23 ตค. 58
กริ๊งๆๆๆๆๆๆ เสียงนาฬิกาปลุกดังบอกเวลา 5.00 น.
กระเป๋าเป้ เสื้อผ้า แปรงสีฟัน ไฟฉาย โทรศัพท์ ที่ชาร์ทแบต พาวเวอร์แบงค์ หมอน ถุงนอน ผ้าห่ม ฯลฯ ของทุกอย่างถูกยัดใส่ท้ายรถ(เพื่อน) และที่ขาดไม่ได้ กล้อง Canon EOS M3 ใหม่เอี่ยม เพิ่งถอยมาสดๆร้อนๆ ที่จะได้ไปลงสนามจริงพร้อมกันกับผม
เหตุผลที่เลือกตัวนี้เพราะแต่ก่อนต้องแบกกล้อง DSLR ไปเที่ยว
แต่ด้วยขนาดที่ใหญ่และหนักมาก(สำหรับผมซึ่งมีอาการปวดหลัง) ทำให้ผมรู้สึกว่าเวลาไปเที่ยวควรหากล้องที่เล็กพกพาง่าย
แต่คุณภาพสูสีกัน รู้สึกว่าจะ Made in Japanด้วย ยิ่งมั่นใจ ผมจึงเลือกรุ่นนี้มาอย่างไม่ลังเล เพราะใช้กล้องDSLRค่ายนี้อยู่แล้ว
แถมยังสามารถใช้งานกับอุปกรณ์เสริมของกล้องDSLRได้อีก
โดยในการเดินทางครั้งนี้ผมตั้งใจจะลองกลับมาเขียนรีวิวแบบจริงจังเป็นครั้งแรกด้วยครับ
วันนี้ผมมีนัดกันกับเพื่อนๆสมัยมัธยม6คน ที่ตกลงพร้อมใจจะไปดูทะเลหมอกกันที่ภูทับเบิก
ผมขอเกริ่นก่อนนะครับว่า การเดินทางครั้งนี้ได้วางแผนเอาไว้ก่อนที่จะเกิดกระแสของภูทับเบิก ซึ่งตัวผมและเพื่อนๆนั้นก็มีความรู้สึกแบบเดียวกันกับที่เป็นข่าว แต่ขอไม่พูดอะไรมากละกันนะครับ
เพราะพวกผมก็เป็นส่วนหนึ่งที่ขึ้นไปสร้างผลกระทบให้กับธรรมชาติไม่มากก็น้อย
สิ่งที่พวกเราทำได้ก็คือรับผิดชอบต่อตนเองและส่วนรวม เที่ยวอย่างสร้างสรรค์และไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมครับ
เวลา 6.00 น. ตามเวลาที่นัดหมาย (ยังไม่มีใครมา)
เวลา 7.30 น. ทุกคนมาพร้อมหน้าพร้อมตากันโดยมิได้นัดหมาย (เพราะนัด 6 โมง)เดินทางออกจากกรุงเทพฯ ที่หมายแรก ภูทับเบิก โดยขับรถกันไป 2 คัน ขับตามๆกันเรื่อยๆครับไม่รีบ หิวข้าวก็แวะ หิวกาแฟก็แวะ จะเข้าห้องน้ำก็แวะ แวะตลอดทาง กว่าจะถึงทางขึ้นภูก็เลยเที่ยงแล้วครับ ระหว่างเดินทางก็มีข่าวรถติดบริเวณทางขึ้นภูเข้ามาในเฟสตลอด พวกเราเลยตัดสินใจ รอเวลาอีกสักนิดเพื่อให้รถหายติด แต่ก็นั่นแหละครับ ขึ้นไปก็ติดอยู่ดี ใช้เวลาขึ้นภูเกือบ 2 ชั่วโมง

ที่พักของเราเป็นเต็นท์2หลังติดกัน ตั้งอยู่ในไร่กะหล่ำของลุงหั่ง
เพื่อนผมเขาเป็นคนจองครับ เต็นท์หลังใหญ่ราคาหลังละ 1200 บาท ต่อ คืน หลังเล็ก 700 บาท
มาถึงก็จอดรถภายในไร่ของลุง ด้วยความที่รถติดและอยากออกไปเดินเที่ยวมาก
ทุกคนก็ไม่รอช้าออกไปเดินเตร็ดเตร่ตามไร่กะหล่ำ ย่ำดินแฉะๆ สัมผัสอากาศเย็นรอบๆตัว
ที่ไม่เดินถนนเพราะรถเยอะมากครับ กลัวอันตราย เดินไปถ่ายรูปไปลองกล้องใหม่ไปด้วย
จากที่เคยใช้DSLR มาตลอด กล้องตัวนี้นับว่าใช้ได้ไม่ต่างกันครับ การควบคุมกล้องคล้ายๆกัน ผมใช้โหมด M ตลอด การปรับค่าต่างๆ เหมือนกับกล้องใหญ่เลยครับ มีที่เพิ่มมาคือปรับค่าต่างๆได้ที่จอทัชสกรีนด้วย
เจอยามเฝ้าไร่วิ่งมา นึกว่าจะมากัด แต่เหมือนมาพาเดินชมไร่ครับ
รูปนี้ต้องค่อยๆเดินเข้าไปใกล้ๆ ครับ ดีที่กล้องโฟกัสไว เลยถ่ายทัน ถ่ายเสร็จเจ้าตัวนี้วิ่งหายไปเลย
ที่เห็นถ่ายๆกันนี่ยืนอยู่ริมทางเดินนะครับ ไม่ได้เข้าไปในแปลงปลูก เพราะบางไร่เขาเก็บตังค์
กล้องใหม่เพื่อนๆก็อยากลองบ้างครับ ถ่ายเสร็จส่งWi-Fi เข้ามือถืออัพเฟสเลย สาวๆชอบครับ มีFilter ให้เลือกแต่งเหมือน app ในมือถือแถมจอปรับได้ 180 องศา เซลฟี่สบายครับ
คืนแรกผ่านไป กับการลุ้นว่า วันพรุ่งนี้จะมีทะเลหมอกที่พวกเราทั้งหมดตั้งใจมาเจอะมาเจอมั๊ย ถ้าหมอกลงปิดภูจะทำยังไง
เพราะมีฝนตกลงมาหลายช่วงตลอดคืนครับ ซึ่งผมเคยมีประสบการณ์ผิดหวังจากภูชี้ฟ้ามาแล้ว
24 ต.ค. 58วันที่สอง
เป็นไปตามคาดครับ ช่วงเช้า หมอกลงจัด ทึบจนมองไม่เห็นอะไรเลย
แต่พวกเราก็ยังคงตัดสินใจเดินขึ้นไปจุดชมวิวครับ อย่างน้อยมาแล้ว ก็ขอลองขึ้นไปดูสักครั้ง
ถ่ายรูปเห็นแต่คนกับหมอกครับ หลายๆท่านคงได้เห็นจากภาพข่าวมาบ้างแล้ว
ทำใจครับ ความหวังยังมีในคืนที่สองที่เขาค้อ(ปลอบตัวเอง)
เดินลงจากจุดชมวิวก็จะมีร้านค้ามากมาย ของกินหลากหลายให้เลือกสรร
ราคาตามการขนส่งสินค้าครับ พวกผักสดจะถูกดี ชาวบ้านปลูกเองขายเอง
โดยในวันที่2 นี้ ตามแผนการที่วางเอาไว้พวกเราจะไปเที่ยวทุ่งแสลงหลวงกัน
แต่ด้วยสภาพการจราจรที่ติดขัดไม่สามารถลงจากภูได้ พวกเราจึงตัดสินใจนั่งเล่นนอนเล่นรออยู่ในเต็นท์
จนถึงเวลา11โมงกว่าๆ รถที่ติดค้างบนภูเริ่มขยับ พวกเราจึงค่อยออกเดินทางกันต่อ
ระหว่างทางลงเขาก็จะเห็นรถขาขึ้นกำลังทยอยขึ้นมาติดบนภูตลอดทางครับ
เพื่อนยืมไปถ่าย บอกใช้ง่าย มีจอทัชสกรีนให้ปัดๆเล่น แต่ผมถนัดใช้ปุ่มๆ กดๆหมุนๆ แบบ DSLR มากกว่า
ซึ่งเจ้าตัวนี้มีมาทั้ง2แบบ แล้วแต่คนนะครับ ใช้ง่ายเหมือนกัน
ลงมาถึงก็เที่ยงครึ่ง ต้องหามื้อเที่ยงแล้ว
นี่เลยครับ ขนมจีนร้านบุญมี น้ำยารีฟิลเติมได้ตลอด (นอกนั้นจ่ายตังค์เพิ่ม)
อิ่มท้องกันแล้วก็เดินทางกันต่อ ด้วยแผนการที่เปลี่ยนไป พวกเราพอมีเวลาเล็กน้อยก่อนไปเขาค้อ
จึงคั่นด้วยการไปไหว้พระที่ วัดพระธาตุผาซ่อนแก้วครับ
คนเยอะมากครับ วันหยุดยาวต้องเข้าใจ

ผมไม่แน่ใจเรื่องรายละเอียดของที่นี่นะครับ เพราะอยู่นอกโปรแกรมและมีเวลาน้อย
เดินถ่ายรูป วนดูรอบๆ เก็บรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ ก็ลงแล้วครับ

อ้อ!! ที่นี่มีที่จอดรถฟรีอยู่หลังวัดนะครับแต่ไม่น่าเยอะมากครับ
14.00 น. ได้เวลาเดินทางสู่เขาค้อ ความหวังสุดท้ายของการมาถ่ายภาพทะเลหมอก
ถึงที่พักก็เกือบเย็นแล้ว ที่ภูผาหมอกรีสอร์ทครับ
ห้องพักครับ ระเบียงที่เห็นจะหันออกเป็นวิวภูเขาครับ สวยมาก สามารถรอถ่ายทะเลหมอกในตอนเช้าที่ระเบียงได้เลยครับ
ราคา คืนละ 3000 บาท รวมอาหารเช้า อาหารที่นี่อร่อยมากครับ

ตอนกลางคืนที่นี่หนาวน้อยกว่าภูทับเบิก แต่ก็รู้สึกสบายกว่า เพราะไม่แออัด รีสอร์ทตั้งอยู่เดี่ยวๆเลยครับ
25 ต.ค. 58วันสุดท้าย
ตอนแรกด้วยความตั้งใจจะลองถ่ายดาวในตอนกลางคืน แต่ด้วยความเหนื่อยล้าจึงเผลอหลับไป
ตื่นมาอีกทีก็ ตี 5 แล้ว เลยลองออกมาเดินถ่ายเล่นดู ยังพอได้อยู่ครับ
กลับเข้าไปนอนต่อ รู้สึกตัวอีกที เพื่อนผมสะดุ้งตื่น
พร้อมร้องตะโกนว่า
เฮ้ย!!
ผมลืมตาขึ้นมาพร้อมกับแสงที่สว่างกว่าตอนออกมาถ่ายดาวเยอะมาก
ผมตกใจรีบกระโดดออกไปนอกระเบียงตามเสียงเพื่อนที่ร้องเรียกด้วยความตื่นเต้น
มาแล้วครับทะเลหมอกครั้งแรกในชีวิต หลังจากผิดหวังมา 2 ครั้ง
คว้ากล้อง ขาตั้งออกนอกระเบียงห้อง ถ่ายไปด้วย ดูวิวไปด้วย บันทึกทั้งไฟล์ภาพและความทรงจำไปพร้อมๆกัน

หลังจากถ่ายรูปไปสักพัก ก็มีเพื่อนเสนอไอเดียว่า ลองไปดูที่จุดอื่นของเขาค้อกันมั๊ย
ซึ่งระหว่างเดินทางมาที่เขาค้อนั้นก็ได้เสิร์ชหาข้อมูลมา ได้ความว่ามี จุดชมวิวชื่อเขาตะเคียนโง๊ะ สวยมาก
จึงรีบขับรกออกจากรีสอร์ทเพื่อเปลี่ยนจุดชมวิวในทันที
ระหว่างทางก็ชมวิวทิวทัศน์สองข้างทางไปเรื่อยๆ บรรยากาศดีมากครับ บางจุดมองเห็นทะเลหมอกด้วย

ก่อนถึงเขาตะเคียนโง๊ะ ขับรถผ่านจุดชมวิว “วัดกองเนียม” ลองแวะดูสักหน่อย

จอดรถนี่วิ่งอย่างเดียวครับ เพราะกลัวไปอีกที่ไม่ทัน

ลองชมภาพดูกันนะครับ ไม่รู้จะบรรยายอย่างไร แต่ความรู้สึกผมคือ สวยมากกกก
ส่วนตัวผมชอบที่“วัดกองเนียม”นี้ที่สุด
ขับรถต่อเกือบ10นาที ผ่านพระตำหนักเขาค้อ เลยมาอีกสักพักก็ถึงแล้วครับ “เขาตะเคียนโง๊ะ” ลักษณะของที่นี่จะเป็นยอดเขาเดี่ยวๆ

วิวที่นี่ดูได้ 360 องศา เดินวนๆเปลี่ยนมุมเอา มีที่จอดรถอยู่ข้างล่าง เสียค่าบริการคนละ 10บาทครับ
มีรถสองแถวบริการขึ้นยอดเขาแต่พวกผมรีบเกิน เดินขึ้นมาไม่รอรถ ปวดขาเลย นั่งรถตอนขาลงแทน

[CR] ผิดหวังที่ทับเบิก ย้อมใจที่เขาค้อ กับทะเลหมอกครั้งแรกในชีวิต
23 ตค. 58
กริ๊งๆๆๆๆๆๆ เสียงนาฬิกาปลุกดังบอกเวลา 5.00 น.
กระเป๋าเป้ เสื้อผ้า แปรงสีฟัน ไฟฉาย โทรศัพท์ ที่ชาร์ทแบต พาวเวอร์แบงค์ หมอน ถุงนอน ผ้าห่ม ฯลฯ ของทุกอย่างถูกยัดใส่ท้ายรถ(เพื่อน) และที่ขาดไม่ได้ กล้อง Canon EOS M3 ใหม่เอี่ยม เพิ่งถอยมาสดๆร้อนๆ ที่จะได้ไปลงสนามจริงพร้อมกันกับผม
เหตุผลที่เลือกตัวนี้เพราะแต่ก่อนต้องแบกกล้อง DSLR ไปเที่ยว
แต่ด้วยขนาดที่ใหญ่และหนักมาก(สำหรับผมซึ่งมีอาการปวดหลัง) ทำให้ผมรู้สึกว่าเวลาไปเที่ยวควรหากล้องที่เล็กพกพาง่าย
แต่คุณภาพสูสีกัน รู้สึกว่าจะ Made in Japanด้วย ยิ่งมั่นใจ ผมจึงเลือกรุ่นนี้มาอย่างไม่ลังเล เพราะใช้กล้องDSLRค่ายนี้อยู่แล้ว
แถมยังสามารถใช้งานกับอุปกรณ์เสริมของกล้องDSLRได้อีก
โดยในการเดินทางครั้งนี้ผมตั้งใจจะลองกลับมาเขียนรีวิวแบบจริงจังเป็นครั้งแรกด้วยครับ
วันนี้ผมมีนัดกันกับเพื่อนๆสมัยมัธยม6คน ที่ตกลงพร้อมใจจะไปดูทะเลหมอกกันที่ภูทับเบิก
ผมขอเกริ่นก่อนนะครับว่า การเดินทางครั้งนี้ได้วางแผนเอาไว้ก่อนที่จะเกิดกระแสของภูทับเบิก ซึ่งตัวผมและเพื่อนๆนั้นก็มีความรู้สึกแบบเดียวกันกับที่เป็นข่าว แต่ขอไม่พูดอะไรมากละกันนะครับ
เพราะพวกผมก็เป็นส่วนหนึ่งที่ขึ้นไปสร้างผลกระทบให้กับธรรมชาติไม่มากก็น้อย
สิ่งที่พวกเราทำได้ก็คือรับผิดชอบต่อตนเองและส่วนรวม เที่ยวอย่างสร้างสรรค์และไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมครับ
เวลา 7.30 น. ทุกคนมาพร้อมหน้าพร้อมตากันโดยมิได้นัดหมาย (เพราะนัด 6 โมง)เดินทางออกจากกรุงเทพฯ ที่หมายแรก ภูทับเบิก โดยขับรถกันไป 2 คัน ขับตามๆกันเรื่อยๆครับไม่รีบ หิวข้าวก็แวะ หิวกาแฟก็แวะ จะเข้าห้องน้ำก็แวะ แวะตลอดทาง กว่าจะถึงทางขึ้นภูก็เลยเที่ยงแล้วครับ ระหว่างเดินทางก็มีข่าวรถติดบริเวณทางขึ้นภูเข้ามาในเฟสตลอด พวกเราเลยตัดสินใจ รอเวลาอีกสักนิดเพื่อให้รถหายติด แต่ก็นั่นแหละครับ ขึ้นไปก็ติดอยู่ดี ใช้เวลาขึ้นภูเกือบ 2 ชั่วโมง
เพื่อนผมเขาเป็นคนจองครับ เต็นท์หลังใหญ่ราคาหลังละ 1200 บาท ต่อ คืน หลังเล็ก 700 บาท
มาถึงก็จอดรถภายในไร่ของลุง ด้วยความที่รถติดและอยากออกไปเดินเที่ยวมาก
ทุกคนก็ไม่รอช้าออกไปเดินเตร็ดเตร่ตามไร่กะหล่ำ ย่ำดินแฉะๆ สัมผัสอากาศเย็นรอบๆตัว
ที่ไม่เดินถนนเพราะรถเยอะมากครับ กลัวอันตราย เดินไปถ่ายรูปไปลองกล้องใหม่ไปด้วย
จากที่เคยใช้DSLR มาตลอด กล้องตัวนี้นับว่าใช้ได้ไม่ต่างกันครับ การควบคุมกล้องคล้ายๆกัน ผมใช้โหมด M ตลอด การปรับค่าต่างๆ เหมือนกับกล้องใหญ่เลยครับ มีที่เพิ่มมาคือปรับค่าต่างๆได้ที่จอทัชสกรีนด้วย
รูปนี้ต้องค่อยๆเดินเข้าไปใกล้ๆ ครับ ดีที่กล้องโฟกัสไว เลยถ่ายทัน ถ่ายเสร็จเจ้าตัวนี้วิ่งหายไปเลย
เพราะมีฝนตกลงมาหลายช่วงตลอดคืนครับ ซึ่งผมเคยมีประสบการณ์ผิดหวังจากภูชี้ฟ้ามาแล้ว
แต่พวกเราก็ยังคงตัดสินใจเดินขึ้นไปจุดชมวิวครับ อย่างน้อยมาแล้ว ก็ขอลองขึ้นไปดูสักครั้ง
ทำใจครับ ความหวังยังมีในคืนที่สองที่เขาค้อ(ปลอบตัวเอง)
ราคาตามการขนส่งสินค้าครับ พวกผักสดจะถูกดี ชาวบ้านปลูกเองขายเอง
แต่ด้วยสภาพการจราจรที่ติดขัดไม่สามารถลงจากภูได้ พวกเราจึงตัดสินใจนั่งเล่นนอนเล่นรออยู่ในเต็นท์
จนถึงเวลา11โมงกว่าๆ รถที่ติดค้างบนภูเริ่มขยับ พวกเราจึงค่อยออกเดินทางกันต่อ
ระหว่างทางลงเขาก็จะเห็นรถขาขึ้นกำลังทยอยขึ้นมาติดบนภูตลอดทางครับ
ซึ่งเจ้าตัวนี้มีมาทั้ง2แบบ แล้วแต่คนนะครับ ใช้ง่ายเหมือนกัน
นี่เลยครับ ขนมจีนร้านบุญมี น้ำยารีฟิลเติมได้ตลอด (นอกนั้นจ่ายตังค์เพิ่ม)
จึงคั่นด้วยการไปไหว้พระที่ วัดพระธาตุผาซ่อนแก้วครับ
ผมไม่แน่ใจเรื่องรายละเอียดของที่นี่นะครับ เพราะอยู่นอกโปรแกรมและมีเวลาน้อย
เดินถ่ายรูป วนดูรอบๆ เก็บรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ ก็ลงแล้วครับ
ถึงที่พักก็เกือบเย็นแล้ว ที่ภูผาหมอกรีสอร์ทครับ
ราคา คืนละ 3000 บาท รวมอาหารเช้า อาหารที่นี่อร่อยมากครับ
ตอนแรกด้วยความตั้งใจจะลองถ่ายดาวในตอนกลางคืน แต่ด้วยความเหนื่อยล้าจึงเผลอหลับไป
ตื่นมาอีกทีก็ ตี 5 แล้ว เลยลองออกมาเดินถ่ายเล่นดู ยังพอได้อยู่ครับ
พร้อมร้องตะโกนว่า
เฮ้ย!!
ผมลืมตาขึ้นมาพร้อมกับแสงที่สว่างกว่าตอนออกมาถ่ายดาวเยอะมาก
คว้ากล้อง ขาตั้งออกนอกระเบียงห้อง ถ่ายไปด้วย ดูวิวไปด้วย บันทึกทั้งไฟล์ภาพและความทรงจำไปพร้อมๆกัน
หลังจากถ่ายรูปไปสักพัก ก็มีเพื่อนเสนอไอเดียว่า ลองไปดูที่จุดอื่นของเขาค้อกันมั๊ย
ซึ่งระหว่างเดินทางมาที่เขาค้อนั้นก็ได้เสิร์ชหาข้อมูลมา ได้ความว่ามี จุดชมวิวชื่อเขาตะเคียนโง๊ะ สวยมาก
จึงรีบขับรกออกจากรีสอร์ทเพื่อเปลี่ยนจุดชมวิวในทันที
ก่อนถึงเขาตะเคียนโง๊ะ ขับรถผ่านจุดชมวิว “วัดกองเนียม” ลองแวะดูสักหน่อย
จอดรถนี่วิ่งอย่างเดียวครับ เพราะกลัวไปอีกที่ไม่ทัน
ลองชมภาพดูกันนะครับ ไม่รู้จะบรรยายอย่างไร แต่ความรู้สึกผมคือ สวยมากกกก
ส่วนตัวผมชอบที่“วัดกองเนียม”นี้ที่สุด
ขับรถต่อเกือบ10นาที ผ่านพระตำหนักเขาค้อ เลยมาอีกสักพักก็ถึงแล้วครับ “เขาตะเคียนโง๊ะ” ลักษณะของที่นี่จะเป็นยอดเขาเดี่ยวๆ
มีรถสองแถวบริการขึ้นยอดเขาแต่พวกผมรีบเกิน เดินขึ้นมาไม่รอรถ ปวดขาเลย นั่งรถตอนขาลงแทน