[In the heart of the sea] ขุดเรื่องราวของเรือ Essex ในและนอกจอ ผ่านมุมมองตามใจฉัน (Splr Alert)

ไปดู In the heart of the sea มา รู้สึกเหมือนกินอะไรเข้าไปจนอิ่ม จุก พยายามหาที่คายของที่ย่อยแล้วออกมาไม่ได้ เปิดกระทู้พันทิพย์รัวๆ อะไรว๊ะ!! มีแตรีวิวแบบที่ไม่โดนใจทั้งนั้นเล้ย เค้าอยากได้คนที่วิเคราะห์หนัง เจ้มจ้น เฉียบขาด ฉากนี้มันแบบนี้ ฉากนั้นมันอย่างงั้น เห็นมั๊ยเธอ เพราะความรู้สึกเราหลังจากที่ดูหนังมันมีความเป็นมนุษย์ธรรมดาสามัญอย่างที่สุดจริงๆ แต่ทำไมหนังเรื่องนี้ไม่เข้าตานักวิเคราะห์ วิจารณ์หนังหรือไง ทำไมไม่มีคนออกมาตั้งกระทู้ หรือเขียนรีวิวในบล็อกอะไรอย่างงี้เลย ฮึ่ย ขัดใจสายดราม่าอย่างเราเสียจริง ผ่านมาก็เกือบวันนึงแล้ว แม้จะหลบไปล่าวาฬใน Assassin’s Creed Black flag กับกัปตัน เอ็ดเวิร์ด เคนเวย์ที่รักก็ยังไม่ค่อยจะสาแกใจเท่าไหร่ (เอ็งดึงวาฬขึ้น Jackdaw ได้ยังไงหนะ ฮืมมมม)  ขอเขียนระบายความรู้สึกตัวเองหลังดูหนังจบหน่อยละกัน จะถือว่าเป็นกระทู้วิเคราะห์ก็ไม่ใช่ รีวิวก็ไม่เชิง

มีการสปอยล์เนื้อเรื่องแบบเต็มรูปแบบไม่มีหลบ

เรือ Essex in real life (ข้อมูลจาก วิเกียพิดิ)
เรือล่าวาฬสัญชาติอเมริกัน แห่ง แนนทักเก็ต รัฐแมสซาชูเซตส์ ออกเดินทางเที่ยวสุดท้ายโดยมีกัปตัน จอร์จ พอลลาร์ด กับตันอายุน้อย ซึ่งขณะนั้นอายุแค่ 29 ปี ถือว่าเด็กน้อยสำหรับวงการล่าวาฬ และโอเว่น เชส ต้นเรือ อายุ 23 ปี (กำลังหนุ่มฟ้อหล่อเฟี้ยวทีเดียวเชียวหละคู้ณณ) ขนาดเรือเอสเซกส์ของจริงโดยประมาณ กว้าง 7 เมตร ยาว 23 เมตร สูง 3 เมตร ซึ่งก็ถือว่าเล็กเมื่อเทียบกับเรือล่าวาฬที่เทียบท่าแนนทักเก็ตด้วยกันในสมัยนั้น มีเรือเล็กสำหรับล่าวาฬ 4 ลำ เรือเอสเซกส์ออกจากท่าวันที่ 12 สิงหาคม 1819 จุดมุ่งหมายการเดินทางอยุ่ที่ที่แถบชายฝั่งตะวันตกของแอฟริกาใต้ (พวกอเมริกันนี้แม่มชอบไปหาน้ำมันไกลบ้านจริงๆเลยนะเมิง) กะประมาณคร่าวๆว่าจะไปซัก 2 ปีครึ่ง

หลังจากที่วาฬเริ่มลดน้อยลงในถิ่นเดิม ความเชื่อของชาวเรือเรื่องโชคลางก็เริ่มครอบงำความคิดของลูกเรือ เรือเอสเซกส์ก็ได้รับคำแนะนำมาจากเรือล่าวาฬลำอื่นว่า ที่ “ละติจูด 5-10 องศาใต้ ลองติจูด 105-125 องศาตะวันตก” ห่างจากชายฝั่ง 2500 ไมล์ทะเล หรือ ราวๆ 4600 กิโลเมตร ไอ้สมัยนี้หนะไม่ทำไหร่ แต่สมัยก่อนที่ใช้พระพายช่วยหนะ ระยะทางขนาดนี้ถือว่าไกลไป๊!! มีแต่คนบ้าเท่านั้นแหละแกที่จะแล่นเรืออกไปไกลฝั่งขนาดนั้น แถมแถวนั้นเค้ายังลือกันว่ามีเกาะที่มีพวกเผ่ากินคนด้วยนะเมิ๊ง!!

ด้วยระยะที่ไกลขนาดนั้น เอสเซกส์ต้องการสเบียงเพื่อใช้สำหรับเดินทางจึงแวะเติมสเบียงที่เกาะแห่งหนึ่งในหมู่เกาะกาลาปากอส ชื่อว่าเกาะชาลส์ เนื่องจากเอสเซกส์เป็นเรือเก่า เดินทางได้ไม่นานก็เกิดอาการรั่วๆก็ต้องแวะพักปรับปรุงซ่อมแซมอีกครั้งที่เกาะฮู้ดส์ วันที่ 8 ตุลาคม เป็นระยะเวลากว่า 1 สัปดาห์ และจับเต่ายักษ์ไว้ทำเสบียงกว่า 300 ตัว ก่อนจะกลับมาที่เกาะชาล์สอีกครั้งในวันที่ 22 ตุลาคม ล่าเต่าเก็บไว้อีก 60 กว่าตัว

แต่เรื่องกวนส้วนเทียนมันเกิดขึ้นตรงนี้ด้วยค่ะคุณ

ระหว่างทำการล่า ไอ้คุณแชปเพลที่เราเห็นมันคอยถือพังงาเรือในหนังเนี้ย ในเรื่องจริงคือนางมีอารมณ์ขันค่ะ ขันคักๆ เลยคิดว่าแกล้งอำพวกกะลาสีบ้างดีกว่า โดยการจุดไฟแกล้งทำเป็นเผ่ากินคน(?) แต่ช่วงนั้นของปีเป็นช่วงที่อากาศแห้งมากๆ ทำให้ไฟลุกลามไปทั่วเกาะอย่างรวดเร็ว คนที่ออกไปล่าหาสเบียงต้องฝ่าไฟกลับมาที่เรือ ซึ่งกว่าจะถึงเอสเซกส์ ไฟก็ลามไหม้ไปทั้งเกาะแล้ว กัปตันพอลลาร์ดถึงกับลั่นเลยทีเดียวว่า “ไอ่สึส ใครยิ้มก่อไฟเผาเกาะว๊ะ กูจะเฆี่ยนแม่มให้ตายไปอยู่กับเดวี่โจนส์” <<<< จริงๆแล้วก็ไม่ได้พูดอย่างงี้เป๊ะๆ หรอกนะคะ แต่ก็นั้นหละสุดท้ายไอ้คุณแชปเพลก็สารภาพและรับโทษทัณฑ์แต่โดยดี

นิคเคอร์สัน หนุ่มน้อยวัย 14 ที่ทำงานเป็นลูกเรือในตอนนั้น ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้รอดชีวิตจากเรือเอสเซกส์กล่าวไว้ว่า ทั้งเกาะไหม้บรรลัยกัลป์ แม้จะแล่นเรือออกมาจากเกาะมาแล้วเต็มๆวัน ก็ยังมองเห็นได้ว่าเกาะนั้นยังถูกไฟผลาญอยู่ที่เส้นขอบฟ้า หลายปีหลังจากที่เกิดเหตุการณ์นั้น นิคเคอร์สันได้แล่นเรือกลับมาที่เกาะชาล์ส และพบแต่เพียงเกาะสีดำๆที่ไร้ชีวิตโดยสิ้นเชิง “ไม่ว่าจะต้นไม้ พุ่มไม้ หรือต้นหญ้า ก็ไม่ปรากฏให้เห็นทั้งนั้น” นิคเคอร์สันกล่าว (อันเค้ากล่าวจริงๆ) เป็นที่เชื่อกันว่า เนื่องจากเหตุไฟไหม้ครั้งนั้นทำให้ เต่าบกฟลอเรียน่า และ นกฟลอเรียน่าม๊อคกิ้งเบิร์ดสูญพันธุ์

ปรบมือให้ไอ้คุณแชปเพลหน่อยค่ะ.....ฝลัด!!! << ชาล์ส ดาร์วิน ไม่ได้กล่าว

ที่พันไมล์ห่างจากชายฝั่งแอฟริกา ความตึงเครียดก็เข้าครอบงำเอสเซกส์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้นเรือกับกัปตัน (ตอนดูหนังปกติเป็นสาววาย แต่คู่นี้วายไม่ลง แม่มเครียดจริงไรจริง) วันที่ 16 พฤศจิกายน ขณะออกล่าวาฬ เรือเล็กล่าวาฬของโอเว่น เชส ต้นเรือมีอันต้องพินาศเป็นเสี่ยงๆ เพราะวาฬที่โผล่ขึ้นมาใต้ท้องเรือโดยตรง เช้าวันที่ 20 พฤศจิกายน 1820 ปีกว่าๆ หลังจากแล่นเรือจากแนนทัคเก็ต เอสเซกส์ก็มาถึงจุดที่ชะตาพลิกผันพลันดับ ....

เหตุการณ์ไคลแมกซ์ก็มาถึง


จากรูปด้านบน เรือเอสเซกส์แล่นอ้อมทวีปอเมริกาใต้ จากน่านน้ำ South Atlantic มายัง South Pacific ตามที่ได้รับพิกัดบอกเล่ามาว่ามีวาฬชุกชุม

ที่ใต้ลมของเอสเซกส์ เชสกำลังล่าวาฬอยู่และโดนหางวางตีเข้า ทำให้ตะเข็บเรือแตกน้ำรั่ว จึงต้องกลับมาซ่อมเรือเล็กที่เรือใหญ่ (เออ ฟังแปลกๆดี) ในทิศเหนือลม กัปตันพอลลาร์ดกับคุณแมทธิว จอย รองกับตันก็กำลังกรี้ดกร้าดกับบานาน่าโบ๊ท หรือที่เค้าเรียกว่า Nantucket sleighride(ดรีมเวิร์ลเรียกว่า เรือล่าวาฬหรรษา) ที่โดนวาฬลากห่างออกไปจากเรือเอสเซก 2 ไมล์

Spoiler Alert
(คือคนที่เค้าจะมาดูหนังเรื่องนี้เค้าก็รู้อยุ่แล้วปะว๊ะ ว่าวาฬมันชนเรือแตก ....ก็เตือนไว้เป็นพิธีแหละแก)
ต่อแต่นี้ขอเขียนสนองความอยากของจขกท. เรียบเรียงเพิ่มเติมจากเหตุการณ์จริง แปลจากวิกิพีเดียในภาษาสไตล์เรา


ขณะที่ เชส กำลังหงุดหงิดหัวเสียกับการซ่อมเรืออยู่บนดาดฟ้าเอสเซกส์ ตะเข็บเรือเล็กล่าวาฬแตกออกทำให้เขาต้องหาแผ่นหนังและน้ำมันดินมาปะทา วาฬตัวนั้นต้องได้รับโทษที่มันทำให้โอเว่น เชสเสียหน้า กระดูกและเขี้ยวของมันต้องมาเป็นส่วนหนึ่งของสร้อยหมุดวาฬที่คอเขาก่อนตะวันลับฟ้า
“คุณเชสครับ...ดูนั่น” เสียงลูกเรือคนหนึ่งตะโกนเรียก เชสหงุดหงิดหัวเสียเข้าไปใหญ่ ถ้าหากมันไม่ใช่เรื่องสำคัญไปกว่างานปะเรือที่เขากำลังทำอยู่ กะลาสีคนนั้นจะได้ไปนอนในหัววาฬตัวที่ชนเรือของเขาคืนนี้

โอเว่น เชสทอดสายตาไปตามทิศที่ลูกเรือชี้นำ ทิศทางของสิ่งที่ปลุกเร้าลูกเรือนั้นอยู่ไม่ไกลจากกราบเรือเกินระยะที่จะมองเห็นได้ชัดเจน ประสบการณ์ของเขาบอกว่านั้นไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่อื่นใดนอกจากวาฬสเปิร์มที่เขาเคยล่ามาแล้วนับไม่ถ้วน

“ซัก 70 ฟุตได้ครับ” ลูกเรือกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แฝงไว้ด้วยความตระหนกตื่นเต้น
“มากกว่านั้น” เชสกล่าว ส่วนลึกในใจเขาก็พรั่งพรึงกับภาพที่เห็นห่างออกไป

เงาดำทะมึนลอยสงบนิ่งอยู่ใต้ผิวน้ำ ขนาดของมันใหญ่กว่าวาฬสเปิร์มทั่วไปสัก 2 เท่าเห็นจะได้ ไม่มีการเคลื่อนไหว พ่นน้ำ ตีหางหรือดำผุดดำว่ายเฉกเช่นวาฬสามัญปกติประพฤติ เขาสามารถบอกได้ทันทีว่ามันกำลังหันหัวมาที่เรือเอสเซกส์ ราวกับว่า ครุ่นคิด ชั่งใจ สัญชาตญาณของเชสร่ำร้องว่ามันผิดวิสัยและเป็นภัย ขณะที่เขากำลังเพ่งมองและคาดเดา เงาทะมึนนั้นค่อยๆขยายขึ้นเรื่อยๆ มันกำลังใกล้เข้ามา ชั่วพริบตามันก็ทะยานอยู่ใต้ผิวน้ำเร็วเกินกว่าที่เขาคิดว่าสัตว์ร้ายที่มีขนาดเช่นนั้นจะทำได้ มันดำน้ำลงไปตื้นๆ ลดแรงเสียดทานที่ผิวน้ำเพื่อเร่งความเร็ว มันรู้ และมีเจตนาชัดเจน

ชั่วพริบตาที่เงาทะมึนของมันอยู่ห่างจากกราบเรือเพียงเสี้ยววินาที โอเว่น เชสหันไปหาที่จับยึดโดยสัญชาตญาณ แรงกระแทกมหาศาลจากการพุ่งชนของมันตรงเข้าปะทะกับเอสเซกส์ ลูกเรือบางคนถึงกับลอยขึ้นจากดาดฟ้า เขาหลับตาลงแน่นสรรพเสียงก้องระงมอยู่รอบตัว เสียงไม้เนื้อแข็งหักราวกับถูกบดด้วยปลายนิ้วของพระเจ้า เสียงน้ำทะเลที่ซัดกระแทกเข้ามาพร้อมๆกับแรงชนมหาศาล เมื่อเขาลืมตาขึ้น เงาทะมึนของหางวาฬขนาดใหญ่บดบังแผ่นฟ้าตวัดตบลงซ้ำอีกครั้งลงบนเรือเอสเซกส์  วาฬยักษ์ตัวนั้นมุดลงไปใต้ท้องเรือทันทีที่มันพุ่งชน เอสเซกส์โคลงอย่างรุนแรงจนโอเว่นคิดว่ามันจะพลิกคว่ำในบัดดล คลื่นน้ำจากแรงกระแทกซัดสาดท่วมดาดฟ้าเรือ

ทุกคนบนเรือตื่นตระหนก สติหลุดและหวาดผวา เขาเห็นมันโผล่ขึ้นมาที่กราบขวา ราวกับเย้ยหยันให้พวกเขาหวั่นเกรงถึงสิ่งที่มันได้ทำ และกำลังจะทำ ก่อนจะจมหายไป เชสตั้งสติและตระหนักได้ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่พริบตา ขณะที่เขากำลังจะพุ่งตัวออกจากที่ยึดเกาะ เสียงน้ำทะเลครืนก็ดังขึ้นที่ที่ด้านหน้า เขาเสียศูนย์ล้มลง หัวเรือถูกมันกระแทกจากใต้น้ำทำให้เรือเอียงไปด้านหลัง ข้าวของบนดาดฟ้าที่เตรียมเอาไว้เพื่อสกัดน้ำมันวาฬกลิ้งหล่นไปกระแทกกับลูกเรือโชคร้าย ก่อนมันจะดำน้ำหายไปอีกครั้งใต้ทะเล

เชสเอื้อมมือไปคว้าฉมวกขนาดใหญ่ที่กล่องสัมภาระสุดแขน แล้ววิ่งไปยังท้ายลำเรือ ถ้าหากมันพุ่งเข้าทำลายหางเสือ พวกเขาอาจจะต้องลอยคอเคว้งคว้างอยู่กลางทะเลห่างจากชายฝั่งเป็นพันๆไมล์ แต่ประสบการณ์ของนักล่าวาฬทั้งหมดที่เขารู้ ไม่มีอะไรที่ฆ่าได้ง่ายไปกว่าวาฬที่กำลังกราดเกรี้ยวอีกแล้ว และเจตนาที่จะทำลายมันของเขาจะเป็นสิ่งที่ช่วยให้เขาได้กลับบ้าน ครีบหางของมันโผล่พ้นน้ำอยู่ห่างจากเขาไปไม่กี่นิ้ว ฉมวกในมือพุ่งออกไปด้วยความเร็วมากที่สุดที่กำลังแขนของเขาจะส่งให้ วาฬยักษ์ตัวนั้นจมหายไปอีกครั้งในทะเลสีเขียวคราม เรือเอสเซกส์เสียหายหนักไปทั่วทั้งลำ แม้จะอยู่บนดาดฟ้าเขาก็ยังสามารถได้ยินเสียงคำรามของสัตว์ร้ายที่อยู่ใต้ทะเล  

เชสหันมองรอบตัวเพื่อเผชิญหน้ากับวาฬยักษ์ และทันใดนั้นเขาก็เห็นมันอยู่ห่างออกไปซัก 100 ร๊อด กำลังพุ่งทะยานด้วยความเร็วที่เร็วกว่าวาฬปกติ 2 เท่า น้ำทะเลแตกกระจายอย่างรุนแรงแผ่เป็นคลื่นจากหางของมัน หัวของมันครึ่งหนึ่งโผล่พ้นน้ำ ท่าทางของมันเกรี้ยวกราดและอาฆาตมุ่งร้ายกว่าเดิมสิบเท่า ตรงมาทางเอสเซกส์ และพุ่งเข้าชนอีกครั้ง

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

วาฬยักษ์พุ่งเข้าชนที่หัวเรืออย่างแรงจนเอสเซกส์โดนผลักให้ถอยหลัง หัวของมันบดขยี้ไม้แตกเป็นเศษละเอียด เมื่อมันสาแก่ใจ วาฬตัวนั้นก็จมหายไปและไม่เคยถูกพบเห็นอีกเลย ทิ้งให้เอสเซกส์ค่อยๆก้มหน้าลงสู่พื้นดินใต้ผิวน้ำ
เชสสั่งให้เด็กรับใช้ส่งสัญญาณเรียกเรือกล่าวาฬเล็กลำอื่นกลับมาที่เรือโดยทันทีขณะที่เขาวิ่งลงไปด้านล่างเพื่อเก็บอุปกรณ์นำทางเพื่อใช้ในการเดินเรือทั้งหมดที่เขาหาเจอ
เรือของกัปตันพอลลาร์ดกลับมาเป็นลำแรก เขาลอยห่างจากเอสเซกส์แค่ช่วง1 ลำเรือ ชั่วขณะหนึ่ง ราวกับว่าภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้เขาหมดแรง จนไม่สามารถเอ่ยถ้อยคำใดๆออกมาได้แม้แต่พยางค์เดียว
“พระเจ้า เกิดอะไรขึ้นคุณเชส” กัปตันพอลลาร์ดกล่าวถามเมื่อได้สติ
“เราถูกวาฬเข้าโจมตีครับ” เชสกล่าว

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้


มีสอบตอน 4 โมงเย็นค่ะ ขอตัวไปเขียนโพยแพ้พ เดี๋ยวมาต่อให้คืนนี้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่