สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 54
ตกต่ำที่สุดของเรา ก็คือตอนที่เราต้องรับผิดชอบทุกอย่างภายในบ้านเพียงคนเดียวด้วยเงินเดือนไม่ถึง 15,000 กับชีวิตคนสามคนก็คือ เรา พ่อและแม่ โดยที่เรามีพี่ชายที่เงินเดือนเกือบครึ่งแสนไม่เคยสนใจความเป็นอยู่ของพ่อกับแม่ แต่ก็ยังดีที่เค้ายังช่วยเราออกค่าน้ำค่าไฟของบ้าน พี่ชายเราจะกลับมาบ้านทุกเสาร์อาทิตย์กลับมาแค่ซักผ้าแล้วก็ไปไม่เคยมานั่งพูดคุยกับพ่อแม่เลยในแต่ละครั้งที่กลับมา พอเราเห็นสายตาของเค้าทั้งคู่รู้สึกสงสารจับใจเพราะพี่ชายเราคือลูกที่เค้ารักมากๆ เราเหนื่อยที่ไม่สามารถพาพ่อกับแม่ออกไปเที่ยวได้เหมือนกับลูกคนอื่นๆ แต่ก็พยายามดิ้นรนให้ถึงที่สุด พยายามที่จะไม่ให้เค้าต้องอดยาก ให้เค้ากินได้ครบทุกมื้อ ถึงแม้พี่ชายเราจะไม่เคยสนใจเลย แต่ในควาทุกข์ก็ทำให้เรามีความสุขนะเพราะทำให้เรารู้สึกได้ว่าพ่อกับแม่ของเราทั้งคู่ยังมีชีวิตอยู่ข้างๆเรา
ความคิดเห็นที่ 32
ตกต่ำที่สุดของเราคือเดินไปเรียน(มหาลัย) ไกลประมาณ 5 กิโล และอยู่หอ ไม่มีเงินกินข้าว แม้แต่เงิน 1 บาทจะไปกดน้ำก็ไม่มี ได้แต่กินน้ำก็อกในหอ ไปเรียนก็ไม่มีตังค์กินข้าว เพื่อนก็เลี้ยงข้าวประจำเลย จนมาเจอกับแฟน บ้านแฟนช่วยส่งเสียเรา ก็ผ่านมาด้วยดีจนเรียนจบ....
พอเริ่มทำงาน ที่บ้านแฟนก็เกิดมีปัญหา ติดหนี้นอกระบบ เพราะแม่แฟนแอบไปกู้มาหมุนโดยที่แฟนเราไม่รู้ มารู้อีกทีตอนแม่ไม่กลับบ้าน มีคนมา
ทวงเงินที่บ้าน แฟนต้องขายบ้าน ขายสวน เราใช้เงินเก็บ ขายทอง และกดเงินจากบัตรเครดิตมาใช้หนี้ให้เค้า เพราะรับสภาพไม่ได้ ที่เห็นเค้าโดนพวกทวงเงินยืนล้อมจะทำร้าย แอบใต้แผงที่ตลาดบ้างอะไรบ้าง มายิงปืนขู่หน้าบ้านบ้าง จนตอนนั้นเราติดหนี้บัตรเครดิต(แฟนก็ด้วย) ตกงานอีกต่างหาก แต่ก็เต็มใจช่วยเค้านะคะ เพราะแม่แฟนดีกับเรามาก หากตอนเรียนไม่ได้ครอบครัวของแฟนช่วยเรื่องการเงินก็คงเรียนไม่จบ เราบอกกับแฟนว่าถึงยังไงเราก็ยังมีใบปริญญา เรามีความรู้ความสามารถ เราสร้างกันใหม่ได้ หาเงินใช้หนี้ได้ (ประมาณคนละสองแสน) อย่าคิดมาก ปลอบใจกันอยู่อย่างนี้ทุกวัน แฟนเราก็ค่อนข้างจะช็อกไปพักนึง เพราะเป็นลูกคนเดียว ไม่เคยลำบากเลย มีเงินใช้ตลอด เราก็ปลอบใจเค้าตลอดค่ะ
ช่วงเวลาที่เราลำบากเราจะกอดกับแฟน และบอกเค้าเสมอว่าเดี๋ยวมันก็จะผ่านไป....เวลาเจอคนที่กำลังลำบาก ขอทาน เราก็จะให้เงินให้ความช่วยเหลือตลอด ถึงจะมีติดตัวแค่ 20 บาท เราก็ยังจะแบ่งให้เค้า วันไหนไม่มีเงิน แต่ซื้อของกินมาก็จะแบ่งให้ เราคิดว่าส่วนนี้แหละ ที่ทำให้เวลาลำบากเราจะมีหนทางออก มีคนคอยช่วยเหลือเสมอ
ถึงตอนนี้เราก็ยังเป็นหนี้อยู่ค่ะ แต่ที่ดีขึ้นคือ เรามีงานดีๆทำ โอกาสก้าวหน้าเยอะกว่าเดิม มีเงินใช้แบบไม่ค่อยลำบาก ถึงจะมีน้อย ยังไม่พอเก็บ เพราะต้องทยอยใช้หนี้ ก็ไม่เป็นไร เราถือว่าดีมากๆแล้ว ที่ยังมีเงินซื้อข้าวกิน ดีมากๆแล้วที่ยังตื่นขึ้นมามีลมหายใจ ^^
คนที่กำลังลำบาก ขอให้สู้นะคะ อย่าโทษโชคชะตา อย่าโทษตัวเอง ค่อยๆหาทางแก้ค่ะ วันข้างหน้ามันจะดีเองค่ะ
พอเริ่มทำงาน ที่บ้านแฟนก็เกิดมีปัญหา ติดหนี้นอกระบบ เพราะแม่แฟนแอบไปกู้มาหมุนโดยที่แฟนเราไม่รู้ มารู้อีกทีตอนแม่ไม่กลับบ้าน มีคนมา
ทวงเงินที่บ้าน แฟนต้องขายบ้าน ขายสวน เราใช้เงินเก็บ ขายทอง และกดเงินจากบัตรเครดิตมาใช้หนี้ให้เค้า เพราะรับสภาพไม่ได้ ที่เห็นเค้าโดนพวกทวงเงินยืนล้อมจะทำร้าย แอบใต้แผงที่ตลาดบ้างอะไรบ้าง มายิงปืนขู่หน้าบ้านบ้าง จนตอนนั้นเราติดหนี้บัตรเครดิต(แฟนก็ด้วย) ตกงานอีกต่างหาก แต่ก็เต็มใจช่วยเค้านะคะ เพราะแม่แฟนดีกับเรามาก หากตอนเรียนไม่ได้ครอบครัวของแฟนช่วยเรื่องการเงินก็คงเรียนไม่จบ เราบอกกับแฟนว่าถึงยังไงเราก็ยังมีใบปริญญา เรามีความรู้ความสามารถ เราสร้างกันใหม่ได้ หาเงินใช้หนี้ได้ (ประมาณคนละสองแสน) อย่าคิดมาก ปลอบใจกันอยู่อย่างนี้ทุกวัน แฟนเราก็ค่อนข้างจะช็อกไปพักนึง เพราะเป็นลูกคนเดียว ไม่เคยลำบากเลย มีเงินใช้ตลอด เราก็ปลอบใจเค้าตลอดค่ะ
ช่วงเวลาที่เราลำบากเราจะกอดกับแฟน และบอกเค้าเสมอว่าเดี๋ยวมันก็จะผ่านไป....เวลาเจอคนที่กำลังลำบาก ขอทาน เราก็จะให้เงินให้ความช่วยเหลือตลอด ถึงจะมีติดตัวแค่ 20 บาท เราก็ยังจะแบ่งให้เค้า วันไหนไม่มีเงิน แต่ซื้อของกินมาก็จะแบ่งให้ เราคิดว่าส่วนนี้แหละ ที่ทำให้เวลาลำบากเราจะมีหนทางออก มีคนคอยช่วยเหลือเสมอ
ถึงตอนนี้เราก็ยังเป็นหนี้อยู่ค่ะ แต่ที่ดีขึ้นคือ เรามีงานดีๆทำ โอกาสก้าวหน้าเยอะกว่าเดิม มีเงินใช้แบบไม่ค่อยลำบาก ถึงจะมีน้อย ยังไม่พอเก็บ เพราะต้องทยอยใช้หนี้ ก็ไม่เป็นไร เราถือว่าดีมากๆแล้ว ที่ยังมีเงินซื้อข้าวกิน ดีมากๆแล้วที่ยังตื่นขึ้นมามีลมหายใจ ^^
คนที่กำลังลำบาก ขอให้สู้นะคะ อย่าโทษโชคชะตา อย่าโทษตัวเอง ค่อยๆหาทางแก้ค่ะ วันข้างหน้ามันจะดีเองค่ะ
แสดงความคิดเห็น
มาเล่าเรื่องช่วงชีวิตที่ต่ำที่สุดสู่กันฟังค่ะ
ในวันที่เราอายุได้ 16 ปี เราตัดสินใจที่ไปเมืองนอก เพราะเราถือว่าเรามี 2 พาส และมันเป็นโอกาสที่จะได้สร้างอนาคตที่ดีให้ครอบครัว เราไปเมืองนอกกับพ่อ กระเป๋าใบเดียว ไม่มีเงินสักบาทติดตัว เราบอกพ่อเราว่า ไม่ต้องช่วยเพราะแกก็ลำบากอยู่แล้ว อีกอย่างต้องเลี้ยงน้องด้วย เลยให้พ่อนั่งเครื่องมาส่งที่เมืองนอก แกก็เอาเรามาฝากไว้กับป้าแท้ๆ (เราเป็นคนบอกพ่อเองว่าจะมาขออยู่กับแก)
ถึงเวลาที่พ่อต้องกลับไปดูแลน้อง เราก็อยู่กับป้า, สามีเขาและ ลูกชายที่อายุเยอะกว่าเราประมาณ 5 ปี ช่วง4 เดือนแรกเราไปเรียนภาษา (พ่อพูดไทยได้เลยไม่พูดฝรั่งกับเรา เราเลยได้แต่อังกิดจากโรงเรียน) ไอ้ช่วง4 เดือนนี้เราก็ไปทำงานช่วงปิดเทอมในโรงงานแห่งนึง ทำงาน 2 อาทิตย์ เราก็มีตังค์เก็บ 2000 ซึ่งเราดีใจมาก
พอเวลาผ่านไปเราเริ่มสึกว่าที่บ้านป้ามันไม่ใช่ คือสามีป้าเขาเป็นพวกเกลียดคนต่างชาติ เขาจะชอบด่าว่าเรากับแม่เรา หาว่าเราทำเป็นแต่พวกงานขายตัว บลา บลา บลา มีวันนึงเราทะเลาะกับเขาหนักมากจนเราโดนขังไว้ในห้องใต้ดิน ซึ่งเป็นห้องนอนเรา 3 วัน เราไม่ได้กินอะไรเลย แต่ก็ยังดีที่เราชอบซื้อของกินตุนไว้ในบ้าน หลังจาก 3 วันเราโทรให้ลุง (พี่ชายพ่อ) มารับเราไปอยู๋ด้วย วันนั้นเขารู้เรื่องเขาก็รีบมากันเลย เราก็ย้ายไปอยู่กับเขาแล้วไม่สนใจลุงเราอีกเลย (ป้าเราใจดีแต่เขากลัวลุง เขาเลยไม่ทำอะไร)
พอย้ายมาอยู่กับลุงอีกที่ 1 ลุงก็ทำเรื่องให้เราได้เข้าเรียนห้องเดียวกันกับลูกพี่ลูกน้องเรา (ลุงเรามีลูกอยู่แล้ว 5 คน อายุราวๆ 22-10 ณ ตอนนั้น) แรกๆก็ดีอยู่น่ะ จนมาวันนึง สามีของป้าก็มาหาลุงและมาบอกข่าวเรื่องแม่เราว่า แม่เราเป็นโรคเอดส์ เราก็คงเป็นด้วย (ณ ตอนนั้น เรารู้มาตลอดว่าแม่เป็น แต่เป็นหลังจากที่เลิกกับพ่อ) หลังจากที่ครอบครัวลุงทราบข่าว ทุกคนก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ยกเว้นลุงเรา เราไปโรงเรียนไม่มีใครคุยด้วย เดินกลับบ้านคนเดียว (คนอื่นขี่จักรยานหมดเพราะบ้านไกล แต่เราไม่มีเงินเลยต้องเดิน)
ในช่วงเวลานั้นมีคนจากองค์กรต่างๆเริ่มยื่นมือเข้ามาช่วยทั้งเรื่องเรียนและเรื่องเงิน และเราก็ได้รู้จักกับ ผญ ไทยคนนึง และเราก็ได้เลี้ยงลูกชายตัวเล็กเขาเวลาเขาไปทำงาน เพราะเขาก็เพิ่งหย่ากับสามีฝรั่งและย้ายบ้านมาใหม่ เงินทุกบาทเราเก็บไว้หมดเพื่ออนาคต
มีมาวันนึงคนในองค์กรถามเราว่า เราไม่อยากได้จักรยานหรอ เราก็บอกว่าอยากได้แต่ไม่มีเงิน เขาก็บอกเราว่าที่อำเภอมีจักรยานอยู่มากมายที่คนเขาขโมยมาทิ้งไว้หลายปี เราอยากได้คันไหนก็มาเลือกเอาเพียงแต่ให้ลุงเรา ซึ่งเป็นคนดูแลเรามาเซ็นขอจักรยาน ในเย็นวันนั้นเราก็ไปบอกลุงเราเรื่องจักรยาน แต่ภรรยาเขามาได้ยินเข้าก็ทำหน้าไม่ชอบใจใหญ่ และบอกว่าไม่ให้ด้วย เราก็งงๆแต่ก็ช่างเหอะ เราไม่ซีเรียสกับเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว ส่วนเรื่องโรงเรียน เราเป็นคนเรียนเก่งจนครูชมกันหลายคน ทั้งๆที่ภาษาเราไม่เก่ง ช่วงนั้นเรายังได้ทุนไปเรียนกราฟฟิคแต่ภรรยาลุงเขาบอกว่าไม่ให้ทำ ครูก็ช่วยพูดแต่ก็น่ะ
วันนั้นผญไทยคนที่เราเลี้ยงลูกให้ ได้ข่าวเรื่องที่เรามีปัญหาเลยเสนอให้เราไปอยู่กับเขาสักพัก เราเลยตกลงไป และบอกแค่ลุงคนเดียว ส่วนคนอื่นมีเจอบ้างที่โรงเรียนแต่ก็ไม่ได้คุยกัน แถมเรายังโดนล้อว่าเป็นผญหากินอีก ในช่วงเวลานั้นเราก็อายุได้ 17 ปีแล้ว พอได้ย้ายมาอยู่กับ ผญ ไทยคนนี้ได้3 เดือน คนที่องค์กรนึงก็บอกให้เราไปทำ Au-Pair ซึ่งเราจะไปอยู่กับ family ฝรั่ง 1 ปี เลี้ยงลูก ทำงานบ้านให้เขา เราจะได้เงินเดือนต่ำมาก แต่ทางองค์กรจะให้เราไปเรียนอาทิตย์ล่ะครั้ง เราก็ตอบตกลงไป
พอไปเจอครอบครัวเขา เขาอบอุ่นน่ะ ลูกๆเขาก็น่ารัก บ้านหลังใหญ่ เราอยู่กับเขามา 1 ปี เขาก็ช่วยเราเยอะมากเลย เป็นช่วง 1 ปีที่เหนื่อยแต่ยังทำให้เรามีความสุขได้ ในช่วงเวลา 1 ปีนี่แหละที่เราได้คุยกับพ่อ หลังจากที่ไม่ได้คุยกันมาเป็นปี แต่เราก็ไม่ได้เล่าเรื่องต่างๆให้แกฟังหรอก เล่าแค่ว่าทุกอย่างกำลังไปได้ดี
หลังจาก 1 ปี เราก็ 18 ปี และได้เข้าเรียนวิชาชีพเป็นผู้ช่วยหมอฟัน และได้งาน(สำหรับฝึกงาน) ที่ไกลจากเขตที่เราอยู่มาก่อนมาก ซึ่งเรารู้สึกดีใจมากที่จะได้เริ่มต้นชีวิตเดี่ยวๆซะที เวลานั้นเราก็เช่าห้องเล็กอยู่ประมาณ 13 ตารางเมตร เล็กแต่ก็มีความสุขดี เราต้องทั้งเรียนทั้งทำงานอยู่ประมาณ3 ปีถึงจะจบ ปีแรกได้เงินเดือน 550 และต่อปีได้จากองค์กรอีกประมาณ 4000 ซึ่งช่วงนั้นถือว่าลำบากมาาาาาก เพราะแค่ค่าบ้านก็ 450 แล้ว และยังต้องจ่ายค่าน้ำค่าไฟ ค่าครองชีพ ประกัน ค่ารถไฟไปเรียน ไปทำงาน ซึ่งทุกอย่างสำหรับคนที่นี่ต้องจ่ายทุกคน ในเดือนๆนึงเราจะเหลือเงินกินอยู่สัก 100 ตกเป็นเงินไทยก็ประมาณ 3500 บาท และของที่นี่แพงมาก เดี๋ยวต้องซื้อพวกกระดาษชำระ ของใช้ส่วนตัวและอื่นๆ ตกจริงเหลือกินเดือนล่ะ 50 หรือ 1500 บาทนั่นเอง
ช่วงนั้นเราจะซื้อมาม่าแบบกล่องไว้กิน วันไหนเบื่อก็จะกินข้าวกับไข่ต้ม หรือลวกผักอะไรพวกนี้ บางสิ้นเดือนเราเหลือแค่ 30 บาท(เปลี่ยนเป็นเงินไทยแล้ว)สำหรับ 4 วัน เราจำได้เลยว่า มาม่าหมด ข้าวหมด ผักหมด เราเลยเอาเงินนี้ไปซื้อขนมปังมา1 ก้อนและแบ่งกินสำหรับ 4 วัน ตอนนั้นคือกินขนมปังทั้งน้ำตาเลยก็ว่าได้
เมื่อเวลาผ่านไปเป็นปีที่สอง ที่สาม เงินเดือนก็จะเพิ่มขึ้นแต่เงินจากองค์กรก็จะลดลง ก็คือสรุปง่ายๆว่าทั้ง 3 ปี เราอดอยากมากจริงๆ จนเราเรียนจบและได้ใบประกาศนียบัตรเกี่ยวกับอาชีพผู้ช่วยหมอฟัน และยังได้เกียรตินิยมอันดับ 3 ของจังหวัดด้วย วันรับรางวันพ่อกับน้องก็มาจากเมืองไทย ซึ่งเราดีใจมาาาก และหลังจากนั้นเราก็ให้พ่อพาน้องมาอยู่กับเรา เราจะเลี้ยงน้องเอง เพราะเราสามารถทำงานหาเงินเองได้แล้ว และไม่ต้องพึ่งองค์กรใดๆ
นับตั้งแต่นั้นมาทุกๆปีดีขึ้นมาก จนตอนนี้ 10ปีผ่านไป เราได้เรียนต่อและจบอีกระดับนึง จนเงินเดือนเรามีเก็บเดือนล่ะเกือบแสนบาท เราได้ส่งน้องและครอบครัวจนตอนนี้เราไม่ได้ลำบากกันอีกแล้ว เวลาเราเจอกันกับพ่อ เราก็ต่างขำกันเรื่องโชคชะตาในอดีตและเมื่อพูดถึงมันทีไร น้ำตาเราทั้งสามก็ไหลทุกครั้ง คือเราภูมิใจมากกกกกก
ส่วนเรื่องลุงป้าเราก็ไม่ได้ข่าวอีกเลย เห็นมีแต่พ่อพูดว่าลุง (พี่ชายพ่อยังโทรหาพ่อและบอกเสมอว่าเขาภูมิใจในตัวเรามากแค่ไหน)
อ่านเรื่องเราแล้ว ก็ส่งเรื่องคุณมาให้เราอ่านบ้างน่ะ
เราบอกได้คำเดียวว่า ชีวิตต้องสู้ สู้โว้ยๆๆๆๆ
จบ ^_^