Disclaimer : จุดประสงค์การตั้งกระทู้เพื่อแนะนำให้รู้จักกับธุรกิจต่างๆในชาติอาเซียน(ที่ไทยเราอาจจะไม่มี) มิได้มีเจตนาเพื่อเชียร์ซื้อ - ขายในหลักทรัพย์นั้นๆ การลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศจะมีความเสี่ยงกว่าการลงทุนในหลักทรัพย์ในประเทศ ดังนั้นขอความกรุณาหากสนใจหลักทรัพย์ใดๆก็หาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนซื้อขายนะครับ การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน
Karex Berhad จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มาเลเซียภายใต้รหัสซื้อขาย 5247.KL (หากเป็น quote ใน Bloomberg จะใช้ชื่อว่า KAREX.MK)
เวบไซต์บริษัท :
http://karex.irplc.com/investor-relations.html
Karex อ้างตัวเองว่าเป็นบริษัทผู้ผลิตถุงยางอนามัยที่ใหญ่ที่สุดในโลก ปัจจุบันกำลังการผลิตของ Karex อยู่ที่ 5พันล้านชิ้นต่อปีใน 3 โรงงาน ได้แก่
1) โรงงานที่ Port Klang (อยู่ในรัฐสลังงอร์ของมาเลเซีย) กำลังการผลิตอยู่ที่ 800 ล้านชิ้นต่อปี
2) โรงงานที่ Portian (อยู่ในรัฐยะโฮร์ของมาเลเซีย) กำลังการผลิตอยู่ที่ 2 พันล้านชิ้นต่อปี
3) โรงงานที่ หาดใหญ่ (อยู่ในประเทศไทย) กำลังการผลิตอยู่ที่ 2.2 พันล้านชิ้นต่อปี
ส่วน
ทางด้านผลิตภัณฑ์ Karexไม่ได้ผลิตเฉพาะถุงยางอนามัยนะครับ แต่ Karex ผลิตสินค้าชนิดอื่นด้วย เช่น ท่อสอดเข้าร่างกาย (Catheters) และ ปลอกหุ้มปรอทและเจลหล่อลื่น (Probe Covers & Lubricating Jelly) เพียงแต่สัดส่วนการผลิตสินค้าประเภทอื่นมีน้อยมาก ซึ่งมีรวมกันเพียง 8% หากเทียบสัดส่วนการผลิตถุงยางอนามัยที่ 92%
ด้าน
กลุ่มสินค้า ปัจจุบัน Karex แบ่งกลุ่มสินค้าที่ผลิตออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆคือ
1. OEM (หรือในชาร์ทด้านล่างจะบอก Commercial) ซึ่งอันนี้ทาง Karex รับจ้างผลิตให้กับบริษัทยักษ์ใหญ่ทั่วไป
2. Tender (หรือตามคำสั่งซื้อรัฐบาล) ตรงนี้ Karex รับจ้างผลิตจากทางรัฐบาล(หรือองค์กรขนาดใหญ่) ถ้ายกตัวอย่างง่ายๆก็คงแบบแคมเปญแจกถุงยางอนามัยฟรีช่วงวาเลนไทน์นะครับ สินค้าลักษณะนั้น
3. OBM (Own-Brand Manufacturing) ซึ่งเป็นการผลิตแบบใช้ตราสินค้าของ Karex เอง โดย Karex มีตราสินค้าอยู่ 4 ตราสินค้า ได้แก่ iNNO, ONE, Carex, Atlas
ซึ่งหากดูจากชาร์ทด้านล่าง จะสังเกตเห็นว่า OBM มีสัดส่วนที่ต่ำมาก(7%) แต่ก็พยายามดันขึ้นมาจากปีก่อนๆ(4%)
ส่วน
การส่งออกสินค้าของ Karex นั้น ปัจจุบัน Karex ส่งสินค้าออกไปจำหน่ายยังทวีปแอฟริกาสูงสุด (37%) ตามมาด้วยเอเชียของเรา (31%)
ทีนี้เรามาพูดถึง
พัฒนาการและแผนงานบริษัท
โดยในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา (2015) ทาง Karex ได้ซื้อกิจการผู้ผลิตถุงยางอนามัยรายหนึ่ง ชื่อ Medical-Latex (Dua) Sdn Bhd (MLD) เป็นเงินจำนวน 13ล้านริงกิต (ราว 110ล้านบาท) โดยการเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ นอกจากทาง Karex จะได้สินทรัพย์ (โรงงาน) ของทาง MLD แล้ว ดูเหมือนทาง Karex จะได้แบรนด์ของทาง MLD เข้ามาในพอร์ตลงทุนด้วย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ที่มาข่าว : http://www.thestar.com.my/business/business-news/2015/08/13/karex-to-buy-medicallatex-for-rm13mil/?style=biz
นอกจากนี้ล่าสุดทางบริษัทออกมาให้ข่าวว่าเตรียมเพิ่มกำลังการผลิตขึ้นไปเป็น 6พันล้านชิ้นภายในสิ้นปี 2016 และ'อาจ'เพิ่มขึ้นไปเป็นอีก 7พันล้านชิ้นภายในสิ้นปี 2017
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ที่มาข่าว : http://www.thestar.com.my/business/business-news/2015/12/01/condom-maker-expands-capacity/?style=biz
ส่วนทางด้าน
งบการเงินบริษัท กำไรบริษัทยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่องนะครับ อาจจะเห็นจังหวะสะดุดของยอดขาย แต่โดยภาพรวมยังถือว่าค่อนข้างดูดีทีเดียว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ที่มา : http://markets.ft.com/research/Markets/Tearsheets/Financials?s=KAREX%3AKLS
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ข้อมูลจากเพจ ASEAN VI : นักลงทุนไทยในอาเซียน
https://www.facebook.com/groups/1428819634071463/
เจาะหุ้นอาเซียน : Karex Berhad ผู้ผลิตถุงยางอนามัยรายใหญ่ของอาเซียน
Karex Berhad จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มาเลเซียภายใต้รหัสซื้อขาย 5247.KL (หากเป็น quote ใน Bloomberg จะใช้ชื่อว่า KAREX.MK)
เวบไซต์บริษัท : http://karex.irplc.com/investor-relations.html
Karex อ้างตัวเองว่าเป็นบริษัทผู้ผลิตถุงยางอนามัยที่ใหญ่ที่สุดในโลก ปัจจุบันกำลังการผลิตของ Karex อยู่ที่ 5พันล้านชิ้นต่อปีใน 3 โรงงาน ได้แก่
1) โรงงานที่ Port Klang (อยู่ในรัฐสลังงอร์ของมาเลเซีย) กำลังการผลิตอยู่ที่ 800 ล้านชิ้นต่อปี
2) โรงงานที่ Portian (อยู่ในรัฐยะโฮร์ของมาเลเซีย) กำลังการผลิตอยู่ที่ 2 พันล้านชิ้นต่อปี
3) โรงงานที่ หาดใหญ่ (อยู่ในประเทศไทย) กำลังการผลิตอยู่ที่ 2.2 พันล้านชิ้นต่อปี
ส่วนทางด้านผลิตภัณฑ์ Karexไม่ได้ผลิตเฉพาะถุงยางอนามัยนะครับ แต่ Karex ผลิตสินค้าชนิดอื่นด้วย เช่น ท่อสอดเข้าร่างกาย (Catheters) และ ปลอกหุ้มปรอทและเจลหล่อลื่น (Probe Covers & Lubricating Jelly) เพียงแต่สัดส่วนการผลิตสินค้าประเภทอื่นมีน้อยมาก ซึ่งมีรวมกันเพียง 8% หากเทียบสัดส่วนการผลิตถุงยางอนามัยที่ 92%
ด้านกลุ่มสินค้า ปัจจุบัน Karex แบ่งกลุ่มสินค้าที่ผลิตออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆคือ
1. OEM (หรือในชาร์ทด้านล่างจะบอก Commercial) ซึ่งอันนี้ทาง Karex รับจ้างผลิตให้กับบริษัทยักษ์ใหญ่ทั่วไป
2. Tender (หรือตามคำสั่งซื้อรัฐบาล) ตรงนี้ Karex รับจ้างผลิตจากทางรัฐบาล(หรือองค์กรขนาดใหญ่) ถ้ายกตัวอย่างง่ายๆก็คงแบบแคมเปญแจกถุงยางอนามัยฟรีช่วงวาเลนไทน์นะครับ สินค้าลักษณะนั้น
3. OBM (Own-Brand Manufacturing) ซึ่งเป็นการผลิตแบบใช้ตราสินค้าของ Karex เอง โดย Karex มีตราสินค้าอยู่ 4 ตราสินค้า ได้แก่ iNNO, ONE, Carex, Atlas
ซึ่งหากดูจากชาร์ทด้านล่าง จะสังเกตเห็นว่า OBM มีสัดส่วนที่ต่ำมาก(7%) แต่ก็พยายามดันขึ้นมาจากปีก่อนๆ(4%)
ส่วนการส่งออกสินค้าของ Karex นั้น ปัจจุบัน Karex ส่งสินค้าออกไปจำหน่ายยังทวีปแอฟริกาสูงสุด (37%) ตามมาด้วยเอเชียของเรา (31%)
ทีนี้เรามาพูดถึงพัฒนาการและแผนงานบริษัท
โดยในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา (2015) ทาง Karex ได้ซื้อกิจการผู้ผลิตถุงยางอนามัยรายหนึ่ง ชื่อ Medical-Latex (Dua) Sdn Bhd (MLD) เป็นเงินจำนวน 13ล้านริงกิต (ราว 110ล้านบาท) โดยการเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ นอกจากทาง Karex จะได้สินทรัพย์ (โรงงาน) ของทาง MLD แล้ว ดูเหมือนทาง Karex จะได้แบรนด์ของทาง MLD เข้ามาในพอร์ตลงทุนด้วย [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
นอกจากนี้ล่าสุดทางบริษัทออกมาให้ข่าวว่าเตรียมเพิ่มกำลังการผลิตขึ้นไปเป็น 6พันล้านชิ้นภายในสิ้นปี 2016 และ'อาจ'เพิ่มขึ้นไปเป็นอีก 7พันล้านชิ้นภายในสิ้นปี 2017 [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ส่วนทางด้านงบการเงินบริษัท กำไรบริษัทยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่องนะครับ อาจจะเห็นจังหวะสะดุดของยอดขาย แต่โดยภาพรวมยังถือว่าค่อนข้างดูดีทีเดียว [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้