[ ๘ ] ปัญญาที่เกิดจากปรโตโฆสปัจจัย (เสียงธรรมเทศนาจากพระพุทธเจ้า) ชื่อว่า สุตมยปัญญา
ปัญญาที่เกิดจากการทำไว้ในใจโดยอุบายอันแยบคาย ซึ่งเกิดภายในตน ชื่อว่า จินตมยปัญญา
ปัญญาที่เกิดจากปรโตโฆสปัจจัย และการทำไว้ในใจโดยอุบายอันแยบคาย ซึ่งเกิดภายในตน ชื่อว่า ภาวนามยปัญญา.
บุคคลที่มีปัญญา ๒ อย่างนี้ คือ สุตมยปัญญา และจินตมยปัญญา ชื่อว่า อุตฆฏิตัญญู
บุคคลที่มีสุตมยปัญญา แต่ไม่มีจินตมยปัญญา ชื่อว่า วิปัญจิตัญญู
บุคคลที่ไม่มีทั้งสุตมยปัญญา และจินตมยปัญญา ชื่อว่า เนยยะ
http://www.trisarana.org/board_topic.php?id=119
.........................................................................
บุคคลสี่จำพวก (ตามอุคฆฏิตัญญุสูตร)[แก้]
อุคฆฏิตัญญุสูตรและมโนรถปูรณีได้อธิบายบุคคล 4 จำพวก ไว้ดังนี้[5]
อุคคฏิตัญญู พวกที่มีสติปัญญาฉลาดเฉลียว เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมก็สามารถรู้ และเข้าใจในเวลาอันรวดเร็ว เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่พ้นน้ำ เมื่อต้องแสงอาทิตย์ก็เบ่งบานทันที
วิปจิตัญญู พวกที่มีสติปัญญาดี เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมแล้วพิจารณาตามและได้รับการอบรมฝึกฝนเพิ่มเติม จะสามารถรู้และเข้าใจได้ในเวลาอันไม่ช้า เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่ปริ่มน้ำซึ่งจะบานในวันถัดไป
เนยยะ พวกที่มีสติปัญญาน้อย แต่เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมแล้วพิจารณาตามและได้รับการอบรมฝึกฝนเพิ่มอยู่เสมอ มีความขยันหมั่นเพียรไม่ย่อท้อ มีสติมั่นประกอบด้วยศรัทธา ปสาทะ ในที่สุดก็สามารถรู้และเข้าใจได้ในวันหนึ่งข้างหน้า เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำ ซึ่งจะค่อยๆ โผล่ขึ้นเบ่งบานได้ในวันหนึ่ง
ปทปรมะ พวกที่ไร้สติปัญญา และยังเป็นมิจฉาทิฏฐิ แม้ได้ฟังธรรมก็ไม่อาจเข้าใจความหมายหรือรู้ตามได้ ทั้งยังขาดศรัทธาปสาทะ ไร้ซึ่งความเพียร เปรียบเสมือนดอกบัวที่จมอยู่กับโคลนตม ยังแต่จะตกเป็นอาหารของเต่าปลา ไม่มีโอกาสโผล่ขึ้นพ้นน้ำเพื่อเบ่งบาน
3 จำพวกแรกเรียกว่าเวไนยสัตว์ (ผู้แนะนำสั่งสอนได้) ส่วนปทปรมะเป็นอเวไนยสัตว์ (ผู้ไม่อาจแนะนำสั่งสอนได้)
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%B2
ปัญญา
ปัญญาที่เกิดจากการทำไว้ในใจโดยอุบายอันแยบคาย ซึ่งเกิดภายในตน ชื่อว่า จินตมยปัญญา
ปัญญาที่เกิดจากปรโตโฆสปัจจัย และการทำไว้ในใจโดยอุบายอันแยบคาย ซึ่งเกิดภายในตน ชื่อว่า ภาวนามยปัญญา.
บุคคลที่มีปัญญา ๒ อย่างนี้ คือ สุตมยปัญญา และจินตมยปัญญา ชื่อว่า อุตฆฏิตัญญู
บุคคลที่มีสุตมยปัญญา แต่ไม่มีจินตมยปัญญา ชื่อว่า วิปัญจิตัญญู
บุคคลที่ไม่มีทั้งสุตมยปัญญา และจินตมยปัญญา ชื่อว่า เนยยะ
http://www.trisarana.org/board_topic.php?id=119
.........................................................................
บุคคลสี่จำพวก (ตามอุคฆฏิตัญญุสูตร)[แก้]
อุคฆฏิตัญญุสูตรและมโนรถปูรณีได้อธิบายบุคคล 4 จำพวก ไว้ดังนี้[5]
อุคคฏิตัญญู พวกที่มีสติปัญญาฉลาดเฉลียว เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมก็สามารถรู้ และเข้าใจในเวลาอันรวดเร็ว เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่พ้นน้ำ เมื่อต้องแสงอาทิตย์ก็เบ่งบานทันที
วิปจิตัญญู พวกที่มีสติปัญญาดี เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมแล้วพิจารณาตามและได้รับการอบรมฝึกฝนเพิ่มเติม จะสามารถรู้และเข้าใจได้ในเวลาอันไม่ช้า เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่ปริ่มน้ำซึ่งจะบานในวันถัดไป
เนยยะ พวกที่มีสติปัญญาน้อย แต่เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมแล้วพิจารณาตามและได้รับการอบรมฝึกฝนเพิ่มอยู่เสมอ มีความขยันหมั่นเพียรไม่ย่อท้อ มีสติมั่นประกอบด้วยศรัทธา ปสาทะ ในที่สุดก็สามารถรู้และเข้าใจได้ในวันหนึ่งข้างหน้า เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำ ซึ่งจะค่อยๆ โผล่ขึ้นเบ่งบานได้ในวันหนึ่ง
ปทปรมะ พวกที่ไร้สติปัญญา และยังเป็นมิจฉาทิฏฐิ แม้ได้ฟังธรรมก็ไม่อาจเข้าใจความหมายหรือรู้ตามได้ ทั้งยังขาดศรัทธาปสาทะ ไร้ซึ่งความเพียร เปรียบเสมือนดอกบัวที่จมอยู่กับโคลนตม ยังแต่จะตกเป็นอาหารของเต่าปลา ไม่มีโอกาสโผล่ขึ้นพ้นน้ำเพื่อเบ่งบาน
3 จำพวกแรกเรียกว่าเวไนยสัตว์ (ผู้แนะนำสั่งสอนได้) ส่วนปทปรมะเป็นอเวไนยสัตว์ (ผู้ไม่อาจแนะนำสั่งสอนได้)
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%B2