทางป่าซาง ซึ่งก็คือสวนเลนมาทางป่าซาง แซงรถกินเลนมาทางเรา อยู่อยู่ก็เกิดพลิกล้ม อันนี้เราไม่รูนะว่าเกิดจากอะไร รถยนต์สองคันที่นำหน้าเราอยู่ก็หักหลบซ้าย แต่รถเรานี่สิหลบไม่ได้เพราะซ้ายมีมอเตอร์ไซด์วิ่งเยอะ เพราะอยู่ในช่วงที่พนักงานในนิคมฯ เลิกงาน รถเยอะมาก สามีถึงขั้นเบรคหยุดรถกระทันหัน รถมอเตอร์ไซด์คันเบ้อเร้อก็กระแทกใส่หน้ารถเราอย่างจัง รถเราเป็นรถเก๋ง เมื่อหยุด สามีก็รีบลงรถไปดูน้องที่นอนนิ่งอยู่กลางถนน รีบเอากรวยถนนเพราะตรงที่เกิดเหตุเป็นสี่แยก มีกรวยตั้งอยู่ มาวางกันน้องเขาทันทีเพราะกลัวว่าจะมีรถมาชนทับ และเอาผ้าไปรองหัวน้องเขา เพราะไม่อยากให้น้องเขาขยับตัวมาก น้องเขาเมาค่ะ กลิ่นเหล้าหึ่ง สามีลืมแม้กระทั่งเมียและลูกวัยหกขวบที่อยู่ในรถค่ะ พี่ที่ต่อท้ายมาก็เกือบชน แต่ใจดีมากค่ะรออยู่เป็นเพื่อนเราเพื่อที่จะเป็นพยานให้เราค่ะว่าเราไม่ได้เป็นคนชนเค้าเพราะเขาขับมาคนละเลนกัน เราก็เป็นคนโทรแจ้ง191 เรายังพูดกับสามีเลยว่าถ้ารถเราไม่เป็นอะไรมากก็ช่วยน้องเขาแล้วกันเนอะ แต่ตอนเช้ามาดูรถเป็นหนักเอาการเลยค่ะ จนอยากร้องไห้TT
จบในวันเกิดเหตุนะคะ เราไม่ได้ไปเยี่ยมน้องเขาที่โรงพยาบาลค่ะ แต่เราก็โทรเช็คที่โรงพยาบาลถามถึงอาการน้องเขาตลอดค่ะ เพราะเราสอบถามกับร้อยเวรค่ะว่าอาการน้องเป็นอย่างไรบ้าง ตอนแรกร้อยเวรยังไม่อยากให้เราซ่อมเพราะกลัวว่าจะมีข้อพิพาทกันให้รอ แต่เราต้องใช้รถค่ะ หากไม่ซ่อมก็จะเสียเยอะไปกว่านี้ ก็ต้องซ่อมจุดที่สำคัญไปก่อน ไม่คิดจะเรียกร้องกับที่ซ่อมไปแล้วหรอกค่ะ
จากนั้นมาต่อกันที่สถานีตำรวจกันค่ะ
หลังจากที่น้องเขาออกจากโรงพยาบาล น้องผู้หญิงคิดว่าคงเป็นแฟนน้องที่บาดเจ็บโทรหาสามีให้ไปเจอกันที่โรงพักเพราะต้องการเอารถมอเตอร์ไซด์ออก พอไปถึง เจอคำพูดที่ไม่คิดว่าจะได้เจอ ไม่คิดว่าเหตุการณ์นี้มันจะมีอะไรมาก เพราะเราก็ต้องเรียกร้องให้น้องเขาซ่อมรถให้เราค่ะ เพราะด้านหน้ารถเราโดนไปเยอะเหมือนกัน แต่ไม่คิดจะเรียกร้องยอดทั้งหมดหรอกค่ะ
เนื่องจากร้อยเวรไม่อยู่จึงฝากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เป็นเวรอยู่ดูแลให้ แต่พอมาดูที่รถ รถเราเสียหายเยอะ จึงเรียกค่าใช้จ่ายไป
น้องผู้หญิงกลับพูดออกมาว่า "ตังค์มีจ่ายนะ 3หมื่น แต่ก็ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์อ่ะนะ จะพูดอะไรก็ได้ เพราะน้องผู้ชายจำอะไรไม่ได้ จำได้แต่ว่าโดนชนท้าย"
เราก็บอกไปว่าน้องพูดอย่างนี้ไม่ถูกนะ ตำรวจก็พูดขึ้นอธิบายตามที่รายละเอียดที่เกิดเหตุว่าเราไม่ได้ชนน้องเขาและรถเราเสียหาย รถน้องเขากระเด็นไปชนรถเรา ทำให้รถเราเสียหาย
แถมบอกอีกว่า "เนี่ยพอเกิดอุบัติเหตุ น้องผู้หญิงก็ต้องทำงานคนเดียว มีรายได้ทางเดียว"
เราก็ถามกลับค่ะ "น้องพูดอย่างนี้ได้ไง น้องผู้ชายเขาไม่ได้โดนออกจากงานสักหน่อยที่เขาบาดเจ็บเขาก็ได้รับค่าจ้าง ทำงานบริษัท เพราะจบวิศวะคอมฯ สถาบันชื่อดัง แถมตำแหน่งหน้าที่การงานก็ดี"
แต่ลักษณะอาการของน้องคือฟึดฟัดไม่ยอมรับความผิด ตำรวจจึงบอกวิธีการก็คือให้เราเอารถไปประเมิน เราก็บอกว่าประมาณมาคร่าวๆแล้ว แต่ไม่ได้ขอเอกสารค่ะ เพราะการประเมินรถที่ศูนย์มีค่าใช้จ่ายค่ะ พนักงานแนะนำว่าให้พาคนที่เป็นคู่กรณีมาประเมินพร้อมกันจะไม่มีข้องกังขาค่ะ เพราะเขาเตือนว่าเผื่อว่าคู่กรณีตุกติกหรือไม่ยอมจ่าย จึงเสียเงินซ่อมไปบ้างแล้วสำหรับบางส่วนเพื่อที่รถเราจะได้ขับได้เพราะเรามีรถคันเดียวใช้ทั้งครอบครัวค่ะ รถเราไม่มีประกัน จึงบอกว่างั้นรอร้อยเวรดีกว่าค่อยนัดกันไกล่เกลี่ยอีกที ก็แยกย้ายกันกลับ
พอตกมาอีกวันน้องผู้หญิงก็โทรหาสามี แล้วก็พูดบอกว่าน้องมีแค่สองหมื่นเอาก็เอาไม่เอาก็แล้วแต่ สามีเราก็ด่ากลับค่ะ นาทีนี้อารมณ์เสียเจอผู้หญิงปากหมาค่ะ
ต่อมาร้อยเวรโทรมานัดให้ไปไกล่เกลี่ยวันที่ 30/10/2558 เราก็ถามถึงเรื่องตรวจแอลกอฮอล์ตำรวจกลับบอกว่าไม่ได้ตรวจเพราะเขาไปหลังจากที่น้องเขาไปโรงพยาบาลแล้ว เพราะวันนั้นเกิดอุบัติเหตุหลายที่ ทั้งๆที่เราก็บอกตอนที่เกิดเหตุและโทรไปย้ำแล้วว่าให้ตรวจแต่ก็ไม่ออกคำสั่งตรวจ เราก็ถามกลับอีกงั้นขอที่ทางโรงพยาบาลได้ไหม ตำรวจกลับบอกว่าต้องให้เจ้าตัวไปขอเอง แค่นี้เราก็รู้แล้วค่ะว่าจะยังไงต่อ จึงถามถึงเรื่องรถของน้องเขา ตำรวจก็บอกว่าน้องเขาเอารถออกไปแล้ว เราก็ถามกลับว่าเอาออกไปได้ยังไงในเมื่อคดียังไม่จบ ตำรวจก็มีการบอกกลับอีกว่าก็นัดมาไกล่เกลี่ยให้นี่ไงจะได้จบ เพราะเรื่องราวมันไม่มีอะไรมากก็แค่ตกลงค่าเสียหาย หากตกลงกันไม่ได้ก็ให้ไปฟ้องแพ่งกันเอง นี่แหละค่ะเพราะเห็นว่าเป็นคดีแพ่งต่อ ตำรวจก็อยากจบเคสนี้เร็วๆ
พอมาตกลงคุยกันกับน้องเขา น้องเขาก็อยากรู้ว่าอะไรเสียหายบ้าง เราก็บอกว่าป่ะ เอารถไปประเมินที่ศูนย์กัน ค่าใช้จ่ายการประเมินเดี๋ยวออกเอง กลับยึกยักไม่ยอมไปค่ะ บอกว่ามีแค่แปดพัน มีแค่นี้แหละช่วยเห็นใจหน่อยเพราะน้องผู้ชายก็บาดเจ็บเราก็บอกว่าเราไม่เอาเต็มหรอก เราเอาแค่ครึ่งเดียวของราคาประเมิน หรือน้องจะซื้ออะไหล่ของศูนย์ให้แล้วพี่เอาไปซ่อมอู่นอกก็ได้ราคาจะได้ถูกลง แปดพันนี้จะไปซ่อมอะไรได้ สรุปน้องเขาไม่ยอมค่ะ ไม่ยอมแม้กระทั่งไปประเมินรถที่ศูนย์ จะจ่ายแค่แปดพัน เราก็บอกว่าเราเอาสามหมื่น จ่ายมาก่อนแปดพันแล้วค่อยผ่อนจ่ายก็ได้แต่สุดท้ายจะจ่ายแค่แปดพันค่ะ อ้างว่าบาดเจ็บเยอะ
ถามกลับนะคะถ้าไม่ไปกินเหล้ามา เมาแล้วมาขับรถเนี่ยจะเจ็บมั้ย ค่าใช้จ่ายทางโรงพยาบาลก็ไม่มี แถมยังใช้สิทธิประกันสังคมกับโรงพยาบาลเอกชนด้วยซ้ำ รถตัวเองยังรัก รีบขอตำรวจมาเอาออกไปซ่อมก่อน มีปัญญาซื้อรถHonda CBR300ราคาคันละแสนกว่าและมีปัญญาจ่ายซ่อมรถตัวเองที่ดูแล้วไม่น่าจะต่ำกว่าสองหมื่น ถามรถมีประกันไหมบอกไม่มี มีแต่ประกันรถหาย น้องเขาไม่ยอมจ่ายให้เราค่ะ ยินยอมเซ็นต์รับผิดขับรถโดยประมาททำให้ผู้อื่นเสียทรัพย์และโดนปรับหนึ่งพันบาท
ตอนนี้เราดำเนินการฟ้องแพ่งแล้วค่ะ เพราะเราให้ทนายส่งหนังสือไปเตือนก่อนแล้ว ณ ตอนนี้ก็ยังเพิกเฉยตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ไม่มีการติดต่อกลับมาใดๆ เลยค่ะ เราก็เอารถไปประเมินที่ศูนย์ฯ ราคาประเมินคร่าวๆ ก็ เกินครึ่งแสนค่ะ นี่ยังไม่รวมที่เราซ่อมมาก่อนหน้านี้นะคะ ทนายแนะนำให้เรียกร้องทั้งหมดเลยค่ะที่ซ่อมมาแล้วก็รวมค่ะ ตอนนี้เรายอมเสียตังค์จ้างทนายฟ้องค่ะ ยอมเสียเวลา ไม่ได้แค้นค่ะ แต่อยากให้น้องเขารู้ค่ะว่า ตัวเองได้กระทำความผิด ควรรู้จักประนีประนอมโอนอ่อน รู้จักรับผิดชอบกับการกระทำที่เกิดขึ้นค่ะ สุดท้ายนี้ใครมีข้อแนะนำดีๆ เกี่ยวกับคดีที่จะเรียกร้องค่าเสียหายและการที่ตำรวจไม่โทรไปบอกทางโรงพยาบาลให้ตรวจแอลกอฮอล์ตามที่เราได้แจ้งตั้งแต่ตอนชนแล้ว ช่วยแนะนำให้ด้วยนะคะ
ถ้าเป็นคุณจะทำยังไง เมื่อมีมอเตอร์ไซด์ Honda CBR300 กระเด็นโดนหน้ารถคุณพัง
จบในวันเกิดเหตุนะคะ เราไม่ได้ไปเยี่ยมน้องเขาที่โรงพยาบาลค่ะ แต่เราก็โทรเช็คที่โรงพยาบาลถามถึงอาการน้องเขาตลอดค่ะ เพราะเราสอบถามกับร้อยเวรค่ะว่าอาการน้องเป็นอย่างไรบ้าง ตอนแรกร้อยเวรยังไม่อยากให้เราซ่อมเพราะกลัวว่าจะมีข้อพิพาทกันให้รอ แต่เราต้องใช้รถค่ะ หากไม่ซ่อมก็จะเสียเยอะไปกว่านี้ ก็ต้องซ่อมจุดที่สำคัญไปก่อน ไม่คิดจะเรียกร้องกับที่ซ่อมไปแล้วหรอกค่ะ
จากนั้นมาต่อกันที่สถานีตำรวจกันค่ะ
หลังจากที่น้องเขาออกจากโรงพยาบาล น้องผู้หญิงคิดว่าคงเป็นแฟนน้องที่บาดเจ็บโทรหาสามีให้ไปเจอกันที่โรงพักเพราะต้องการเอารถมอเตอร์ไซด์ออก พอไปถึง เจอคำพูดที่ไม่คิดว่าจะได้เจอ ไม่คิดว่าเหตุการณ์นี้มันจะมีอะไรมาก เพราะเราก็ต้องเรียกร้องให้น้องเขาซ่อมรถให้เราค่ะ เพราะด้านหน้ารถเราโดนไปเยอะเหมือนกัน แต่ไม่คิดจะเรียกร้องยอดทั้งหมดหรอกค่ะ
เนื่องจากร้อยเวรไม่อยู่จึงฝากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เป็นเวรอยู่ดูแลให้ แต่พอมาดูที่รถ รถเราเสียหายเยอะ จึงเรียกค่าใช้จ่ายไป
น้องผู้หญิงกลับพูดออกมาว่า "ตังค์มีจ่ายนะ 3หมื่น แต่ก็ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์อ่ะนะ จะพูดอะไรก็ได้ เพราะน้องผู้ชายจำอะไรไม่ได้ จำได้แต่ว่าโดนชนท้าย"
เราก็บอกไปว่าน้องพูดอย่างนี้ไม่ถูกนะ ตำรวจก็พูดขึ้นอธิบายตามที่รายละเอียดที่เกิดเหตุว่าเราไม่ได้ชนน้องเขาและรถเราเสียหาย รถน้องเขากระเด็นไปชนรถเรา ทำให้รถเราเสียหาย
แถมบอกอีกว่า "เนี่ยพอเกิดอุบัติเหตุ น้องผู้หญิงก็ต้องทำงานคนเดียว มีรายได้ทางเดียว"
เราก็ถามกลับค่ะ "น้องพูดอย่างนี้ได้ไง น้องผู้ชายเขาไม่ได้โดนออกจากงานสักหน่อยที่เขาบาดเจ็บเขาก็ได้รับค่าจ้าง ทำงานบริษัท เพราะจบวิศวะคอมฯ สถาบันชื่อดัง แถมตำแหน่งหน้าที่การงานก็ดี"
แต่ลักษณะอาการของน้องคือฟึดฟัดไม่ยอมรับความผิด ตำรวจจึงบอกวิธีการก็คือให้เราเอารถไปประเมิน เราก็บอกว่าประมาณมาคร่าวๆแล้ว แต่ไม่ได้ขอเอกสารค่ะ เพราะการประเมินรถที่ศูนย์มีค่าใช้จ่ายค่ะ พนักงานแนะนำว่าให้พาคนที่เป็นคู่กรณีมาประเมินพร้อมกันจะไม่มีข้องกังขาค่ะ เพราะเขาเตือนว่าเผื่อว่าคู่กรณีตุกติกหรือไม่ยอมจ่าย จึงเสียเงินซ่อมไปบ้างแล้วสำหรับบางส่วนเพื่อที่รถเราจะได้ขับได้เพราะเรามีรถคันเดียวใช้ทั้งครอบครัวค่ะ รถเราไม่มีประกัน จึงบอกว่างั้นรอร้อยเวรดีกว่าค่อยนัดกันไกล่เกลี่ยอีกที ก็แยกย้ายกันกลับ
พอตกมาอีกวันน้องผู้หญิงก็โทรหาสามี แล้วก็พูดบอกว่าน้องมีแค่สองหมื่นเอาก็เอาไม่เอาก็แล้วแต่ สามีเราก็ด่ากลับค่ะ นาทีนี้อารมณ์เสียเจอผู้หญิงปากหมาค่ะ
ต่อมาร้อยเวรโทรมานัดให้ไปไกล่เกลี่ยวันที่ 30/10/2558 เราก็ถามถึงเรื่องตรวจแอลกอฮอล์ตำรวจกลับบอกว่าไม่ได้ตรวจเพราะเขาไปหลังจากที่น้องเขาไปโรงพยาบาลแล้ว เพราะวันนั้นเกิดอุบัติเหตุหลายที่ ทั้งๆที่เราก็บอกตอนที่เกิดเหตุและโทรไปย้ำแล้วว่าให้ตรวจแต่ก็ไม่ออกคำสั่งตรวจ เราก็ถามกลับอีกงั้นขอที่ทางโรงพยาบาลได้ไหม ตำรวจกลับบอกว่าต้องให้เจ้าตัวไปขอเอง แค่นี้เราก็รู้แล้วค่ะว่าจะยังไงต่อ จึงถามถึงเรื่องรถของน้องเขา ตำรวจก็บอกว่าน้องเขาเอารถออกไปแล้ว เราก็ถามกลับว่าเอาออกไปได้ยังไงในเมื่อคดียังไม่จบ ตำรวจก็มีการบอกกลับอีกว่าก็นัดมาไกล่เกลี่ยให้นี่ไงจะได้จบ เพราะเรื่องราวมันไม่มีอะไรมากก็แค่ตกลงค่าเสียหาย หากตกลงกันไม่ได้ก็ให้ไปฟ้องแพ่งกันเอง นี่แหละค่ะเพราะเห็นว่าเป็นคดีแพ่งต่อ ตำรวจก็อยากจบเคสนี้เร็วๆ
พอมาตกลงคุยกันกับน้องเขา น้องเขาก็อยากรู้ว่าอะไรเสียหายบ้าง เราก็บอกว่าป่ะ เอารถไปประเมินที่ศูนย์กัน ค่าใช้จ่ายการประเมินเดี๋ยวออกเอง กลับยึกยักไม่ยอมไปค่ะ บอกว่ามีแค่แปดพัน มีแค่นี้แหละช่วยเห็นใจหน่อยเพราะน้องผู้ชายก็บาดเจ็บเราก็บอกว่าเราไม่เอาเต็มหรอก เราเอาแค่ครึ่งเดียวของราคาประเมิน หรือน้องจะซื้ออะไหล่ของศูนย์ให้แล้วพี่เอาไปซ่อมอู่นอกก็ได้ราคาจะได้ถูกลง แปดพันนี้จะไปซ่อมอะไรได้ สรุปน้องเขาไม่ยอมค่ะ ไม่ยอมแม้กระทั่งไปประเมินรถที่ศูนย์ จะจ่ายแค่แปดพัน เราก็บอกว่าเราเอาสามหมื่น จ่ายมาก่อนแปดพันแล้วค่อยผ่อนจ่ายก็ได้แต่สุดท้ายจะจ่ายแค่แปดพันค่ะ อ้างว่าบาดเจ็บเยอะ
ถามกลับนะคะถ้าไม่ไปกินเหล้ามา เมาแล้วมาขับรถเนี่ยจะเจ็บมั้ย ค่าใช้จ่ายทางโรงพยาบาลก็ไม่มี แถมยังใช้สิทธิประกันสังคมกับโรงพยาบาลเอกชนด้วยซ้ำ รถตัวเองยังรัก รีบขอตำรวจมาเอาออกไปซ่อมก่อน มีปัญญาซื้อรถHonda CBR300ราคาคันละแสนกว่าและมีปัญญาจ่ายซ่อมรถตัวเองที่ดูแล้วไม่น่าจะต่ำกว่าสองหมื่น ถามรถมีประกันไหมบอกไม่มี มีแต่ประกันรถหาย น้องเขาไม่ยอมจ่ายให้เราค่ะ ยินยอมเซ็นต์รับผิดขับรถโดยประมาททำให้ผู้อื่นเสียทรัพย์และโดนปรับหนึ่งพันบาท
ตอนนี้เราดำเนินการฟ้องแพ่งแล้วค่ะ เพราะเราให้ทนายส่งหนังสือไปเตือนก่อนแล้ว ณ ตอนนี้ก็ยังเพิกเฉยตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ไม่มีการติดต่อกลับมาใดๆ เลยค่ะ เราก็เอารถไปประเมินที่ศูนย์ฯ ราคาประเมินคร่าวๆ ก็ เกินครึ่งแสนค่ะ นี่ยังไม่รวมที่เราซ่อมมาก่อนหน้านี้นะคะ ทนายแนะนำให้เรียกร้องทั้งหมดเลยค่ะที่ซ่อมมาแล้วก็รวมค่ะ ตอนนี้เรายอมเสียตังค์จ้างทนายฟ้องค่ะ ยอมเสียเวลา ไม่ได้แค้นค่ะ แต่อยากให้น้องเขารู้ค่ะว่า ตัวเองได้กระทำความผิด ควรรู้จักประนีประนอมโอนอ่อน รู้จักรับผิดชอบกับการกระทำที่เกิดขึ้นค่ะ สุดท้ายนี้ใครมีข้อแนะนำดีๆ เกี่ยวกับคดีที่จะเรียกร้องค่าเสียหายและการที่ตำรวจไม่โทรไปบอกทางโรงพยาบาลให้ตรวจแอลกอฮอล์ตามที่เราได้แจ้งตั้งแต่ตอนชนแล้ว ช่วยแนะนำให้ด้วยนะคะ