สิ่งทั้งหลายของธรรมชาตินี้ ถ้าจะแยกเพื่อให้เข้าใจง่าย ก็แยกได้ ๒ ประเภท คือ สิ่งปรุงแต่ง (สังขาร) กับ สิ่งที่ไม่ปรุงแต่ง (วิสังขาร) ซึ่งสิ่งปรุงแต่งก็คือสิ่งที่ต้องอาศัยสิ่งอื่นมาปรุงแต่งให้เกิดขึ้น และเมื่อเกิดขึ้นมาแล้วมันยังปรุงแต่งให้เกิดสิ่งอื่นต่อไปด้วย โดยสิ่งปรุงแต่งจะมีลักษณะให้สังเกตได้คือ มีการเกิด, ดับ, เปลียนแปลง, รวมทั้งยังต้องมีเหตุปัจจัยมาปรุงแต่งให้มันตั้งอยู่อีกด้วย ซึ่งปรุงแต่งก็ได้แก่ทุกสิ่ง (คือทั้งสิ่งที่เป็นวัตถุและไม่ใช่วัตถุ ทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต) ยกเว้นสิ่งที่ไม่ปรุงแต่ง
ส่วนสิ่งที่ไม่ปรุงแต่งก็คือ สิ่งที่มีอยู่ตามธรรมชาติโดยไม่ต้องมีเหตุปัจจัยอะไรมาปรุงแต่งให้มันมีอยู่ ดังนั้นสิ่งไม่ปรุงแต่งจึงมีลักษณะให้สังเกตได้คือ ไม่มีการเกิด, ไม่มีการดับ, ไม่มีการเปลี่ยนแปลง, และไม่ต้องมีอะไรมาเป็นเหตุปัจจัยให้มันมีอยู่, รวมทั้งมันก็ไม่ปรุงแต่งให้เกิดสิ่งอื่นอีกด้วย ซึ่งสิ่งที่ไม่ปรุงแต่งนี้ก็มีเพียง ความว่าง, กฎของธรรมชาติ, ความดับ, และ นิพพาน (ความสงบเย็น) เท่านั้น นอกนั้นเป็นสิ่งปรุงแต่งทั้งสิ้น
นี่คือจุดสำตัญทีเราจะต้องจำไว้ให้ดี เพื่อที่จะได้เข้าใจว่าส่งใดเป็นสิ่งปรุงแต่ง สิ่งใดเป็นสิ่งไม่ปรุงแต่ง คือถ้าเราสังเกตเห็น (หรือรู้สึก) ว่าสิ่งใดมีการเกิดขึ้น, หรือดับหายไป, หรือมีการเปลี่ยนแปลง, หรือต้องอาศัยสิ่งอื่นมาเป็นเหตุปัจจัยเพื่อปรุงแต่งให้มันเกิดขึ้นหรือตั้งอยู่ ก็แสดงว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งปรุงแต่ง ที่มีความไม่เที่ยง (อนิจจัง), มีสภาวะที่ต้องทน (ทุกขัง,) และไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง (อนัตตา)
ตัวอย่างเช่น ร่างกายของเรานั้นก็มีการเกิดขึ้น มีความเปลี่ยนแปลง และต้องอาศัยอาหาร น้ำ อากาศ ความอบอุ่น มาปรุงแต่งให้เกิดขึ้นและตั้งอยู่ ก็แสดงว่าร่างกายเป็นสิ่งปรุงแต่ง ซึ่งนี่แสดงถึงว่า ร่างกายของเรานั้นเป็นสิ่งปรุงแต่ง ที่ไม่เที่ยง มีสภาวะที่ต้องทน และไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง หรืออย่างเช่น จิตใจของเราก็มีการเกิดและดับอยู่เสมอ และมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา รวมทั้งยังต้องอาศัยร่างกายที่ยังไม่ตายเพื่อเกิดขึ้นและตั้งอยู่ ซึ่งนี่แสดงถึงว่า จิตใจของเรานั้นเป็นสิ่งปรุงแต่ง ที่ไม่เที่ยง มีสภาวะที่ต้องทน และไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง เป็นต้น
ส่วนการสังเกตสิ่งที่ไม่ปรุงแต่งก็ได้แก่ เมื่อใดที่จิตของเราหยุดการปรุงแต่งให้เกิดกิเลส หรือหยุดการปรุงแต่งให้เกิดอุปาทานว่าจิตใจและร่างกายนี้ว่าเป็นตัวเรา-ของเรา เมื่อนั้นสภาวะของความดับลงของความทุกข์ก็จะปรากฏ และความสงบเย็น (นิพพาน) ของจิตก็จะปรากฏ ซึ่งนี่ก็แสดงว่า ความดับทุกข์หรือนิพพานนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ปรุงแต่ง คือเมื่อเราเอาสิ่งที่มาปรุงแต่งออกไป สิ่งที่ไม่ปรุงแต่งก็จะปรากฏ (เรื่องนี้เราจะได้ศึกษากันโดยละเอียดต่อไป)
สิ่งปรุงแต่ง-สิ่งไม่ปรุงแต่ง
ส่วนสิ่งที่ไม่ปรุงแต่งก็คือ สิ่งที่มีอยู่ตามธรรมชาติโดยไม่ต้องมีเหตุปัจจัยอะไรมาปรุงแต่งให้มันมีอยู่ ดังนั้นสิ่งไม่ปรุงแต่งจึงมีลักษณะให้สังเกตได้คือ ไม่มีการเกิด, ไม่มีการดับ, ไม่มีการเปลี่ยนแปลง, และไม่ต้องมีอะไรมาเป็นเหตุปัจจัยให้มันมีอยู่, รวมทั้งมันก็ไม่ปรุงแต่งให้เกิดสิ่งอื่นอีกด้วย ซึ่งสิ่งที่ไม่ปรุงแต่งนี้ก็มีเพียง ความว่าง, กฎของธรรมชาติ, ความดับ, และ นิพพาน (ความสงบเย็น) เท่านั้น นอกนั้นเป็นสิ่งปรุงแต่งทั้งสิ้น
นี่คือจุดสำตัญทีเราจะต้องจำไว้ให้ดี เพื่อที่จะได้เข้าใจว่าส่งใดเป็นสิ่งปรุงแต่ง สิ่งใดเป็นสิ่งไม่ปรุงแต่ง คือถ้าเราสังเกตเห็น (หรือรู้สึก) ว่าสิ่งใดมีการเกิดขึ้น, หรือดับหายไป, หรือมีการเปลี่ยนแปลง, หรือต้องอาศัยสิ่งอื่นมาเป็นเหตุปัจจัยเพื่อปรุงแต่งให้มันเกิดขึ้นหรือตั้งอยู่ ก็แสดงว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งปรุงแต่ง ที่มีความไม่เที่ยง (อนิจจัง), มีสภาวะที่ต้องทน (ทุกขัง,) และไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง (อนัตตา)
ตัวอย่างเช่น ร่างกายของเรานั้นก็มีการเกิดขึ้น มีความเปลี่ยนแปลง และต้องอาศัยอาหาร น้ำ อากาศ ความอบอุ่น มาปรุงแต่งให้เกิดขึ้นและตั้งอยู่ ก็แสดงว่าร่างกายเป็นสิ่งปรุงแต่ง ซึ่งนี่แสดงถึงว่า ร่างกายของเรานั้นเป็นสิ่งปรุงแต่ง ที่ไม่เที่ยง มีสภาวะที่ต้องทน และไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง หรืออย่างเช่น จิตใจของเราก็มีการเกิดและดับอยู่เสมอ และมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา รวมทั้งยังต้องอาศัยร่างกายที่ยังไม่ตายเพื่อเกิดขึ้นและตั้งอยู่ ซึ่งนี่แสดงถึงว่า จิตใจของเรานั้นเป็นสิ่งปรุงแต่ง ที่ไม่เที่ยง มีสภาวะที่ต้องทน และไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง เป็นต้น
ส่วนการสังเกตสิ่งที่ไม่ปรุงแต่งก็ได้แก่ เมื่อใดที่จิตของเราหยุดการปรุงแต่งให้เกิดกิเลส หรือหยุดการปรุงแต่งให้เกิดอุปาทานว่าจิตใจและร่างกายนี้ว่าเป็นตัวเรา-ของเรา เมื่อนั้นสภาวะของความดับลงของความทุกข์ก็จะปรากฏ และความสงบเย็น (นิพพาน) ของจิตก็จะปรากฏ ซึ่งนี่ก็แสดงว่า ความดับทุกข์หรือนิพพานนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ปรุงแต่ง คือเมื่อเราเอาสิ่งที่มาปรุงแต่งออกไป สิ่งที่ไม่ปรุงแต่งก็จะปรากฏ (เรื่องนี้เราจะได้ศึกษากันโดยละเอียดต่อไป)