ถ้ายังไม่เห็นหิมาลัย อย่างเพิ่งตาย
การเดินทางหากใจรักซะอย่างอะไรก็ไม่อาจขวางกั้น เมื่อคิดได้ดังนั้น มนุษย์แม่ผู้หลงไหลการเดินทาง ก็คิดการใหญ่จะพาแม่อายุเกือบๆ70ปี กับลูกน้อยวัย 8 เดือนไปท่องแดนหิมาลัยซักครั้ง บ๊ะ! คงโกลาหลพิลึก!!
แผนการเดินทางของครอบครัวเราใช้ระยะเวลาทั้งหมด 11 วัน นานไปมั๊ยยย-นาน- ก็กว่าจะมีโอกาสได้ไปอัพเดทข้อมูล ก็ต้องเต็มที่
วันที่ 1. เดินทางจาก กทม.-โกลกาต้า-บักโดกร้า-สิกขิม
วันที่ 2. สบายๆ ปรับระดับน้ำในหู เที่ยววัด ชมเมืองแกงตอก
วันที่ 3. พาเด็กๆขี่จามรีชมทะเลสาปฉางกู-แกงตอก
วันที่ 4. แกงตอก-ลาเชน
วันที่ 5. ลาเชน-หุบเขาชอปต้า-ลาชุง
วันที่ 6. ลาชุง-หุบเขายุมถัง-ซีโร่พ้อยต์-แกงตอก
วันที่ 7. แกงตอก-ดาร์จีลิ่ง
วันที่ 8. ดาร์จีลิ่ง-ซันดักปู
วันที่ 9. ซันดักปู-ดาร์จิลิ่ง กลับที่ตั้ง
วันที่ 10. ขึ้นรถไฟทอยเทรน-เที่ยวชมเมืองดาร์จีลิ่ง ชอปปิ้ง
วันที่ 11. ดาร์จีลิ่ง-สนามบินบักโดกร้า-กรุงเทพ จบทริป
สนใจการเดินทางสอบถามเพิ่มเติมได้ที่เพจ
https://www.facebook.com/เที่ยวสิกขิม-Travel-to-Sikkim-536456396387882 มนุษย์แม่เป็นแอดมินเพจนี้อยู่จ้า
ใช้บริการสายการบินสไปซ์เจ๊ทค่ะ บินจากกรุงเทพ สู่เมืองโกลกาต้า
ต่อเครื่องจากโกลกาต้า โดยสายการบินอินดิโก เกิดความโกลาหลนิดนึง พนักงานถามหาใบเกิดของ ด.ช.ภูผา ตอนเชคอิน เอ๊า รื้อกระเป๋ากันยกใหญ่ ดีนะที่แปลเป็นภาษาอังกฤษและรับรองเอกสารจากสถานฑูตเรียบร้อยแล้ว
มนุษย์แม่ครึ่งหลับครึ่งตื่น มองเห็นไร่ชาอยู่ 2 ข้างทาง แปลว่าเข้าเขตดาร์จีลิ่งแล้วสินะ
จริงๆก็กังวลอยู่ไม่น้อยเหมือนกันนะคะ การพาเด็กทารก กับผู้สูงวัยเดินทางไกล อากาศเย็นจัดๆ อ๊อกซิเจนบางๆ ถ้าเกิดอะไรฉุกเฉินขึ้นมานี่ลำบากแน่นอน บอกเลยค่ะว่าก่อนเดินทาง โชคดีที่ทุกคนแฮปปี้ เราไปถึงเมืองดาร์จีลิ่งช่วงบ่ายๆ(ดี--จะได้รีบไปช๊อป--คิดนะคะ) รถจอดส่งตรงลานสุดถนนชอรัสต้า จากนี้ต้องเดินไปที่โรงแรมเอง แล้วกระเป๋าใบเท่าตู้เย็นพวกนี้ล่ะ ซักพักมีชาวเนปาลี 2-3คน วิ่งกรูเข้ามาประชิด

ด.ช.ภูผากำลังหลับเพลินๆในรถถูกอุ้มออกมา ร้องไห้จ้าเลย
อากาศที่ดาร์จีลิ่งหนาวแบบลมๆ จากจุดที่รถจอดเดินไปอีกประมาณ 10 นาที(ฝ่าฝูงชนซึ่งเยอะมาก) ถึง รร.แมกโนเลีย
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ซันดักปู
ชื่อนี้ได้ยินมานาน เขาว่าเป็นสวรรค์ของนักเดินเขา เป็นจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นยอดเขาสูงทั้ง 5(ถ้าโชคดี) เป็นที่ๆหิมาลัยอยู่ใกล้แค่เอื้อม...มนุษย์แม่นอนมโนอยู่ในห้อง พรุ่งนี้แล้วสินะทุกอย่างจะประจักษ์แก่สายตา

ดาร์จีลิ่งต้อนรับเช้าวันใหม่ด้วยสายหมอกหนาทั่วเมือง เราเก็บสัมภาระทั้งหมดพร้อมสำหรับการเดินทางสู่ซันดักปู ดีปูคนขับของเราจะไปส่งที่คิวรถแลนโรเวอร์ เมืองมานีบานยัง สายหมอกยังยืนหยัดปกคลุมหุบเขาทั้งเมืองอย่างไม่ลดละ ทัศนวิสัยเหมือนจะไม่เป็นใจ เพิ่มความหนาวขึ้นไปอีก

คิวรถขึ้นดอย ชะตากรรมที่มิอาจรู้ กำลังจะเริ่ม 555

วิวที่เราจะได้เจอ(ถ้าโชคดี) ภูเขาหิมะ ก็เหมือนหญิงสาวขี้อายนะคะ ใช่ว่าจะปรากฏให้เห็นกันง่ายๆ

ดูจากแผนที่ระยะทางก็ไม่ไกลนะ

ขนถ่ายสัมภาระมาขึ้นรถจี๊ป พังและเยินหมดเลยค่ะ ฉะนั้น ควรแบ่งสัมภาระเฉาะที่จะใช้ใส่กระเป๋าเล็กๆไป ส่วนสัมภาระหลักๆฝากไว้ที่โรงแรมนะคะ แต่มนุษย์แม่ต้องหอบไปทุกอย่างค่ะ เผื่อเหลือเผื่อขาด
ก่อนขึ้นซันดักปู ต้องลงทะเบียน เนื่องจากซันดักปูเป็นพรมแดนอินเดีย-เนปาล และต้องเดินทางพร้อมไกด์นะคะไม่ว่าจะเทรคกิ้ง หรือขึ้นรถ ตลอดเส้นทางจะมีจุดตรวจเป็นระยะ ถ้าพบว่าเดินทางเอง จะถูกปฏิเสธให้เดินทางต่อทันทีค่ะ
ทางขึ้นกิโลเมตรต้นๆดูดีมากเลย รถไต่ระับความสูงและหักศอกซ้ายขวา ตลอดเวลา สมาชิกทุกคนยังสบายดี
แต่แล้ว เส้นทางที่ราบเรียบ กลับกลายเป็นขรุขระขั้นรุนแรง และเรื้อรัง เอ้ยนี่อยู่ซันดักปู หรือลานหินปุ่มวะเนี่ย ลูกชายเริ่มร้องไห้งอแง หัวฟัดหัวเหวี่ยง มือนึงหาที่ยึดเกาะ มือนึงอุ้มลูก สงสารภูผามากเลย ตากำลังจะหลับแต่หลับไม่ได้เพราะหัวเหวี่ยงตลอด มนุษย์แม่เริ่มเครียด
ผ่านไป 1 ชม. รถจอดที่ร้านค้า พวกเรารีบเข้าไปหาไปอุ่นจากเตาผิงภายในร้าน แต่กลิ่นควัน และกลิ่นน้ำมันแรงมาก เลยต้องออกปะทะสายหมอกที่ไม่ยอมสลายตัว กินมาม่าใส่ไข่ต้มสำหรับมื้อเที่ยง แล้วออกเดินทางต่อ ภูผาเริ่มปรับตัวได้และหลับไปในที่สุด
จะพบนักดินเขาทั้งชาวต่างชาติ และชาวอินเดีย ตลอดเส้นทาง
ยิ่งอยากให้ถึงจุดหมาย เวลายิ่งเชื่องช้าขึ้นไปอีก โอ้ยยย เมื่อไหร่จะถึงเนี่ย มองไม่เห็นอะไรเลย มีแต่สายหมอก
---5ชม.ผ่านไป ไม่ได้นับว่าขึ้นลงเขามากี่ลูก แต่พอแหงนมองบนฟ้าก็พบว่าไม่เห็นยอดเขาอื่นใดอีกแล้ว จะถึงแล้วสิ และแล้วรถก็ขึ้นไปจอดที่หน้าโรงแรม
มนุษย์แม่ รีบอุ้ม ด.ช.ภูผาเข้าไปด้านใน คือมันหนาวมาก ลมแรงมากเพราะอยู่บนยอดเขา รับลมไปเต็มๆ และสายหมอกยังหนาตัวไม่เสื่อมคลาย
ที่พักของเราคืนนี้
เดี๋ยวมาเล่าต่อค่ะ
[CR] มนุษย์แม่ท่องโลก ซันดักปู วู้วฮู้ว ขอ 3 คำ
ถ้ายังไม่เห็นหิมาลัย อย่างเพิ่งตาย
การเดินทางหากใจรักซะอย่างอะไรก็ไม่อาจขวางกั้น เมื่อคิดได้ดังนั้น มนุษย์แม่ผู้หลงไหลการเดินทาง ก็คิดการใหญ่จะพาแม่อายุเกือบๆ70ปี กับลูกน้อยวัย 8 เดือนไปท่องแดนหิมาลัยซักครั้ง บ๊ะ! คงโกลาหลพิลึก!!
แผนการเดินทางของครอบครัวเราใช้ระยะเวลาทั้งหมด 11 วัน นานไปมั๊ยยย-นาน- ก็กว่าจะมีโอกาสได้ไปอัพเดทข้อมูล ก็ต้องเต็มที่
วันที่ 1. เดินทางจาก กทม.-โกลกาต้า-บักโดกร้า-สิกขิม
วันที่ 2. สบายๆ ปรับระดับน้ำในหู เที่ยววัด ชมเมืองแกงตอก
วันที่ 3. พาเด็กๆขี่จามรีชมทะเลสาปฉางกู-แกงตอก
วันที่ 4. แกงตอก-ลาเชน
วันที่ 5. ลาเชน-หุบเขาชอปต้า-ลาชุง
วันที่ 6. ลาชุง-หุบเขายุมถัง-ซีโร่พ้อยต์-แกงตอก
วันที่ 7. แกงตอก-ดาร์จีลิ่ง
วันที่ 8. ดาร์จีลิ่ง-ซันดักปู
วันที่ 9. ซันดักปู-ดาร์จิลิ่ง กลับที่ตั้ง
วันที่ 10. ขึ้นรถไฟทอยเทรน-เที่ยวชมเมืองดาร์จีลิ่ง ชอปปิ้ง
วันที่ 11. ดาร์จีลิ่ง-สนามบินบักโดกร้า-กรุงเทพ จบทริป
สนใจการเดินทางสอบถามเพิ่มเติมได้ที่เพจ https://www.facebook.com/เที่ยวสิกขิม-Travel-to-Sikkim-536456396387882 มนุษย์แม่เป็นแอดมินเพจนี้อยู่จ้า
ใช้บริการสายการบินสไปซ์เจ๊ทค่ะ บินจากกรุงเทพ สู่เมืองโกลกาต้า
ต่อเครื่องจากโกลกาต้า โดยสายการบินอินดิโก เกิดความโกลาหลนิดนึง พนักงานถามหาใบเกิดของ ด.ช.ภูผา ตอนเชคอิน เอ๊า รื้อกระเป๋ากันยกใหญ่ ดีนะที่แปลเป็นภาษาอังกฤษและรับรองเอกสารจากสถานฑูตเรียบร้อยแล้ว
มนุษย์แม่ครึ่งหลับครึ่งตื่น มองเห็นไร่ชาอยู่ 2 ข้างทาง แปลว่าเข้าเขตดาร์จีลิ่งแล้วสินะ
จริงๆก็กังวลอยู่ไม่น้อยเหมือนกันนะคะ การพาเด็กทารก กับผู้สูงวัยเดินทางไกล อากาศเย็นจัดๆ อ๊อกซิเจนบางๆ ถ้าเกิดอะไรฉุกเฉินขึ้นมานี่ลำบากแน่นอน บอกเลยค่ะว่าก่อนเดินทาง โชคดีที่ทุกคนแฮปปี้ เราไปถึงเมืองดาร์จีลิ่งช่วงบ่ายๆ(ดี--จะได้รีบไปช๊อป--คิดนะคะ) รถจอดส่งตรงลานสุดถนนชอรัสต้า จากนี้ต้องเดินไปที่โรงแรมเอง แล้วกระเป๋าใบเท่าตู้เย็นพวกนี้ล่ะ ซักพักมีชาวเนปาลี 2-3คน วิ่งกรูเข้ามาประชิด
ด.ช.ภูผากำลังหลับเพลินๆในรถถูกอุ้มออกมา ร้องไห้จ้าเลย
อากาศที่ดาร์จีลิ่งหนาวแบบลมๆ จากจุดที่รถจอดเดินไปอีกประมาณ 10 นาที(ฝ่าฝูงชนซึ่งเยอะมาก) ถึง รร.แมกโนเลีย
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ซันดักปู
ชื่อนี้ได้ยินมานาน เขาว่าเป็นสวรรค์ของนักเดินเขา เป็นจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นยอดเขาสูงทั้ง 5(ถ้าโชคดี) เป็นที่ๆหิมาลัยอยู่ใกล้แค่เอื้อม...มนุษย์แม่นอนมโนอยู่ในห้อง พรุ่งนี้แล้วสินะทุกอย่างจะประจักษ์แก่สายตา
ดาร์จีลิ่งต้อนรับเช้าวันใหม่ด้วยสายหมอกหนาทั่วเมือง เราเก็บสัมภาระทั้งหมดพร้อมสำหรับการเดินทางสู่ซันดักปู ดีปูคนขับของเราจะไปส่งที่คิวรถแลนโรเวอร์ เมืองมานีบานยัง สายหมอกยังยืนหยัดปกคลุมหุบเขาทั้งเมืองอย่างไม่ลดละ ทัศนวิสัยเหมือนจะไม่เป็นใจ เพิ่มความหนาวขึ้นไปอีก
คิวรถขึ้นดอย ชะตากรรมที่มิอาจรู้ กำลังจะเริ่ม 555
วิวที่เราจะได้เจอ(ถ้าโชคดี) ภูเขาหิมะ ก็เหมือนหญิงสาวขี้อายนะคะ ใช่ว่าจะปรากฏให้เห็นกันง่ายๆ
ดูจากแผนที่ระยะทางก็ไม่ไกลนะ
ขนถ่ายสัมภาระมาขึ้นรถจี๊ป พังและเยินหมดเลยค่ะ ฉะนั้น ควรแบ่งสัมภาระเฉาะที่จะใช้ใส่กระเป๋าเล็กๆไป ส่วนสัมภาระหลักๆฝากไว้ที่โรงแรมนะคะ แต่มนุษย์แม่ต้องหอบไปทุกอย่างค่ะ เผื่อเหลือเผื่อขาด
ก่อนขึ้นซันดักปู ต้องลงทะเบียน เนื่องจากซันดักปูเป็นพรมแดนอินเดีย-เนปาล และต้องเดินทางพร้อมไกด์นะคะไม่ว่าจะเทรคกิ้ง หรือขึ้นรถ ตลอดเส้นทางจะมีจุดตรวจเป็นระยะ ถ้าพบว่าเดินทางเอง จะถูกปฏิเสธให้เดินทางต่อทันทีค่ะ
ทางขึ้นกิโลเมตรต้นๆดูดีมากเลย รถไต่ระับความสูงและหักศอกซ้ายขวา ตลอดเวลา สมาชิกทุกคนยังสบายดี
แต่แล้ว เส้นทางที่ราบเรียบ กลับกลายเป็นขรุขระขั้นรุนแรง และเรื้อรัง เอ้ยนี่อยู่ซันดักปู หรือลานหินปุ่มวะเนี่ย ลูกชายเริ่มร้องไห้งอแง หัวฟัดหัวเหวี่ยง มือนึงหาที่ยึดเกาะ มือนึงอุ้มลูก สงสารภูผามากเลย ตากำลังจะหลับแต่หลับไม่ได้เพราะหัวเหวี่ยงตลอด มนุษย์แม่เริ่มเครียด
ผ่านไป 1 ชม. รถจอดที่ร้านค้า พวกเรารีบเข้าไปหาไปอุ่นจากเตาผิงภายในร้าน แต่กลิ่นควัน และกลิ่นน้ำมันแรงมาก เลยต้องออกปะทะสายหมอกที่ไม่ยอมสลายตัว กินมาม่าใส่ไข่ต้มสำหรับมื้อเที่ยง แล้วออกเดินทางต่อ ภูผาเริ่มปรับตัวได้และหลับไปในที่สุด
จะพบนักดินเขาทั้งชาวต่างชาติ และชาวอินเดีย ตลอดเส้นทาง
ยิ่งอยากให้ถึงจุดหมาย เวลายิ่งเชื่องช้าขึ้นไปอีก โอ้ยยย เมื่อไหร่จะถึงเนี่ย มองไม่เห็นอะไรเลย มีแต่สายหมอก
---5ชม.ผ่านไป ไม่ได้นับว่าขึ้นลงเขามากี่ลูก แต่พอแหงนมองบนฟ้าก็พบว่าไม่เห็นยอดเขาอื่นใดอีกแล้ว จะถึงแล้วสิ และแล้วรถก็ขึ้นไปจอดที่หน้าโรงแรม
มนุษย์แม่ รีบอุ้ม ด.ช.ภูผาเข้าไปด้านใน คือมันหนาวมาก ลมแรงมากเพราะอยู่บนยอดเขา รับลมไปเต็มๆ และสายหมอกยังหนาตัวไม่เสื่อมคลาย
ที่พักของเราคืนนี้
เดี๋ยวมาเล่าต่อค่ะ