Review: IN THE HEART OF THE SEA
เรื่องจริงของมหาตำนานที่พาเราเดินทางสู่ห้วงมหาสมุทร และสู่จิตใจอันลึกที่สุดของตัวละคร ที่เต็มไปด้วยอดีตอันโหดร้าย สะเทือนใจ และความน่าเกรงขามของธรรมชาติที่เกาะกุมเขาไปตลอดชีวิต วาฬยักษ์ยิ่งใหญ่เต็มตา Must See in IMAX!!
.
หลังจากเลื่อนกำหนดฉายจากเดือนมีนาคม ในที่สุด In The Heart of The Sea ก็ได้คิวเข้าฉาย และนำมาซึ่งอรรถรสที่ยิ่งใหญ่สมการรอคอย ... นี่คือเรื่องจริงในการเดินทางเที่ยวสุดท้ายของเรือ Essex Nantucket ในช่วงปี 1800 ซึ่งเป็นยุคที่ไขมันและน้ำมันจากวาฬถูกนำมาใช้เป็นทรัพยากรสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรม ธุรกิจเรือล่าวาฬรุ่งเรืองสุดขีดและเต็มไปด้วยการแข่งขันของเหล่ากะลาสีที่ยอมล่องเรือไปสุดขอบฟ้า ด้วยความหวังว่าจะได้น้ำมันวาฬกลับมาเต็มลำเรือ กัปตันจอร์จ พอลลาร์ด (Benjamin Walker) และต้นเรือ โอเว่น เชส (Chris Hemworth) ผู้ไม่ค่อยจะลงรอยกันตัดสินใจให้ความละโมบเป็นเข็มทิศนำเรือ Essex ไปสู่น่านน้ำที่เต็มไปด้วยฝูงวาฬนับร้อย โดยไม่รู้เลยว่ากำลังจะเผชิญกับวาฬยักษ์ที่จะนำความอับปางมาสู่เรือและชีวิตของลูกเรือหลาย ๆ คนอย่างที่เกินจะนึกฝัน และเรื่องราวเหล่านั้นจะเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดนวนิยายอมตะอย่าง Moby Dick ในเวลาต่อมา
.
เรื่องราวทั้งหมดถูกถ่ายทอดผ่านคำบอกเล่าของ โทมัส นิคเคอร์สัน (Brandan Gleeson หรือ ศจ.มู้ดดี้ จาก Harry Potter 4) ลูกเรือคนสุดท้ายที่ยังมีชีวิตอยู่ของเรือ Essex ที่ถูกรบเร้าโดย เฮอร์แมน เมลวิลล์ (Ben Whishaw) นักเขียนวัยหนุ่มที่ขอให้เขาเล่าเรื่องโศกนาฏกรรมในอดีตเพื่อนำไปประกอบการเขียนนิยาย ซึ่งจะกลายมาเป็น Moby Dick ในเวลาต่อมา ซึ่งเรื่องราวที่เล่าจะค่อย ๆ พาเฮอร์แมนและผู้ชมทุกคนเดินทางไปกับเรือ Essex และรู้เห็นความโลภโมโทสันของมนุษย์ที่ต้องแลกมาด้วยการเผชิญกับราชาวาฬแห่งท้องทะเลที่เป็นตัวแทนความน่าเกรงขามของธรรมชาติ ที่ไ่ม่ว่าใครก็ต้องยอมศิโรราบ และนำมาซึ่งประสบการณ์การเอาชีวิตรอดที่ต้องแลกด้วยการทำสิ่งอัปยศมากมายที่เป็นตราบาปแทงกะลาสีเหล่านั้นไปชั่วชีวิต ... นี่ไม่ใช่เรื่องของวาฬที่เป็นเจ้าของตำนานอสูรแห่งมหาสมุทร แต่คือเรื่องราวความสัมพันธ์ของผู้คน ที่ต้องเผชิญตัณหา ความกล้า ความกลัว และชะตากรรมที่แสนสะเทือนใจ
.
ภาพรวมของหนังโอเคมาก โดยเฉพาะในแง่การพาคนดูเข้าสู่ความรู้สึกนึกคิดของตัวละคร ทำให้รู้สึกสะเทือนใจและเจ็บปวดตามไปด้วย จนยากที่จะถ่ายทอดออกมาได้ว่ารู้สึกเช่นไร (ยอมรับว่านี่เป็นบทความ review ที่เขียนยากที่สุดเรื่องนึงเลย) ... นักแสดงทุกคนเล่นดี จับคนดูได้อยู่หมัด โดยเฉพาะคนเล่าเรื่องอย่าง Brandan Gleeson ... และขอชื่นชมสปิริตการแสดงของ Chris Hemworth ที่ลดน้ำหนักเพื่อแสดงเป็นกะลาสีเรือแตกไม่มีอาหารประทังชีวิตได้ซะจนลืมภาพล่ำบึ๊กตอนที่แสดงเป็น Thor ไปเลย ส่วนนักแสดงอื่น ๆ ก็ทำได้ดีมาก รวมทั้ง Tom Holland ที่แสดงเป็นโทมัสในวัยหนุ่มด้วย
.
มุมกล้องและภาพต่าง ๆ ในหนังนั้นสวยจริง ๆ มีการทำให้เป็นโทนหม่น ๆ ทั้งเรื่องเหมือนเรากำลังดูความทรงจำ และเหมือนภาพถ่ายสีน้ำมันสมัยก่อน สวย เหมือนได้ย้อนยุคไปเมื่อ 200 ปีก่อนจริง ๆ
.
และแน่นอนว่าไฮไลท์คือวาฬยักษ์ที่สร้างความวิบัติวอดวาย ซึ่งต้องบอกว่าเมื่อชมในโรง IMAX จะได้ประสบการณ์เผชิญหน้ากับปลาวาฬที่ใหญ่สมจริงมาก สะบัดหางทีนี่แทบจะเหมือนถูกฟาดเข้าที่หน้า มันใหญ่ซะจนเรากลัวมัน สะพรึงมัน และเห็นขนาดชัด ๆ จนทำเอาเรือ Essex เล็กลงไปเลย ... งานภาพ 3D ทำออกมาได้มีมิติดี เน้นลึกมากกว่าพุ่ง ซึ่งมันช่วยเสริมฉากใต้น้ำในตอนที่วาฬดำดิ่งสู่ก้นทะเลได้ดีมาก ๆ .... ฉากล่าวาฬสนุกระทึกสุด ๆ ลุ้นจนตัวเกร็ง
.
จุดอ่อนเพียงนิดเดียวของเรื่องนี้คือมีบางช่วงที่เล่าเรื่องค่อนข้างยืด โดยเฉพาะตอนต้นกับตอนใกล้จบ แต่ด้วยความคมคายของบทและการถ่ายทอดอารมณ์ของนักแสดงก็ทำให้ดูได้ไม่เบื่อเลย .... ที่สุดแล้วมันคือหนังที่ทิ้งความรู้สึกอันหลากหลายให้เกาะกุมหัวใจคนดูอย่างอยู่หมัดไปหลายชั่วโมงหลังจากดูจบ และทำให้เรารู้ว่าเบื้องหลังตำนานยิ่งใหญ่มีเรื่องราวของชีวิต และมีหนทางของชีวิตที่ร้าวลึก รุนแรง ดิ้นรน สะเทือนอารมณ์ เป็นตราบาปที่เราต้องเรียนรู้จะปลดปล่อย และในที่สุดแล้วคือความยำเกรงที่ปุถุชนทุกคนต้องจำยอมต่อธรรมชาติโดยไร้ข้อกังขาใด ๆ อย่างแท้จริง
Review: IN THE HEART OF THE SEA
เรื่องจริงของมหาตำนานที่พาเราเดินทางสู่ห้วงมหาสมุทร และสู่จิตใจอันลึกที่สุดของตัวละคร ที่เต็มไปด้วยอดีตอันโหดร้าย สะเทือนใจ และความน่าเกรงขามของธรรมชาติที่เกาะกุมเขาไปตลอดชีวิต วาฬยักษ์ยิ่งใหญ่เต็มตา Must See in IMAX!!
.
หลังจากเลื่อนกำหนดฉายจากเดือนมีนาคม ในที่สุด In The Heart of The Sea ก็ได้คิวเข้าฉาย และนำมาซึ่งอรรถรสที่ยิ่งใหญ่สมการรอคอย ... นี่คือเรื่องจริงในการเดินทางเที่ยวสุดท้ายของเรือ Essex Nantucket ในช่วงปี 1800 ซึ่งเป็นยุคที่ไขมันและน้ำมันจากวาฬถูกนำมาใช้เป็นทรัพยากรสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรม ธุรกิจเรือล่าวาฬรุ่งเรืองสุดขีดและเต็มไปด้วยการแข่งขันของเหล่ากะลาสีที่ยอมล่องเรือไปสุดขอบฟ้า ด้วยความหวังว่าจะได้น้ำมันวาฬกลับมาเต็มลำเรือ กัปตันจอร์จ พอลลาร์ด (Benjamin Walker) และต้นเรือ โอเว่น เชส (Chris Hemworth) ผู้ไม่ค่อยจะลงรอยกันตัดสินใจให้ความละโมบเป็นเข็มทิศนำเรือ Essex ไปสู่น่านน้ำที่เต็มไปด้วยฝูงวาฬนับร้อย โดยไม่รู้เลยว่ากำลังจะเผชิญกับวาฬยักษ์ที่จะนำความอับปางมาสู่เรือและชีวิตของลูกเรือหลาย ๆ คนอย่างที่เกินจะนึกฝัน และเรื่องราวเหล่านั้นจะเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดนวนิยายอมตะอย่าง Moby Dick ในเวลาต่อมา
.
เรื่องราวทั้งหมดถูกถ่ายทอดผ่านคำบอกเล่าของ โทมัส นิคเคอร์สัน (Brandan Gleeson หรือ ศจ.มู้ดดี้ จาก Harry Potter 4) ลูกเรือคนสุดท้ายที่ยังมีชีวิตอยู่ของเรือ Essex ที่ถูกรบเร้าโดย เฮอร์แมน เมลวิลล์ (Ben Whishaw) นักเขียนวัยหนุ่มที่ขอให้เขาเล่าเรื่องโศกนาฏกรรมในอดีตเพื่อนำไปประกอบการเขียนนิยาย ซึ่งจะกลายมาเป็น Moby Dick ในเวลาต่อมา ซึ่งเรื่องราวที่เล่าจะค่อย ๆ พาเฮอร์แมนและผู้ชมทุกคนเดินทางไปกับเรือ Essex และรู้เห็นความโลภโมโทสันของมนุษย์ที่ต้องแลกมาด้วยการเผชิญกับราชาวาฬแห่งท้องทะเลที่เป็นตัวแทนความน่าเกรงขามของธรรมชาติ ที่ไ่ม่ว่าใครก็ต้องยอมศิโรราบ และนำมาซึ่งประสบการณ์การเอาชีวิตรอดที่ต้องแลกด้วยการทำสิ่งอัปยศมากมายที่เป็นตราบาปแทงกะลาสีเหล่านั้นไปชั่วชีวิต ... นี่ไม่ใช่เรื่องของวาฬที่เป็นเจ้าของตำนานอสูรแห่งมหาสมุทร แต่คือเรื่องราวความสัมพันธ์ของผู้คน ที่ต้องเผชิญตัณหา ความกล้า ความกลัว และชะตากรรมที่แสนสะเทือนใจ
.
ภาพรวมของหนังโอเคมาก โดยเฉพาะในแง่การพาคนดูเข้าสู่ความรู้สึกนึกคิดของตัวละคร ทำให้รู้สึกสะเทือนใจและเจ็บปวดตามไปด้วย จนยากที่จะถ่ายทอดออกมาได้ว่ารู้สึกเช่นไร (ยอมรับว่านี่เป็นบทความ review ที่เขียนยากที่สุดเรื่องนึงเลย) ... นักแสดงทุกคนเล่นดี จับคนดูได้อยู่หมัด โดยเฉพาะคนเล่าเรื่องอย่าง Brandan Gleeson ... และขอชื่นชมสปิริตการแสดงของ Chris Hemworth ที่ลดน้ำหนักเพื่อแสดงเป็นกะลาสีเรือแตกไม่มีอาหารประทังชีวิตได้ซะจนลืมภาพล่ำบึ๊กตอนที่แสดงเป็น Thor ไปเลย ส่วนนักแสดงอื่น ๆ ก็ทำได้ดีมาก รวมทั้ง Tom Holland ที่แสดงเป็นโทมัสในวัยหนุ่มด้วย
.
มุมกล้องและภาพต่าง ๆ ในหนังนั้นสวยจริง ๆ มีการทำให้เป็นโทนหม่น ๆ ทั้งเรื่องเหมือนเรากำลังดูความทรงจำ และเหมือนภาพถ่ายสีน้ำมันสมัยก่อน สวย เหมือนได้ย้อนยุคไปเมื่อ 200 ปีก่อนจริง ๆ
.
และแน่นอนว่าไฮไลท์คือวาฬยักษ์ที่สร้างความวิบัติวอดวาย ซึ่งต้องบอกว่าเมื่อชมในโรง IMAX จะได้ประสบการณ์เผชิญหน้ากับปลาวาฬที่ใหญ่สมจริงมาก สะบัดหางทีนี่แทบจะเหมือนถูกฟาดเข้าที่หน้า มันใหญ่ซะจนเรากลัวมัน สะพรึงมัน และเห็นขนาดชัด ๆ จนทำเอาเรือ Essex เล็กลงไปเลย ... งานภาพ 3D ทำออกมาได้มีมิติดี เน้นลึกมากกว่าพุ่ง ซึ่งมันช่วยเสริมฉากใต้น้ำในตอนที่วาฬดำดิ่งสู่ก้นทะเลได้ดีมาก ๆ .... ฉากล่าวาฬสนุกระทึกสุด ๆ ลุ้นจนตัวเกร็ง
.
จุดอ่อนเพียงนิดเดียวของเรื่องนี้คือมีบางช่วงที่เล่าเรื่องค่อนข้างยืด โดยเฉพาะตอนต้นกับตอนใกล้จบ แต่ด้วยความคมคายของบทและการถ่ายทอดอารมณ์ของนักแสดงก็ทำให้ดูได้ไม่เบื่อเลย .... ที่สุดแล้วมันคือหนังที่ทิ้งความรู้สึกอันหลากหลายให้เกาะกุมหัวใจคนดูอย่างอยู่หมัดไปหลายชั่วโมงหลังจากดูจบ และทำให้เรารู้ว่าเบื้องหลังตำนานยิ่งใหญ่มีเรื่องราวของชีวิต และมีหนทางของชีวิตที่ร้าวลึก รุนแรง ดิ้นรน สะเทือนอารมณ์ เป็นตราบาปที่เราต้องเรียนรู้จะปลดปล่อย และในที่สุดแล้วคือความยำเกรงที่ปุถุชนทุกคนต้องจำยอมต่อธรรมชาติโดยไร้ข้อกังขาใด ๆ อย่างแท้จริง