คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 7
มาแสดงความเห็นใจครับ
ผมเคยเจอเรื่องแบบนี้มาเหมือนกันครับ ผมเคยไปเรียนแลกเปลี่ยนมาหนึ่งปี รู้สึกชอบชีวิตช่วงนั้นมาก
พอกลับมาที่ไทยก็เกิดอาการ Reverse Culture Shock ถึงจะพยายามเปิดใจ แต่มันก็คิดถึงช่วงชีวิตตอนนั้นอยู่ดี
และอาการจะหนักเป็นพิเศษเมื่อมีเรื่องไม่สบอารมณ์ต่างๆเข้ามาในชีวิจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัว หรือเรื่องปัญหาสังคมโดยรวม
ถึงจะเอาเรื่องไปปรึกษาใครก็ไม่ได้ผลนัก เพราะมักจะได้ความเห็นทำนองเดียวกันว่า "ไปเรียนกับไปอยู่มันไม่เหมือนกัน" ทำให้จิตตกมากขึ้นไปอีก
แต่ก็ยังดีที่มีเพื่อนจากต่างประเทศแวะมาเที่ยวที่ไทยบ้าง เลยช่วยให้คลายความคิดถึงลงไปบ้างครับ
ท้ายที่สุดผมก็พยายามสอบชิงทุนการศึกษาไปเรียนต่อโทที่ประเทศนั้นได้สำเร็จ (แม้ว่าจะไม่ได้อยู่เมืองเดียวกันกับที่เคยไปเรียนแลกเปลี่ยนก็ตาม)
นับจากตอนที่กลับมาจากเรียนแลกเปลี่ยนก็นับเป็นเวลาสองปีพอดี พอเรียนโทจบก็หางานทำต่อจนถึงวันนี้ ปัจจุบันอยู่มาได้สองปีเศษแล้วครับ
ถึงชีวิตเรียนโทและการทำงานมันจะไม่ได้ง่าย สบายเหมือนตอนไปเรียนแลกเปลี่ยน แต่โดยรวมแล้วก็พึงพอใจกับการได้กลับมาที่ต่างประเทศครับ
การไปเรียนแลกเปลี่ยนนี้มีข้อดีมากๆอยู่อย่างหนึ่งก็คือ เราจะได้เจอสิ่งที่ดีสิ่งที่ชอบก่อน ที่จะเจอเรื่องยากๆและเรื่องที่ไม่ชอบ ของการไปอยู่ต่างประเทศ (ซึ่งต่างจากพวกไปเรียนโท หรือไปทำงานเลยตังแต่แรก ที่มีภารกิจใหญ่มาให้ทำตลอด และอาจยุ่งมากจนไม่มีเวลาไปแสวงหาสิ่งที่ตัวเองชอบ) และความชอบนี่ล่ะครับ จะช่วยให้เราสามารถรับความยากลำบากจากการไปเรียนต่อโทหรือการทำงานที่ต่างประเทศได้
คำแนะนำ
ให้ลองหาทุนไปเรียนต่อต่างประเทศดูครับ ถึงทุนไปต่อต่างประเทศ ป ตรีนั้นจะน้อย แข่งขันกันสูงมาก
แต่ถ้า จขกท. สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยไทยที่ดังๆได้ ก็จะมีทุนแลกเปลี่ยนไปต่างประเทศ 1 ปีมาให้สอบกันครับ
ยกตัวอย่างเช่นที่จุฬาฯ ก็จะมีสำนักวิรัชกิจ ออกมาประกาศโครงการแลกเปลียนเป็นระยะๆครับ
http://www.inter.chula.ac.th/
ผมเคยเจอเรื่องแบบนี้มาเหมือนกันครับ ผมเคยไปเรียนแลกเปลี่ยนมาหนึ่งปี รู้สึกชอบชีวิตช่วงนั้นมาก
พอกลับมาที่ไทยก็เกิดอาการ Reverse Culture Shock ถึงจะพยายามเปิดใจ แต่มันก็คิดถึงช่วงชีวิตตอนนั้นอยู่ดี
และอาการจะหนักเป็นพิเศษเมื่อมีเรื่องไม่สบอารมณ์ต่างๆเข้ามาในชีวิจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัว หรือเรื่องปัญหาสังคมโดยรวม
ถึงจะเอาเรื่องไปปรึกษาใครก็ไม่ได้ผลนัก เพราะมักจะได้ความเห็นทำนองเดียวกันว่า "ไปเรียนกับไปอยู่มันไม่เหมือนกัน" ทำให้จิตตกมากขึ้นไปอีก
แต่ก็ยังดีที่มีเพื่อนจากต่างประเทศแวะมาเที่ยวที่ไทยบ้าง เลยช่วยให้คลายความคิดถึงลงไปบ้างครับ
ท้ายที่สุดผมก็พยายามสอบชิงทุนการศึกษาไปเรียนต่อโทที่ประเทศนั้นได้สำเร็จ (แม้ว่าจะไม่ได้อยู่เมืองเดียวกันกับที่เคยไปเรียนแลกเปลี่ยนก็ตาม)
นับจากตอนที่กลับมาจากเรียนแลกเปลี่ยนก็นับเป็นเวลาสองปีพอดี พอเรียนโทจบก็หางานทำต่อจนถึงวันนี้ ปัจจุบันอยู่มาได้สองปีเศษแล้วครับ
ถึงชีวิตเรียนโทและการทำงานมันจะไม่ได้ง่าย สบายเหมือนตอนไปเรียนแลกเปลี่ยน แต่โดยรวมแล้วก็พึงพอใจกับการได้กลับมาที่ต่างประเทศครับ
การไปเรียนแลกเปลี่ยนนี้มีข้อดีมากๆอยู่อย่างหนึ่งก็คือ เราจะได้เจอสิ่งที่ดีสิ่งที่ชอบก่อน ที่จะเจอเรื่องยากๆและเรื่องที่ไม่ชอบ ของการไปอยู่ต่างประเทศ (ซึ่งต่างจากพวกไปเรียนโท หรือไปทำงานเลยตังแต่แรก ที่มีภารกิจใหญ่มาให้ทำตลอด และอาจยุ่งมากจนไม่มีเวลาไปแสวงหาสิ่งที่ตัวเองชอบ) และความชอบนี่ล่ะครับ จะช่วยให้เราสามารถรับความยากลำบากจากการไปเรียนต่อโทหรือการทำงานที่ต่างประเทศได้
คำแนะนำ
ให้ลองหาทุนไปเรียนต่อต่างประเทศดูครับ ถึงทุนไปต่อต่างประเทศ ป ตรีนั้นจะน้อย แข่งขันกันสูงมาก
แต่ถ้า จขกท. สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยไทยที่ดังๆได้ ก็จะมีทุนแลกเปลี่ยนไปต่างประเทศ 1 ปีมาให้สอบกันครับ
ยกตัวอย่างเช่นที่จุฬาฯ ก็จะมีสำนักวิรัชกิจ ออกมาประกาศโครงการแลกเปลียนเป็นระยะๆครับ
http://www.inter.chula.ac.th/
แสดงความคิดเห็น
Reverse Culture Shock อาการค่อนข้างหนักค่ะ
มันจะมีช่วงหนึ่งที่รู้สึกโอเคขึ้นมาก แต่เราก็ไม่รู้ว่าอาการนี้มันกลับมาอีกครั้งตอนไหน ขอท้าวความก่อนนะคะว่า ตอนที่เราไปอยู่ที่ต่างประเทศช่วงแรกๆ
เราปรับตัวไม่ค่อยได้ แต่ตอนนั้นเราปล่อยใจให้รับวัฒนธรรมมาเต็มๆเลยค่ะ เรามีเพื่อนเยอะมาก ตอนที่เรากลับมา ทุกคนร้องไห้กับเราด้วย ทั้งโฮสและ
เพื่อนๆ โดยที่เราไม่เคยคาดคิดเลยว่าจะมีคนหลายๆคนเสียใจกับการที่เราจากที่นั่นไป...
เราไปแลกเปลี่ยนตอน ม.6 กลับมาเราต้องซ้ำชั้นค่ะ เราไม่ได้เรียนกับเพื่อนๆของเราอีกต่อไป เราเรียนกับน้องๆซึ่งเราก็รู้จักน้องๆก่อนที่จะไปอยู่แล้ว
เราใช้ชีวิตที่โรงเรียนและที่บ้านตามปกติค่ะ เราเป็นเด็กร่าเริง เรามีกลุ่มเพื่อนใหม่ และทุกคนก็ดีกับเรามากๆ ภายนอกเราดูปกติ ไม่มีปัญหาอะไรค่ะ
แต่เรารู้จักตัวเราดีมากกว่าใคร ตอนก่อนที่จะไปต่างประเทศ และตอนที่อยู่ต่างประเทศ เราร่าเริงมากกว่านี้ เราชอบสังสรรค์ เราชอบพูดคุย
แต่ปัจจุบัน เราไม่ค่อยไปไหน เรียนเสร็จเรากลับบ้านทันที เราชอบอยู่คนเดียว แม้กระทั่งที่บ้าน เราเก็บตัวมาก แต่ก็ยังคุยกับพ่อกับแม่ตามปกตินะคะ
เรารู้สึกเป็นคนแปลกหน้ากับที่นี่ เราไม่พอใจหลายๆอย่างที่นี่ แต่เราเก็บเอาไว้ เราไม่อยากทำอะไรเลย ไม่อยากคุยกับใคร ไม่แคร์ใคร ไม่สนใจใคร
เรารู้สึกหดหู่มากๆในหลายๆครั้ง วันๆหนึ่งเราเอาแต่อ่านหนังสือ เพื่อที่จะกลับไปเรียนต่อที่นั่นอีกครั้ง เรากลัว กลัวว่าจะอยู่อย่างไรถ้าเรากลับไปไม่ได้
เราเศร้าลึกๆ ในใจ จนบ้างครั้งก็ร้องไห้ออกมา เรามีความสุขทุกครั้งที่ได้สไกป์กับเพื่อนๆที่นั่น. เมื่อก่อนเราเป็นคนมองโลกในแง่บวกเสมอ
เป็นคนที่พูดให้กำลังใจเพื่อนๆหลายคน แต่ตอนนี้เรามีอคติ เราคิดลบกับคนในประเทศตัวเอง คิดลบกับคนรอบข้าง คิดว่าทำไมมันไม่เป็นแบบนั้นนะ
ไม่เป็นแบบนี้นะ แต่เราไม่เคยพูดอะไรออกมานะคะ เราปล่อยไปเรื่อยๆ ช่างมันไปตลอด อยู่อย่างเงียบๆดีกว่า
หลายๆครั้งเราก็ลืมตัวคิดว่าตัวเองเป็นคนที่ประเทศนั้นค่ะ
เราเคยเล่าให้เพื่อนบางคนฟังบ้างเรื่องพวกนี้ นิดๆหน่อยๆ เขาก็จะหาว่าเรากระแดะบ้าง อยู่มาตั้งแต่เกิด ทำเป็นรับไม่ได้ เราเลยไม่กล้าพูดกับใครอีกเลย
จนมันเก็บกดค่ะ เราเหนื่อยมาก เราเกิดการเปรียบเทียบในหลายอย่างๆ ระหว่างที่นั่นกับที่นี่ อย่างเช่น ถ้าอยู่ประเทศไทย เพื่อนๆก็จะพูดเล่นๆว่า
"ทำผมทรงอะไรเนี่ย อย่างกับไม้ถูพื้น" "เสิร์ฟวอลเล่บอลให้มันดิ มันรับไม่ได้หรอก" "จะสอบติดหรอ" แต่ที่นู่น ทำอะไรนิดหน่อยก็โดนชมจนเขินแล้วค่ะ
หรือแม้แต่การตรงต่อเวลา เพื่อนที่นี่มากันสายเป็น ชม. และก็การที่คนไทยบางคน เล่นไปซะทุกเรื่อง ไม่จริงจังสักอย่าง
เราไม่รู้ว่าเราตึงเกินไปไหม เครียดเกินไปหรือเปล่า เรากล้าพูดค่ะ เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้เราคนแบบไหน เราสับสนในวัฒนธรรมมาก
เราเคยอ่านตามประทู้ใน'เน็ตว่าให้ลองเปิดใจ ลองยอมรับวัฒนธรรมเราดู แต่ใจเราดื้อค่ะ เราไม่สามารถยอมรับกับนิสัยบางอย่างที่ไม่ดีของคนที่นี่ได้
เราขอโทษนะคะ มันจะแรงไปนิดหนึ่ง แต่เรายอมรับมันไม่ได้จริงๆค่ะ เราไม่อยากยอมรับมัน เราไม่สามารถยอมรับในเรื่องที่คนที่นี่มีแต่คนคิดลบกับตัวเองและคนรอบข้าง(เราก็เป็นอยู่ค่ะ) การล้ำเส้นความเป็นส่วนตัวของคนอื่น หรือแม้แต่ค่านิยมผิดๆ แต่เรื่องดีๆ อย่างการเป็นมิตร เราก็เปิดใจรับมันเข้ามานะคะ
แต่ปัญหาตอนนี้คือ เราหุดหู่มากค่ะ เราเครียดในหลายๆเรื่อง เราคิดถึงที่นั่น เราไม่เคยต้องมาเครียดแบบตอนนี้เลย เรารู้สึกแย่มากๆในทุกๆวัน
เราไม่อยากอยู่ที่นี่ ขอโทษที่พูดตรงนะคะ เราไม่อยากทำอะไรเลย เราเบื่อ เรารำคาญ เราหงุดหงิดง่าย แต่เก็บไว้ เราเบื่อโรงเรียนมากๆ
เรารู้สึกว่าการใช้ชีวิตที่นั่นมันมีความสุขมากกว่า มันเข้ากับเรามากกว่า อยากทำอะไรก็ทำ ไม่มีใครมายุ่งวุ่นวาย อยู่ที่นี่พูดไรนิดหน่อยก็รู้ทั้งห้องแล้วค่ะ
โฮสทำให้เรารู้สึกถึงครอบครัวที่อบอุ่นจริงๆ เพื่อนๆที่นั่นทำให้เรารู้สึกถึงคำว่าเพื่อนแท้ คำว่ากำลังใจ ที่เราหาไม่เคยได้สัมผัส
อย่าด่าแรงนะคะ ตอนนี้สับสนและเครียดมากจริงๆค่ะ