http://www.komchadluek.net/detail/20151127/217569.html
ถอดรหัสขอนแก่นโมเดล2
ขอนแก่นโมเดล...ชื่อนี้กลับมาสู่วงจรข่าวอีกครั้ง เมื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยอมรับว่า มีการควบคุมตัวผู้ที่เตรียมก่อการปั่นป่วนงานปั่นเพื่อพ่อได้ที่ จ.ขอนแก่น ซึ่งมีเขียนข้อความด้วยลายมือและมีการส่งผ่านแอพพลิเคชั่นไลน์ด้วย
พล.อ.ประวิตร ย้ำเพิ่มเติมว่า คนกลุ่มนี้มีแผนจะมาสร้างสถานการณ์ที่กรุงเทพฯ
สืบเนื่องจากตัวละครที่ถูกทางทหารคุมตัวมาซักถามคือ “คนหน้าเดิม” ในคดีขอนแก่นโมเดล
ตัวละครรายนี้ให้การต่อเจ้าหน้าที่ทหารว่า มีการเตรียมการวางแผนสร้างความปั่นป่วนจริง โดยวางแผนเตรียมการที่ประทุษร้ายบุคคลสำคัญทางการเมือง 2 คน
สอดคล้องกับการตรวจสอบพยานหลักฐาน ที่อยู่กับอดีตตำรวจตระเวนชายแดนนายนี้ โดยสนทนาผ่านไปยังผู้เกี่ยวข้องทางแอพพลิเคชั่นไลน์ และสมุดบันทึกที่เขียนด้วยลายมือของเขา
แหล่งข่าวกล่าวว่า ฝ่ายความมั่นคงที่ติดตามความเคลื่อนไหวของกลุ่มเห็นต่างทางการเมือง ได้เห็นข้อความที่โพสต์ผ่านทางเฟซบุ๊ก ข้อความว่า “ให้ติดตามวันซ้อมกิจกรรมปั่นเพื่อพ่อว่าจะมีการลอบทำร้ายบุคคลสำคัญของประเทศ” โดยไม่ได้ระบุชื่อว่าเป็นใคร
เมื่อฝ่ายความมั่นคงตรวจสอบพบว่า บุคคลที่โพสต์ข้อความนั้น เป็นผู้ต้องหาคดีความมั่นคงขอนแก่นโมเดลที่ผ่านมาซึ่งถูกจับกุมและได้รับการประกันตัวออกมา
จากคำให้การดังกล่าว คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จึงได้มอบหมายให้ พล.ต.วิจารณ์ จดแตง หัวหน้าฝ่ายกฎหมายของ คสช. เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปรามให้ดำเนินคดีกับกลุ่มคนดังกล่าว ในความผิดร้ายแรงในคดีความผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 ซึ่งมีโทษจำคุกอย่างสูงเกิน 3 ปี และทางพนักงานสอบสวนกองบังคับการกองปราบปราม จึงได้ยื่นคำร้องขอออกหมายจับต่อศาลทหารกรุงเทพฯ
บุคคลที่ถูกออกหมายจับนั้น ประกอบด้วย จ.ส.ต.ประธิน จันทร์เกศ และ พิษณุ พรหมสร
สำหรับ จ.ส.ต.ประธิน จันทร์เกศ นั้นคือ จำเลยคนที่ 1 ในคดีขอนแก่นโมเดลที่โด่งดังหลังการรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557
ถ้ายังจำได้ วันที่ 24 พฤษภาคม 2557 กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยของกองทัพภาคที่ 2 ได้เข้าจับกุมกลุ่มคนเสื้อแดงในนาม “กองทัพปราบกบฏ” ที่เตรียมวางแผนก่อเหตุในพื้นที่ จ.ขอนแก่น ได้ผู้ต้องหารวม 26 คน พร้อมอาวุธและเครื่องกระสุน ที่ชลพฤกษ์อพาร์ตเมนต์ ต.บ้านเป็ด อ.เมือง จ.ขอนแก่น
ปฏิบัติการก่อเหตุร้ายของกลุ่มคนเสื้อแดงครั้งนั้น ทางกองทัพภาคที่ 2 เรียกว่า “ขอนแก่นโมเดล”
แกนนำสำคัญในปฏิบัติการขอนแก่นโมเดล มีอยู่ 2 คน คือ มีชัย ม่วงมนตรี ชาว อ.จังหาร จ.ร้อยเอ็ด แกนนำกองทัพปราบกบฏที่เคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องในพื้นที่อีสานกลาง กับ จ.ส.ต.ประธิน ตำรวจตระเวนชายแดนที่ลาออกมาทำงานเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยของธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคอีสาน
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ กอ.รมน.ภาค 2 จับกุมกลุ่มแดงฮาร์ดคอร์ได้ 22 ราย และจับกุมเพิ่มเติ่มอีก 4 คน รวมเป็น 26 คน
ส่วนอาวุธที่ตรวจค้นพบในแหล่งซ่องสุมของแดงฮาร์ดคอร์ เช่น ระเบิดขว้าง 3 ลูก, ระเบิดควัน 1 ลูก, ขวาน 1 เล่ม เครื่องกระสุนปืนขนาด 9 มม. จำนวน 161 นัด, กระสุนปืนขนาด 11 มม. จำนวน 73 นัด, อาวุธพกขนาด 9 มม. 1 กระบอก กระสุนปืน 9 มม. จำนวน 8 นัด ถังแก๊ส 1 ถัง และเสื้อเกราะอ่อน 1 ตัว
รายงานข่าวจากหน่วยงานความมั่นคงระบุว่า “แผนขอนแก่นโมเดล” แบ่งเป็น 4 ขั้นตอนคือ 1.ระดมมวลชนให้มากที่สุด 2.เจรจาปลดอาวุธเจ้าหน้าที่ 3.เจรจาเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร 4.ทำลายสถาบันการเงินและนำเงินมาแจกจ่ายให้ประชาชน “ทั่วปฐพีหนี้เป็นศูนย์”
ขณะนี้คดีขอนแก่นโมเดลยังอยู่ในการพิจารณาของศาลทหาร แต่ช่วงหลัง ศาลทหารได้อนุญาตให้ประกันตัวผู้ต้องหาในคดีดังกล่าว
ผู้ต้องหาคนอื่นๆ ต่างกลับไปใช้ชีวิตตามปกติ
แต่ “จ.ส.ต.ประธิน” ยังไม่ยอมเลิกล้มแนวคิดแบบ “แดงฮาร์ดคอร์” จึงคิดวางแผนก่อการร้ายในเมือง ร่วมกับ พิษณุ พรหมสร ผู้ต้องหาในคดีมาตรา 112 ซึ่งหลบหนีออกจากประเทศไทยไปตั้งแต่ปี 2552
“แอนดี้” หรือ พิษณุ พรหมสร ชาวเชียงใหม่ ปรากฏตัวในกลุ่มคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ ตั้งแต่ปี 2550 จึงสนิทชิดเชื้อกับสุชาติ นาคบางไทร ผู้ก่อตั้งกลุ่มคนวันเสาร์ฯ
ระหว่างปี 2550-2552 นักเคลื่อนไหวต้านรัฐประหาร ที่สนามหลวง ถือว่าเป็นกลุ่มคนหัวรุนแรง ต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์ และเป็นบ่อเกิด “แดงฮาร์ดคอร์” ที่นิยมการใช้ความรุนแรงในเวลาต่อมา
กลุ่มฮาร์ดคอร์สนามหลวง ได้ยกระดับเป็น “กองกำลังติดอาวุธ” หรือ “หน่วยจรยุทธ์” คอยก่อกวนการชุมนุมของคนเสื้อเหลืองในปี 2551
ปี 2552 พิษณุกับสุชาติ นาคบางไทร ถูกออกหมายจับคดี 112 จึงหลบหนีเข้าไปอยู่ในลาว แต่ภายหลังสุชาติข้ามโขงกลับมาทำมาหากินในภาคอีสาน และยอมให้เจ้าหน้าที่จับกุม
“แอนดี้” พิษณุ ยังใช้ชีวิตอยู่ในต่างประเทศ และจัดรายการวิทยุออนไลน์ ร่วมกับ ชูพงศ์ ถี่ถ้วน แกนนำ นปก.รุ่น 2 ที่หนีไปอยู่ต่างแดนเช่นเดียวกัน
มีข้อน่าสังเกตบรรดา “ฮาร์ดคอร์” ที่หนีไปอยู่ต่างประเทศ มักจะปลุกระดมให้คนเสื้อแดงในประเทศต่อสู้แบบ “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” และไม่จำกัดอยู่แค่การต่อสู้แนวสันติวิธี
ขณะที่ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล นักวิชาการประวัติศาสตร์ ได้พูดถึง “กองกำลังติดอาวุธ” ในขบวนการคนเสื้อแดงอยู่บ่อยๆ
“กลุ่มคนเสื้อแดงจำนวนมากไม่เคยยอมเผชิญกับความจริง คือ เรื่องการใช้อาวุธในหมู่กลุ่มคนเสื้อแดงส่วนหนึ่งตลอดช่วงการชุมนุมของ กปปส. เมื่อทุกฝ่ายพร้อมจะเผชิญความจริง อีกฝ่ายพร้อมจะยอมรับให้จัดการความผิดของการรัฐประหารยึดอำนาจจึงจะสามารถนำมาอภิปรายกันเต็มที่ได้
“อยากจะเสนอให้คิดแบบสามัญสำนึกง่ายๆ ว่าการใช้อาวุธในขณะมีรัฐบาลที่กลุ่มคนเสื้อแดงเชียร์อยู่ในอำนาจมีแต่ทำให้รัฐบาลเสีย พวกตัวเองเป็นรัฐบาล ใช้อาวุธ คนที่แย่คือรัฐบาลที่คุมสถานการณ์ไม่ได้ มีคนเจ็บคนตายอยู่ตลอดเวลา และเป็นข้ออ้างอย่างดีให้ทหารเข้ายึดอำนาจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังคงเอามาอ้างจนทุกวันนี้”
ข้อมูลทำนองนี้ แกนนำ นปช.จะปฏิเสธเสียงแข็ง และไม่ยอมรับการมีอยู่จริงของกองกำลังติดอาวุธ
จากการจับกุม “แดงฮาร์ดคอร์” หรือ
ขอนแก่นโมเดลภาค 2 สะท้อนว่า แนวคิดการต่อสู้ใต้ดิน ยังดำรงอยู่ในหมู่คนเสื้อแดงที่เชื่อมั่นในแนวทางพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน
@@@มุมกาแฟ NONแดง(มุมนี้ไม่มีใครเป็นเสื้อแดง)วันเสาร์ที่ 28/11/58:ขอนแก่นโมเดลกับอาวุธสงคราม@@@
ถอดรหัสขอนแก่นโมเดล2
ขอนแก่นโมเดล...ชื่อนี้กลับมาสู่วงจรข่าวอีกครั้ง เมื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยอมรับว่า มีการควบคุมตัวผู้ที่เตรียมก่อการปั่นป่วนงานปั่นเพื่อพ่อได้ที่ จ.ขอนแก่น ซึ่งมีเขียนข้อความด้วยลายมือและมีการส่งผ่านแอพพลิเคชั่นไลน์ด้วย
พล.อ.ประวิตร ย้ำเพิ่มเติมว่า คนกลุ่มนี้มีแผนจะมาสร้างสถานการณ์ที่กรุงเทพฯ
สืบเนื่องจากตัวละครที่ถูกทางทหารคุมตัวมาซักถามคือ “คนหน้าเดิม” ในคดีขอนแก่นโมเดล
ตัวละครรายนี้ให้การต่อเจ้าหน้าที่ทหารว่า มีการเตรียมการวางแผนสร้างความปั่นป่วนจริง โดยวางแผนเตรียมการที่ประทุษร้ายบุคคลสำคัญทางการเมือง 2 คน
สอดคล้องกับการตรวจสอบพยานหลักฐาน ที่อยู่กับอดีตตำรวจตระเวนชายแดนนายนี้ โดยสนทนาผ่านไปยังผู้เกี่ยวข้องทางแอพพลิเคชั่นไลน์ และสมุดบันทึกที่เขียนด้วยลายมือของเขา
แหล่งข่าวกล่าวว่า ฝ่ายความมั่นคงที่ติดตามความเคลื่อนไหวของกลุ่มเห็นต่างทางการเมือง ได้เห็นข้อความที่โพสต์ผ่านทางเฟซบุ๊ก ข้อความว่า “ให้ติดตามวันซ้อมกิจกรรมปั่นเพื่อพ่อว่าจะมีการลอบทำร้ายบุคคลสำคัญของประเทศ” โดยไม่ได้ระบุชื่อว่าเป็นใคร
เมื่อฝ่ายความมั่นคงตรวจสอบพบว่า บุคคลที่โพสต์ข้อความนั้น เป็นผู้ต้องหาคดีความมั่นคงขอนแก่นโมเดลที่ผ่านมาซึ่งถูกจับกุมและได้รับการประกันตัวออกมา
จากคำให้การดังกล่าว คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จึงได้มอบหมายให้ พล.ต.วิจารณ์ จดแตง หัวหน้าฝ่ายกฎหมายของ คสช. เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปรามให้ดำเนินคดีกับกลุ่มคนดังกล่าว ในความผิดร้ายแรงในคดีความผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 ซึ่งมีโทษจำคุกอย่างสูงเกิน 3 ปี และทางพนักงานสอบสวนกองบังคับการกองปราบปราม จึงได้ยื่นคำร้องขอออกหมายจับต่อศาลทหารกรุงเทพฯ
บุคคลที่ถูกออกหมายจับนั้น ประกอบด้วย จ.ส.ต.ประธิน จันทร์เกศ และ พิษณุ พรหมสร
สำหรับ จ.ส.ต.ประธิน จันทร์เกศ นั้นคือ จำเลยคนที่ 1 ในคดีขอนแก่นโมเดลที่โด่งดังหลังการรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557
ถ้ายังจำได้ วันที่ 24 พฤษภาคม 2557 กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยของกองทัพภาคที่ 2 ได้เข้าจับกุมกลุ่มคนเสื้อแดงในนาม “กองทัพปราบกบฏ” ที่เตรียมวางแผนก่อเหตุในพื้นที่ จ.ขอนแก่น ได้ผู้ต้องหารวม 26 คน พร้อมอาวุธและเครื่องกระสุน ที่ชลพฤกษ์อพาร์ตเมนต์ ต.บ้านเป็ด อ.เมือง จ.ขอนแก่น
ปฏิบัติการก่อเหตุร้ายของกลุ่มคนเสื้อแดงครั้งนั้น ทางกองทัพภาคที่ 2 เรียกว่า “ขอนแก่นโมเดล”
แกนนำสำคัญในปฏิบัติการขอนแก่นโมเดล มีอยู่ 2 คน คือ มีชัย ม่วงมนตรี ชาว อ.จังหาร จ.ร้อยเอ็ด แกนนำกองทัพปราบกบฏที่เคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องในพื้นที่อีสานกลาง กับ จ.ส.ต.ประธิน ตำรวจตระเวนชายแดนที่ลาออกมาทำงานเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยของธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคอีสาน
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ กอ.รมน.ภาค 2 จับกุมกลุ่มแดงฮาร์ดคอร์ได้ 22 ราย และจับกุมเพิ่มเติ่มอีก 4 คน รวมเป็น 26 คน
ส่วนอาวุธที่ตรวจค้นพบในแหล่งซ่องสุมของแดงฮาร์ดคอร์ เช่น ระเบิดขว้าง 3 ลูก, ระเบิดควัน 1 ลูก, ขวาน 1 เล่ม เครื่องกระสุนปืนขนาด 9 มม. จำนวน 161 นัด, กระสุนปืนขนาด 11 มม. จำนวน 73 นัด, อาวุธพกขนาด 9 มม. 1 กระบอก กระสุนปืน 9 มม. จำนวน 8 นัด ถังแก๊ส 1 ถัง และเสื้อเกราะอ่อน 1 ตัว
รายงานข่าวจากหน่วยงานความมั่นคงระบุว่า “แผนขอนแก่นโมเดล” แบ่งเป็น 4 ขั้นตอนคือ 1.ระดมมวลชนให้มากที่สุด 2.เจรจาปลดอาวุธเจ้าหน้าที่ 3.เจรจาเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร 4.ทำลายสถาบันการเงินและนำเงินมาแจกจ่ายให้ประชาชน “ทั่วปฐพีหนี้เป็นศูนย์”
ขณะนี้คดีขอนแก่นโมเดลยังอยู่ในการพิจารณาของศาลทหาร แต่ช่วงหลัง ศาลทหารได้อนุญาตให้ประกันตัวผู้ต้องหาในคดีดังกล่าว
ผู้ต้องหาคนอื่นๆ ต่างกลับไปใช้ชีวิตตามปกติ แต่ “จ.ส.ต.ประธิน” ยังไม่ยอมเลิกล้มแนวคิดแบบ “แดงฮาร์ดคอร์” จึงคิดวางแผนก่อการร้ายในเมือง ร่วมกับ พิษณุ พรหมสร ผู้ต้องหาในคดีมาตรา 112 ซึ่งหลบหนีออกจากประเทศไทยไปตั้งแต่ปี 2552
“แอนดี้” หรือ พิษณุ พรหมสร ชาวเชียงใหม่ ปรากฏตัวในกลุ่มคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ ตั้งแต่ปี 2550 จึงสนิทชิดเชื้อกับสุชาติ นาคบางไทร ผู้ก่อตั้งกลุ่มคนวันเสาร์ฯ
ระหว่างปี 2550-2552 นักเคลื่อนไหวต้านรัฐประหาร ที่สนามหลวง ถือว่าเป็นกลุ่มคนหัวรุนแรง ต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์ และเป็นบ่อเกิด “แดงฮาร์ดคอร์” ที่นิยมการใช้ความรุนแรงในเวลาต่อมา
กลุ่มฮาร์ดคอร์สนามหลวง ได้ยกระดับเป็น “กองกำลังติดอาวุธ” หรือ “หน่วยจรยุทธ์” คอยก่อกวนการชุมนุมของคนเสื้อเหลืองในปี 2551
ปี 2552 พิษณุกับสุชาติ นาคบางไทร ถูกออกหมายจับคดี 112 จึงหลบหนีเข้าไปอยู่ในลาว แต่ภายหลังสุชาติข้ามโขงกลับมาทำมาหากินในภาคอีสาน และยอมให้เจ้าหน้าที่จับกุม
“แอนดี้” พิษณุ ยังใช้ชีวิตอยู่ในต่างประเทศ และจัดรายการวิทยุออนไลน์ ร่วมกับ ชูพงศ์ ถี่ถ้วน แกนนำ นปก.รุ่น 2 ที่หนีไปอยู่ต่างแดนเช่นเดียวกัน
มีข้อน่าสังเกตบรรดา “ฮาร์ดคอร์” ที่หนีไปอยู่ต่างประเทศ มักจะปลุกระดมให้คนเสื้อแดงในประเทศต่อสู้แบบ “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” และไม่จำกัดอยู่แค่การต่อสู้แนวสันติวิธี
ขณะที่ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล นักวิชาการประวัติศาสตร์ ได้พูดถึง “กองกำลังติดอาวุธ” ในขบวนการคนเสื้อแดงอยู่บ่อยๆ
“กลุ่มคนเสื้อแดงจำนวนมากไม่เคยยอมเผชิญกับความจริง คือ เรื่องการใช้อาวุธในหมู่กลุ่มคนเสื้อแดงส่วนหนึ่งตลอดช่วงการชุมนุมของ กปปส. เมื่อทุกฝ่ายพร้อมจะเผชิญความจริง อีกฝ่ายพร้อมจะยอมรับให้จัดการความผิดของการรัฐประหารยึดอำนาจจึงจะสามารถนำมาอภิปรายกันเต็มที่ได้
“อยากจะเสนอให้คิดแบบสามัญสำนึกง่ายๆ ว่าการใช้อาวุธในขณะมีรัฐบาลที่กลุ่มคนเสื้อแดงเชียร์อยู่ในอำนาจมีแต่ทำให้รัฐบาลเสีย พวกตัวเองเป็นรัฐบาล ใช้อาวุธ คนที่แย่คือรัฐบาลที่คุมสถานการณ์ไม่ได้ มีคนเจ็บคนตายอยู่ตลอดเวลา และเป็นข้ออ้างอย่างดีให้ทหารเข้ายึดอำนาจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังคงเอามาอ้างจนทุกวันนี้”
ข้อมูลทำนองนี้ แกนนำ นปช.จะปฏิเสธเสียงแข็ง และไม่ยอมรับการมีอยู่จริงของกองกำลังติดอาวุธ
จากการจับกุม “แดงฮาร์ดคอร์” หรือขอนแก่นโมเดลภาค 2 สะท้อนว่า แนวคิดการต่อสู้ใต้ดิน ยังดำรงอยู่ในหมู่คนเสื้อแดงที่เชื่อมั่นในแนวทางพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน