[CR] เบญจเพสกับเนื้องอกในมดลูก และผ่าตัดในญี่ปุ่น (สาวๆควรไปตรวจ)

เพิ่งเห็นว่าเป็นกระทู้แนะนำด้วย ขอบคุณค่ะ อยากให้ทุกคนไปตรวจกันนะคะ

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
**ภาพเอมอาร์ไอ แสดงลักษณะเนื้องอกของ จขทก (วงสีแดง)

สวัสดีค่ะ วันนี้อยากจะมาแชร์ประสบการณ์ และอยากให้สาวๆ ไปตรวจเช็คสุขภาพกัน ถ้าตรวจแล้วไม่เจอก็ดีไป ถ้าเจอตอนเร็วหน่อยก็ไม่ต้องผ่าตัดค่ะ
เรื่องของเราคือ วัยเบญจเพส 25 ปี ที่คนส่วนใหญ่คิดว่า แหม มันจะต้องเป็นคราวเคราะห์ เม่าอุ้มห่าน
(จขทก ก็ไม่เชื่อในตอนแรก) เท้าความ จขทก มาทำงานอยู่ที่ญี่ปุ่นได้ประมาณปีนึงพอดีค่ะ เรียนจบแล้วก็มาทำงานที่นี่เลย

จนมีช่วงนึง ที่รู้สึกว่าเราปวดท้องประจำเดือนมากกว่าปกติ (ปกติปวดนิดๆหน่อยๆ) และรู้สึกว่าส่องกระจก หุ่นนี่เหมือนคนท้องสามเดือนได้ คืออ้วนแค่จุดเดียวตรงหน้าท้องส่วนล่างค่ะ เราเลยรู้สึกว่า เห้ยย มันไม่ปกติละ ประจวบเหมาะกับมีวันหยุดยาวโกลเด้นวีคที่เราจะได้กลับมาเยี่ยมบ้านที่ไทย เราก็เลยถือโอกาสนั้นกลับมาตรวจซะเลย ทั้งที่ไม่เคยตรวจ หรือไม่คิดจะตรวจมาก่อน เพราะคิดว่าคนที่ควรไปตรวจคือรุ่นๆแม่เรา แต่งงานแล้ว มีบุตรแล้ว อะไรแบบนี้ค่ะ

เราก็เลยไปตรวจที่โรงพยาบาลเอกชนที่เป็นสูตินารีแพทย์ใกล้บ้าน ในจังหวัดเล็กๆ บ้านเกิดเรา เราขอไม่ตรวจภายใน ขออัลตร้าซาวน์หน้าท้องอย่างเดียว (เขินหมอ) หมอก็โอเคค่ะ ค่าใช้จ่ายราวๆ 8 ร้อยบาท
พอภาพขึ้นจอปุ๊บ หมอพูดเลยว่า “ไม่ดีแล้วล่ะ หมอคิดว่า  (ขยับๆกล้อง) คุณมีเนื้องอกในมดลูก ขนาดใหญ่ทีเดียว” ตอนนั้นช็อคมาก แบบเห้ยยยย อะไร นี่เราอายุ 25 ยังไม่ได้แต่งงานมีลูก งงมาก “หมอคิดว่าคุณต้องผ่าตัด นี่เป็นเนื้องอกในกล้ามเนื้อมดลูก แบบที่มันสวมอยู่ข้างใน ขนาดน่าจะราวๆ 11 เซนติเมตร” จากนั้นหมอก็แคปภาพและปริ้นให้เราค่ะ แล้วก็นั่งคุยกัน ว่าสาเหตุมันมาจากอะไร คุยไปคุยมา หมอคิดว่าอาจจะเพราะมดลูกเราไวต่อฮอร์โมน และดูจากขนาด มันน่าจะโตมาได้สักปีนึงแล้ว เป็นช่วงที่เราเลิกกินนมวัว แล้วมากินนมถั่วเหลืองแทน (เราก็ไม่แน่ใจว่าสาเหตุมาจากตรงนี้จริงมั้ย แต่ดูจากเปเปอร์เห็นว่าสาเหตุที่แน่ชัดก็ยังไม่เคลียร์)

“หมอคิดว่า มันยากที่จะเก็บมดลูกไว้ และเนื้อมดลูกมันหายไป ต่อให้ผ่าเก็บมดลูกไว้ มดลูกก็พัง อนาคตมีลูกอาจจะมดลูกปริได้ หลายๆคนที่รักษากับหมอก็ขอให้ตัดมดลูกทิ้งไปพร้อมเนื้องอก” พอหมอพูดจบตรงนั้นเราใจเสียมาก คือเราจะต้องตัดมดลูกทิ้ง? หรือมีลูกไม่ได้? “ถ้าคุณต้องการเก็บมดลูกไว้ คงต้องไปผ่าที่รพ เอกชนในกรุงเทพ ค่าใช้จ่ายก็เป็นแสนค่ะ ลำพังรพรัฐเค้าคงไม่เก็บให้ ตัดทิ้งอย่างเดียว” เรารับฟังอย่างนั้นก็พยายามทำใจเย็นๆ ค่อยๆคิด ก็ขอบคุณคุณหมอ และก็กลับมาบ้านคุยกับพ่อแม่ค่ะ

หาข้อมูลเพิ่มเติม เนื้องอกนี้จะไม่ใช่เนื้อร้าย ดังนั้นเราสามารถรออีกหน่อยได้ ก็เลยค่อยๆคิดดู ณ จุดนั้น วันหยุดก็จบลง เราก็บินกลับมาที่ญี่ปุ่น เพื่อกลับมาทำงาน


หลังจากหาข้อมูลที่ญี่ปุ่น อีกหนทางการรักษาที่เราคิดคือ หรือจะผ่าตัดที่ญี่ปุ่นดี? เพราะมันคงจะง่ายกับการฟอลโลว์อาการต่างๆ หรือมีเคสฉุกเฉิน ก็หาข้อมูลดูพบว่าผู้หญิงญี่ปุ่นก็เป็นเนื้องอกมดลูกเยอะเหมือนกัน เราก็เสิร์ชหาหมอที่มีฝีมือ เฉพาะทางที่อยู่ใกล้บ้าน ตอนแรกดูที่โรงพยาบาลของมหาวิทยาลัยแพทย์โอซาก้า (อาจารย์หมอจะฝีมือดีมากค่ะ) แต่โรงพยาบาลมันค่อนข้างไกลเราและเดินทางลำบาก เราเลยเจอโรงพยาบาลคลินิกพิเศษ เอกชน สำหรับผู้หญิง (สูตินารีเวช ฝากครรภ์ โรคของผู้หญิง) ในเมืองที่เราอยู่เลย เดินจากบ้านสามนาที -..- คุณหมอเจ้าของโรงพยาบาลก็เป็นอาจารย์หมออยู่วิทยาแพทย์โอซาก้า และที่สำคัญ เปิดวันเสาร์ จขทกก็จะสามารถมารพ ได้โดยที่ไม่ต้องลางานบ่อยๆ อาจจะลาบางเสาร์เพราะจขทกทำงานหกวัน


หลังจากพบหมอที่ญี่ปุ่น อัลตร้าซาวน์ ตรวจมะเร็งปากมดลูกด้วย หมอก็ให้ความเห็นว่า เนื้องอกนี่ไม่ใช่เนื้อร้าย กลมสวยงาม และพูดคุยกันถึงแผนการการรักษา หมอถามว่า เราจะแต่งงานปีหน้า ต้องการที่จะมีลูกเลยมั้ย ตอนนั้นเดือน พค. 58 เราก็บอกว่า น่าจะอีกสักปีสองปีให้หลังถึงคิดจะมีลูก ตอนนี้ยังไม่พร้อม หมอเลยเสนอว่า เนื้องอกนี้ ถึงเราจะตัดมันออกไป มันก็มีโอกาสที่จะกลับมาได้อีก ซึ่งถ้าเราผ่าตอนนี้เลย ก็อาจจะมีแนวโน้มว่ามันจะกลับมาก่อนที่เราจะตั้งครรภ์ หรือระหว่างตั้งครรภ์ ซึ่งตอนนั้นมันจะอันตรายกับเด็ก และตอนนี้เรามีอาการปวดประจำเดือนมาก หมอเสนอให้ฉีดยาเพื่อลดขนาดเนื้องอก และลดอาการปวดประจำเดือน โดยยานี้จะฉีดหกเดือน เดือนละเข็ม จะทำให้เราไม่มีประจำเดือน และเนื้องอกฝ่อลง การผ่าตัดหลังจากนั้นเราจะเสียเลือดน้อยกว่าด้วย และเรื่องมีลูกนี่คือ มีได้แน่นอน สบายใจเถอะ เรื่องมดลูกปรินี่ ไม่เคยได้เจอในรายงานหมอเลย และถ้าตอนนั้นเราตั้งครรภ์ หมอจะดูแลเคสเราจนคลอดเลย ไม่ต้องเป็นห่วง

ก็เป็นไปตามนั้นเราก็โอเคกับคำแนะนำของคุณหมอ จากนั้นเราก็ไปทำเอมอาร์ไอ อีกที่หนึ่ง (มีใบส่งตัวไปค่ะ เนื่องจากโรงพยาบาลเล็กจะไม่มีเครื่อง เราเลยต้องไปตรวจผลเอมอาร์ไออีกที่หนึ่งและเขาจะส่งผลมาให้คุณหมอสองสามวันให้หลัง)

นัดครั้งถัดมา ก็มีผลเอมอาร์ไอเรียบร้อย
ปรากฏว่า เนื้องอกไม่ได้มีก้อนเดียว แต่มีก้อนน้อยๆ อีกก้อนนึงแอบอยู่ ที่มองไม่เห็นตอนอัลตร้าซาวน์ ถึงตอนนี้เราก็ตัดสินใจรักษาตามกระบวนการนี้ คือฉีดยาเดือนละเข็ม
เข็มสุดท้ายคือเดือน ตุลาคม และตรวจอีกครั้ง เนื้องอกขนาดลดลงเหลือ 8 ซม จากนั้นก็นัดวันผ่าตัดค่ะ 19 พย. ผ่าเปิดหน้าท้อง โดยเราจะต้องนอนรพ 7 วัน และพักฟื้นที่บ้านอีก 7 วันจึงจะกลับไปทำงานได้ (ตอนนี้ก็อยู่ระหว่างพักฟื้น)

----------- ตัดสินใจบอกที่ทำงาน และบอกเพื่อนๆ -------------
หลังจากที่ตรวจเจอ เราก็บอกเพื่อนๆผู้หญิงที่เราสนิท ว่าเราเจอเนื้องอกนะ ถ้าแกรู้สึกปวดท้อง หรือยังไง ควรจะไปเช็คดู เพราะอายุอย่างเราๆก็มีสิทธิ์ที่จะเจอแล้ว ถ้าตรวจแล้วไม่เจอก็ดีไป ถ้าเจอตอนเนื้องอกเล็กๆ ก็ไม่ต้องผ่าตัด การตรวจมันไม่ได้น่ากลัว ไม่ต้องอายหมอค่ะ
และเราก็บอกเจ้านายว่า เราเจอเนื้องอกนะ ทุกคนก็ตกใจ เพราะเราแข็งแรงมากกกกกกกก ทำงานก็แข็งแกร่ง 55555 บอสก็ให้กำลังใจอยู่เรื่อยๆ ตอนแรกเราก็กะว่าจะผ่าตอนที่ออฟฟิศไม่ยุ่งมาก บอสก็บอกไม่เป็นไรๆ เอาตามที่หมอว่าเถอะ ไม่ต้องห่วงเรื่องงาน


------------- ผ่าตัดเนื้องอกที่ญี่ปุ่น --------------
หลังจากนัดวันผ่าตัด ถึงจุดนี้ หนึ่งวันก่อนผ่าตัด คุณแม่ของแฟนเราก็มาจากต่างจังหวัด (คนญี่ปุ่น) มาช่วยเราไปซื้อของนู่นนี่ เพราะ รพ ญี่ปุ่น เราจะต้องนำข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวมาเอง เช่น ชุดนอน รองเท้าแตะสำหรับใส่ในห้อง ผ้าขนหนู โฟมล้างหน้า สบู่แชมพู (กรณีที่ไม่อยากใช้แชมพูโรงพยาบาล) และอยู่เป็นเพื่อนจนถึงวันผ่าตัด


คืนก่อนการผ่าตัด จะต้องงดน้ำงดอาหารตั้งแต่เที่ยงคืน และแปดโมงเช้าก็ให้ไปถึงโรงพยาบาลแล้ว หมอก็จะทำการตรวจเลือด ความดัน คลื่นหัวใจ เข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย เปลี่ยนชุดเป็นชุดคนไข้สำหรับผ่าตัด แล้วก็เสียบสายน้ำเกลือที่แขน และนั่งรอที่ห้องพัก (ห้องดูดีมากกกกก ไม่เหมือนรพเลย เล็กก็จริงแต่ตกแต่งสวยงามมาก มีทีวี ดีวีดี ตู้เย็น และอินเตอร์เน็ทให้ใช้ค่ะ)


หมอและพยาบาลพูดภาษาอังกฤษได้น้อยมากกกกกกกกกกก แต่เค้าก็จะใช้ภาษาญี่ปุ่นที่ไม่ยากมากค่ะ เลยสื่อสารกันได้ หลังจากคุยกับคุณหมอที่ทำการผ่าตัด ว่าจะผ่าแนวขวางเป็นขอบบิกินี ประมาณคืบนึง และให้เซ็นเอกสารต่างๆ จากนั้น คุณหมอที่เป็นหมอรมยาก็เข้ามาพูดคุยด้วย ว่าเราจะทำการบล็อกหลัง จากนั้นจะวางยาสลบ คุณจะหลับไปและไม่รู้เรื่องนะ ตอนบล็อกหลังจะเจ็บเล็กน้อย (หึหึ น้ำตาแทบร่วง) การผ่าตัดจะเริ่ม 10โมง และเสร็จไม่เกินเที่ยง



จากนั้นก็ร่ำลาแฟนและแม่แฟน ว่าเดี๋ยวเจอกันนะ ละเราก็เข้าไปในห้องผ่าตัดกับพยาบาล
เป็นครั้งแรกที่ผ่าตัดเลย ขึ้นนอนบนเตียง ทำตัวคู้ๆ ขดๆ หมอบอก จะบล็อกหลังแล้วนะ จะเจ็บนิดนึงนะ เอาละนะ ปั่กกกกกก (- -)””””” อิไตๆๆๆๆๆๆๆ เจ็บมากกกกกกกก เม่าตาสว่าง  ละหมอก็ฉีดยาเข้าไปในไขสันหลัง จากนั้นก็กลับมานอนหงาย และหมอก็ฉีดยาเข้าไปที่สายน้ำเกลือ และมีหน้ากากมาครอบจมูก

“นี่นะ ไม่ต้องเป็นห่วงนะ เดี๋ยวเดียวก็เสร็จ หมอจะผ่าสองก้อนนั้นออกมา และถ้าเจอก้อนอื่นๆ หมอก็จะแซะออกให้ด้วย” หมอยิ้ม หัวเราะโฮะๆ คุณหมอน่าจะอายุราวๆ 50-60 ได้มั้ง

พยักหน้ากับหมอเหมือนจะเข้าใจ ลืมตาปริบๆ มองไฟผ่าตัดได้สักนาที
แล้วก็เหมือนตัดไปแบบไม่รู้เรื่อง รู้อีกทีพยาบาลเหมือนตบๆหน้า “เสร็จแล้วค่ะ จะย้ายไปที่ห้องพักนะคะ” แล้วก็รู้สึกถูกยกและเข็นมาที่เตียง ละเราก็มองๆดูหมอคุยกับแฟนเราละเราก็หลับบบบบบบบบ

หลับๆตื่นๆอยู่สักพัก คอแห้งมาก แต่ก็ยังทานอะไรไม่ได้ อยากดื่มน้ำมาก ก็รอไปวันนึงเต็มๆ ระหว่างนั้นแค่นอนเฉยๆบนเตียง โรงพยาบาลให้แฟนนอนเฝ้าได้ มีเตียงพับให้ (ปกติรพ.ในญี่ปุ่นญาตินอนเฝ้าไม่ได้นะคะ) ทั้งคืนพยาบาลก็จะมาวัดไข้และความดันเป็นระยะๆค่ะ

คุณหมอถ่ายภาพระหว่างผ่าตัดมาให้ด้วย ค่อนข้างชัดเจน ขออนุญาตใส่สปอยล์ ถ้าไม่อยากดูกดข้ามนะคะมันค่อนข้างน่ากลัว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

วันที่สอง บ่ายๆ พยาบาลมาเอาสายฉี่ออก และบอกว่า ต้องลุกไปเข้าห้องน้ำเองแล้วนะ ต้องพยายามเดินมากๆ ตอนลุกครั้งแรกนี่เจ็บปวดมาก แบบอ๊ากกกก ไรเนี่ยย และเราก็ต้องหยิบขวดยาที่เชื่อมกับไขสันหลังเรามาคล้องคอด้วย สายยาสายน้ำเกลือที่แขนด้วย ก็ค่อยๆลุกเดินบ้าง เอนนั่งบ้าง เตียงปรับระดับก็ช่วยเราได้มากค่ะ
มื้อเช้ามื้อแรกเป็นข้าวต้มกับปลา อร่อยมาก
(มื้อถัดๆไปเด็ดกว่า)


อาหารกลางวัน ข้าวผัดปู ทุกมื้อจะมีผลไม้ และสลัดด้วย (แฟนเราก็ฟาดเรียบเลยเมล่อน)

อาหารเย็น ญี่ปุ่นบ้าง จีนบ้าง ฝรั่งบ้าง



อาหารเช้าหลังจากวันผ่าตัดก็จะแนวๆนี้ ไม่ได้ทานข้าวต้มแล้ว


เม่าหอยทาก
อาหารที่รพ.คือหน้าตาน่าทานมากกกกกกกกกก ครบหมู่ รสอ่อนแบบอาหารคนไข้ค่ะ แต่ก็อร่อย ปกติเราจะท้องผูก นี่อยู่โรงพยาบาลขับถ่ายดีมาก 55555

วันที่สาม เราสามารถไปอาบน้ำได้แล้ว โดยห้องอาบน้ำอยู่ชั้นสาม เราอยู่ชั้นสอง ก็ค่อยๆเดินไปขึ้นลิฟต์ จะมีบัตรคิวอาบน้ำให้คนละครึ่งชั่วโมงทุกๆวัน ของเราเวลา 11.30-12.00 น ค่ะ ห้องอาบน้ำจะแบ่งโซนเปียกแห้ง ค่อนข้างกว้าง ในโซนอาบน้ำจะมีเก้าอี้วางให้เรานั่งอาบได้ โซนแห้งก็สำหรับแต่งตัว เช็ดตัว มีเซ็ตครีมบำรุงผิวของรพ ด้วย เพราะตอนนี้หนาวแล้ว ถ้าไม่ทาครีมก็จะแห้งมากก
ละเราก็เป็นหวัดลงคอ ไอทีนี่ปวดร้าวแผลมาก น้ำตาจะไหล หมอไม่จ่ายยาแก้ไอด้วย ให้หายเอง
แขนจะต้องติดเข็มให้น้ำเกลือไว้ พยาบาลจะมาให้ยาทางสายทุกวันช่วงบ่ายและก่อนนอน


ประมาณวันที่ 4-5 แผลเราก็เบาปวด วันที่ 5 ก็ถอดสายน้ำเกลือและสายที่ติดกับหลังออก เปลี่ยนมาทานยาเม็ดค่ะ พอไม่มีสายพวกนี้เราดีใจมาก ขยับค่อนข้างสะดวก ช่วงนั้นจะตรงกับวันหยุด แฟนเราก็เช่าดีวีดีมานั่งดูเป็นเพื่อนบ้าง เช่าการ์ตูนมานั่งอ่านบ้าง แต่ถ้าวันทำงานก็จะมาตอนเที่ยงกับหลังเลิกงานละกลับไปนอนบ้านค่ะ เราไม่ได้ให้มาเฝ้าเพราะมันนอนไม่สบาย จากนั้นเพื่อนและเจ้านายก็มาเยี่ยม ทุกๆวันเราจะต้องออกไปเดินๆในตึก เพื่อให้แผลไม่เป็นพังผืดค่ะ บนชั้นสามก็มีสวนเล็กๆ
ชื่อสินค้า:   โรงพยาบาลในญี่ปุ่น
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่