มีช่วงหนึ่งปัญหาหมอกควันที่ภาคเหนือเป็นกระแสแรงอยู่ ตอนนี้ยังมีคนสนใจกันอยู่มั้ยคะ มีโมเดลนึงน่าสนใจ ลองอ่านดูค่ะ

"ระเบิดจากข้างใน" จุดเริ่มต้นการแก้ไขปัญหาหมอกควันอย่างยั่งยืน

หลายคน โดยเฉพาะคนในเมืองมักสงสัยว่า ทำไมช่วงหน้าแล้ง คือ ช่วงประมาณเดือน พ.ย. ไปจนถึง เม.ย. ทางเหนือถึงมีปัญหาหมอกควัน โดยเฉพาะจังหวัดท่องเที่ยวสำคัญอย่างจังหวัดเชียงใหม่

จังหวัดเชียงใหม่ตั้งอยู่ในแอ่งหุบเขา ดังนั้นเมื่อมีการเผาเศษวัสดุบนที่สูง พร้อมๆ กัน และมีปริมาณมาก หมอกควันเหล่านี้ก็จะปกคลุมบริเวณแอ่งหุบเขาด้วย ปีที่ผ่านมาเชียงใหม่มีปัญหาหมอกควันปกคลุมหนักถึงขนาดที่ทัศนวิสัยในการบินไม่ดีจนต้องระงับเที่ยวบินไปถึง 4 เที่ยว ส่วนสุขภาพของชาวเมืองเชียงใหม่ก็ย่ำแย่จากสภาพอากาศที่เต็มไปด้วยควันจนประชาชนต้องใส่หน้ากากกันฝุ่นละอองเวลาออกไปไหนมาไหน บางรายหนักหน่อยก็ต้องเข้าโรงพยาบาล

ทำไมต้องเผา?

เวลาที่นั่งรถผ่านพื้นที่การเกษตร หรือบางทีแม้แต่บ้านเรือนก็ตามจะเห็นว่า มีการเผาเศษวัสดุจนควันลอยคลุ้งขึ้นไปบนท้องฟ้า นี่คือ การทำลายเศษวัสดุเหลือใช้ที่ง่ายที่สุดและประหยัดที่สุด ไม้ขีดก้านเดียว จัดการได้ทุกอย่าง เราเคยชินกับวิธีการแบบนี้มานาน คนบนพื้นที่สูงก็เช่นกัน การที่เขาอยู่บนพื้นที่สูงการคมนาคมไม่สะดวก ถ้าจะต้องขนเศษวัสดุทั้งหลายลงมาทิ้งข้างล่าง ต้องเสียค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ สำหรับพวกเขาแล้ว มันไม่คุ้ม “ไม้ขีดก้านเดียว จัดการทุกอย่าง” จึงเป็นทางเลือกที่ราคาถูกและสะดวกที่สุด ยิ่งไปกว่านั้น คนที่นั่นยังมีความเชื่อว่า การเผาจะทำให้เพาะปลูกได้ดี ต้นไม้จะงาม เมื่อเชื่อกันแบบนี้ ใครล่ะ จะไม่เผา ถ้าจะเรียกแบบเท่ๆ ตามสไตล์ NGOs ก็คือ มันคือ วิถีชีวิตของชาวบ้านนั่นเอง

การจะไปบอกให้เขาหยุดเผา มันก็คือ การไปบังคับให้เขาเปลี่ยนวิถีชีวิต เขาจะยอมทำหรือ มันก็เหมือนกับการที่ปกติเรานั่งรถไปทำงานทุกวัน วันหนึ่งมีคนมาบอกว่า รถที่เรานั่งทำให้เกิดมลพิษ คุณอย่านั่งรถเลย คุณขี่จักรยานไปดีกว่า คนที่มาบอกเรา เขามีเหตุผล แต่จะมีสักกี่คนที่ยอมทำตาม ในเมื่อการนั่งรถสะดวกรวดเร็วกว่าการขี่จักรยานเป็นไหนๆ ทุกวันนี้เราก็เห็นปริมาณรถยนต์บนท้องถนนเพิ่มขึ้น ทั้งที่ใครๆ ก็รู้ว่า รถยนต์ก่อให้เกิดมลพิษ

ดังนั้น อย่าไปคิดจะสั่งให้ชาวบ้านทำนั่นทำนี่ ถ้าคุณเองยังไม่เข้าใจและยังไม่สามารถหาทางออกที่ดีกว่าและทำได้จริงให้กับพวกเขาได้

ซีพี. โชคดีที่ได้เจอนักวิชาการในพื้นที่ที่เข้าใจชาวบ้านและมองเห็นเจตนาดีของบริษัท ไม่รังเกียจที่จะทำงานเพื่อสังคมร่วมกับ ซีพี. บริษัทใหญ่ที่แวดวงวิชาการ NGOs หรือแม้กระทั่งคนทั่วไปกาหัวไว้ว่า เป็นตัวร้ายจอมสร้างปัญหา ซีพี. จึงได้มีโอกาสเข้ามามีส่วนช่วยขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมชาวบ้าน

ถึงวันนี้เป็นเวลา 3 ปีแล้วที่ “อาจารย์แซม” หรือ ผศ.ดร. สมเกียรติ  ชัยพิบูลย์ ศูนย์วิจัยเศรษฐศาสตร์และพยากรณ์ทางการเกษตร คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ เป็นหัวเรือใหญ่ในการดำเนินโครงการธรรมชาติปลอดภัย เครือเจริญโภคภัณฑ์ ในแม่แจ่ม อำเภอที่ได้ชื่อว่า มีปัญหาหมอกควันมากที่สุดแห่งหนึ่งของจังหวัดเชียงใหม่

อาจารย์แซมเล่าให้ฟังว่า การทำงานที่นี่ไม่ได้เริ่มจากการเอาสิ่งของมาแจก แต่เริ่มจาก “การระเบิดจากข้างใน”

เราต้องถามชาวบ้านก่อนว่า พวกเขาอยากได้อะไรแล้วเรามาช่วยกันคิดกับชาวบ้านให้ตกผลึกว่า เราจะทำอะไรกันได้บ้างที่จะตอบโจทย์ที่ชาวบ้านต้องการและแก้ปัญหาหมอกควันได้ด้วย

แม้จะมีดอยอินทนนท์เป็นแหล่งที่ให้น้ำได้ตลอดทั้งปี แต่หากขาดการบริหารจัดการ น้ำก็ไม่เพียงพอ “น้ำ” จึงเป็นคำตอบที่ชาวบ้านที่นี่ต้องการ

การพัฒนาแหล่งน้ำจึงเป็นก้าวแรกที่โครงการฯ ได้ดำเนินการในพื้นที่ ชาวบ้านได้ร่วมมือร่วมใจกันสร้าง “บ่อพวง” ให้เป็นแหล่งเก็บกักน้ำเพื่อการเกษตรให้กับชาวบ้าน จนถึงวันนี้มีประมาณ 40 บ่อ รองรับผู้ใช้น้ำได้ประมาณ 300 ครัวเรือน ในพื้นที่บ้านแม่ปาน บ้านดอยสันเกี๋ยง และบ้านใหม่ปูเลย



“ไม่มีน้ำคือ ไม่มีอาชีพ” นี่คือ คำพูดจากปากของชาวบ้าน ดังนั้น เมื่อมีน้ำแล้ว ขั้นต่อมาของโครงการฯ คือ การสร้างอาชีพ ที่ผ่านมาชาวบ้านที่นี่ยึดอาชีพการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เนื่องจากเป็นพืชที่ปลูกง่าย ใช้น้ำน้อย แต่เมื่อวันนี้มีแหล่งเก็บกักน้ำแล้ว ชาวบ้านจึงมีทางเลือกมากขึ้น

เช่นเดียวกัน โครงการฯ ใช้หลักการระเบิดจากข้างใน โดยคิดร่วมกับชาวบ้านว่า อยากจะทำอะไร ซึ่งนำมาสู่การวางแผนระยะสั้นถึงกลางและแผนระยะยาวขึ้นมา

แผนระยะสั้นถึงกลาง คือ การปลูกผัก และการเลี้ยงสุกร เพราะเป็นอาชีพที่ได้เงินเร็วและมีตลาดรองรับ โดยโครงการฯ ได้จัดตั้งวิสาหกิจชุมชนขึ้นมาชื่อว่า กลุ่มวิสาหกิจชุมชนเกษตรธรรมชาติปลอดภัย ซึ่งจะเป็นผู้บริหารจัดการ จัดจำหน่ายผลผลิตของสมาชิก



นอกจากนี้ยังมีการเพาะเห็ดจากตอซังข้าวโพด ซึ่งเป็นการนำเอาองค์ความรู้จากสถาบันการศึกษามาขยายผลช่วยแก้ไขปัญหาการเผาตอซังข้าวโพดได้อย่างเป็นรูปธรรม

ปัจจุบันโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 เป็นศูนย์กลางในการเรียนรู้การเพาะเห็ดจากซังข้าวโพดให้กับชาวบ้าน โดยอยู่ระหว่างการขยายผลโดยร่วมกับคณาจารย์จากมหาวิทยาลัยแม่โจ้ถ่ายทอดความรู้การปั้นก้อนตอซังข้างโพดสำหรับเพาะเห็ดให้กับโรงเรียนใน อ.แม่แจ่มทั้งหมด เพื่อให้แต่ละโรงเรียนนำไปทำต่อ ซึ่งจะช่วยลดปัญหาการกำจัดตอซังข้าวโพดด้วยการเผาลง และในขณะเดียวก็สามารถสร้างรายได้ให้กับชุมชนได้อีกทางหนึ่ง



แผนระยะยาวคือ การเพาะปลูกไม้ผล ไม้ยืนต้นต่างๆ เช่น ลำใย ที่ถือว่าเป็นพระเอก เงาะ และแก้วมังกร เป็นต้น นอกจากอาชีพทางการเกษตรแล้ว ทางกลุ่มวิสาหกิจฯ ก็มีแผนพัฒนาชุมชนเป็น “ชุมชนท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์” อาจารย์แซมมองว่า เป็นการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางของการพัฒนาที่โครงการฯ อยากจะไปให้ถึง ตอนนี้กลุ่มฯ ได้สร้างหอคอยกันไฟไว้และกำลังวางแผนเส้นทางการท่องเที่ยวในอนาคตด้วย



จากสิ่งที่เห็นจริงในโครงการฯ และปากคำของชาวบ้าน ทำให้มองเห็นแสงสว่างของการแก้ปัญหาหมอกควันในภาคเหนืออย่างยั่งยืนด้วยการสร้างอาชีพ เพราะการที่จะทำให้ชาวบ้านงดเผาได้ต้องกลับมาดูที่ต้นเหตุ คือ เรื่องปากท้อง ถ้าแก้ปัญหาปากท้องได้เมื่อไหร่ ชาวบ้านจะเห็นอนาคต และลดการพึ่งพิงป่า เข้าป่า ล่าสัตว์ หาของป่า และการเผาป่า เมื่อถึงวันนั้นธรรมชาติก็จะปลอดภัย ดังความมุ่งหมายที่สะท้อนออกมาในชื่อของโครงการนั่นเอง

ปล. เนื้อหาในบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อแบ่งปันความรู้ เปิดมุมมองใหม่ๆ ในการแก้ไขปัญหาสังคมให้กับผู้ที่สนใจ ดังนั้น ผู้เขียนของดพูดถึงประเด็นขัดแย้งทางสังคมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเจ้าสัว และ CP ในกระทู้นี้ค่ะ ^^

The Side Story
FB: https://www.facebook.com/Dhaninsidestory
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่