ดิฉันเรียนอยู่มหาลัยปี 2 ที่ต่างจังหวัดค่ะ ใช้เวลา 2 ชม.ในการกลับบ้าน คือเรียนถึง4 วัน วันจันทร์-วันพุธ และวันเสาร์อีกวัน มีวันหยุด 2 วันค่ะ คือปกติเวลากลับบ้านจะกลับวันพฤหัสค่ะ จึงไม่ทันวันพุธซึ่งเป็นวันลอยกระทง แม่จึงไปลอยกระทงกับพ่อค่ะ ระหว่างนำกระทงไปลอยน้ำแม่บอกกระทงพ่อคว้ำ ซึ่งแม่ก็ตกใจบอกพ่อว่ามันอาจเป็นลางไม่ดี พ่อบอกไม่เป็นไร ท่านเป็นคนไม่คิดไรมาก และพอวันพฤหัสดิฉันกลับมาบ้าน ช่วงเวลานั้นมีงานองค์พระปฐมเจดีย์ ดิฉันจึงอยากไปเดิน ก็รอไปเดินช่วงเย็นกับพ่อและแม่ ค่ะ คือช่วงเวลานั้นพ่อปกติมาก พ่อดูแข็งแรง ท่านยังถ่ายรูปคู่กับดิฉันอยู่เลย พอกลับมาบ้าน พ่อก็ยังปกติ และก็ต่างคนต่างไปนอนอ่ะค่ะ พ่อนอนคนละห้องกับพวกดิฉัน ดิฉันนอนกับแม่แล้วก็ยายอ่ะค่ะ พอมาวันรุ่งขึ้น แม่สงสัยพ่อทำไมตื่นสาย เพราะปกติพ่อตื่นตี 5 ทุกวัน แม่จึงไปดู แม่ได้ยินเสียงพ่อเรียก แม่จึงรีบวิ่งเข้าไปดู และตะโกนเรียกฉันเสียงดัง ดิฉันตื่นด้วยความตกใจจึงรีบวิ่งไปดู ปรากฏว่าพ่อนอนอ่อนแรงอยู่บนเตียงอ่ะค่ะซีกซ้ายพ่อขยับไม่ได้เลยทั้งมือและขา ดิฉันพยายามช่วยแม่พยุง แต่ก็ไม่ไหวจึงโทรตามญาติมาช่วย ตอนแรกดิฉันคิดว่าพ่อไม่น่าเป็นอะไร เพราะก็เคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้กับยายมาแล้ว แล้วก็พายายไปหาหมอ หมอบอกยายความดันสูง จึงให้ยายอยู่โรงพยาบาลรอดูอาการกับหมอ อาทิตย์เดียวยายก็กลับมาเป็นปกติ. หนูคิดว่าพ่อน่าจะมีอาการแบบนั้น ดิฉันโทรตามญาติของพ่อ และพอมาถึงรพ.นครปฐม ดิฉันก็บอกคุณหมอว่าพ่อน่าจะเป็นโครเรตเตอรอลสูง. เพราะพ่อมีโรคประจำตัว 2 อย่างคือ โคเรสเตอรอลสูงและโรคเก๋า คุณหมอเลยบอกว่าให้ดิฉันไปรอข้างนอก เพราะจะพาพ่อไปเอกซเรย์สมอง ปรากฏว่าผลตรวจออกมา พ่อเส้นเลือดในสมองแตก ดิฉันและแม่ช็อคมาก. แม่ถามพ่อจะกลับมาเป็นปกติไหม คุณหมอบอกว่า ต้องรอดูอาการคนไข้ ถึงจะหายก็อาจจะเป็นอัมพาต ตอนนี้ต้องพาเข้าห้องไอซียูก่อน ระหว่างนั้นคือดิฉันแม่แล้วก็ญาติรอนานมาก สักพักบุรุษพยาบาลก็มาเรียกบอกให้ตามพ่อไปที่ห้องไอซียู คือตอนนั้นเขาพาพอเข้าไปในห้องไอซียูแล้ว ส่วนญาติๆให้รออยู่ข้างนอก สักพักคุณหมอก็เดินออกมาแล้วบอกให้ทำใจ เพราะเลือดในสมองไม่มีทีท่าว่าจะหยุดไหล จึงทำการผ่าตัดไม่ได้ ถ้าผ่าตัดอาจถึงแก้ชีวิต ตอนนี้คุณหมอจึงให้ก๊าซออกซิเจน และให้ยาลดอาการบวมของสมอง. และต้องรอดูอาการว่าเลือดจะหยุดไหลไหม คือตอนที่ดิฉันแม่และญาติได้ยิน. ดิฉันช็อคมากไม่คิดว่าเรื่องจะกลายมาเป็นแบบนี้คือเมื่อวานพ่อยังดีๆอยู่เลย ทำไมตอนนี้พ่อกลายมาเป็นแบบนี้ ดิฉันร้องไห้เป็นเด็กๆเลย ญาติฝั่งพ่อบอกให้ดิฉันกับแม่กับไปอาบน้ำทานข้าวก่อน ดิฉันจึงกลับไปก่อนห่วงพ่อก็ห่วงห่วงแม่ก็ห่วง ดิฉันจึงกลับกันก่อนและมาใหม่ในช่วงเย็น ตอนแรกคือโทหาพยาบาลพยาบาลบอกอาการคุณพ่อเหมือนจะดีขึ้นคือความดันดันลดลง ชีพจรเต้นเยอะขึ้น แต่พอดิฉันไปถึงอาการของคุณพ่อกลับทรุดลงชีพจรลดลง คุณหมอบอกพ่อเค้าโอกาสที่จะฟื้นน้อยมาก ดูอาการแล้วเลือดในสมองคงจะไม่หยุดไหล โอกาสเสียชีวิตมีสูง อาจจะไม่รอดคืนนี้ ดิฉันน้ำตาไหลออกมาแบบไม่มีเสียงเลย แม่ก็บอกให้ปาฏิหารย์ช่วยพ่อให้กลับมาให้เลือดหนุดไหล แข็งตัว ขอให้อาการดีขึ้น ดิฉันก็ขอพรพระพุธเหมือนกัน แต่ก็หมดเวลาเยี่ยม 1 ทุ่มครึ่ง ดิฉันจึงต้องกลับมาบ้านกับคุณแม่ พยาบาลบอกจะโทบอกช่วงเช้า ดิฉันนอนไม่หละบเลยคืนนั้น พอมาช่วงเช้าตอน6 โมงพยาบาลโทรมาว้าให้ไปดูใจพ่อก่อน ตอนนี้ชีพจรท่านเหลือแค่ 20 ตอนนั้นดิฉันกับคุณแม่กำลังเตรียมเอกสารของคนป่วยยุ ดิฉันกับคุณแม่ยุติการหา และนีบมาโรงพยาบาลทันที แต่ก็สายไปแล้วเครื่องทุกอย่างที่อยู่รอบตัวพ่อกลายเป็นสายดำสนิท พร้อมกับการเต้นของหัวใจของพ่อที่นิ่งสนิท ตอนนั้นดิฉันกับคุณแม่ใจจะขาด พ่อทิ้งดิฉันกะบคุณแม่ไปแล้ว ไปอย่างไม่มีวันกลับ ไปตอนที่ไม่มีใคตรอยู่ดูใจครั้งสุดท้าย หน้าพ่อเหมือนคนหลับคุณหมอบอกว่าพ่อไปสบายแล้วถือว่าท่านมีบุญไม่ต้องมาเจ็บปวด ดิฉันทำใจไม่ได้เมื่อวานก่อนพ่อยังเดินยังกินข้าวกับดิฉันกับแม่อยู่เลยทำไมพ่อไปไว้อย่างนี้ อีกอย่างจะถึงวันพ่อแล้ว ทำไมพ่อไปไวอย่างนี้ อีก. 2 ปีจะคว้าใบปริญญามาให้พ่อได้แล้ว ทำไมพ่อไปไวแบบนี้ล่ะค่ะ ดิฉันพยายามทำใจและพนมมือไหว้ตรงเท้าของพ่อบอกพ่อไม่ต้องห่วง ขอให้พ่อไปสบาย หนูจะคว้าใบปริญญามาไหว้พ่อ จะดูแลแม่ ขอให้ไปสู่สุขคติน่ะพ่อน่ะ และหลังจากนั้นก็ทำเรื่องศพของพ่อซึ่งดิฉันเสียใจที่ไม่สามารถอยู่รดน้ำศพพ่อได้ เนื่องจากต้องกลับไปสอบที่มหาลัย ตอนที่รถตู้ออกจากท่าใจของดิฉันจะขาด ดิฉันอยากอยู่กับพ่อนานๆ พ่อจะเผาวันที่ 3 นี่แล้ว. ดิฉันบอกดิฉันจะรีบกลับมาหาพ่อน่ะ แม่ก็บอกไม่ต้องห่วงตั้งใจสอบน่ะลูก พ่อจะไเ้สบายใจ ดิฉันพยายามตั้งใจอ่านหนังสือสอบ แต่ภาพของพ่อจะติดตาดิฉันตลอด ดิฉันควรทำยังไงดีค่ะ ดิฉันรู้ส่าต้องรีบสอบรีบกลับไปหาพ่อ ดิฉันควรจะทำใจยังไงดีค่ะ ดิฉันทำใจไม่ได้พ่อไม่อยู่แล้ว. ดิฉันพยายามเข้มแข็งแต่ทำไม่ได้จิง ใจดิฉันจะขาดอยู่แล้ว
พ่อเพิ่งเสีย ท่านเสียในช่วงเวลาสอบพอดี ควรทำใจยังไงค่ะ