นี่เป็นกระทู้แรกค่ะ หวังว่าเรื่องราวคงน่าสนใจและให้กำลังใจสาวๆ ที่พบรักกับคุณพ่อเรือพ่วงได้บ้างนะคะ
ดิฉันแต่งงานกับพ่อของ 2 หนุ่มตอนที่ลูกๆ อยู่ ป.5 และ ป.6 ซึ่งตอนที่เราเริ่มคบกันตอนแรกสามีของดิฉันก็ได้พาลูกๆ ไปทำความรู้จักและทำกิจกรรมร่วมกันหลายอย่าง ดิฉันก็พูดคุยสื่อสารและให้ความสนิทกับเด็กๆ แบบเป็นธรรมชาติ ไม่ได้ลูกคะลูกขา เอาใจลูกต่อหน้าพ่อเค้า เด็กๆ ก็น่ารักตามประสาเด็กผู้ชาย หลังจากนั้นก็ตัดสินใจแต่งงาน เสร็จจากงานแต่งคุณพ่อคุณแม่ของดิฉันได้ให้ข้อคิดว่าอยู่กับเค้าก็ต้องรักลูกเค้า เลี้ยงลูกเค้าไม่ดีจะเป็นบาปติดตัวเรา หลังแต่งดิฉันอยู่กับครอบครัวสามีซึ่งเป็นครอบครัวคนจีนครอบครัวใหญ่ คุณปู่คุณย่าจะเป็นคนดูแลเรื่องค่าเล่าเรียนของหลานทั้ง 2 คน ส่วนค่าใช้จ่ายอื่นๆ สามีดิฉันจะให้ และดิฉันก็มีให้บ้างตามกำลังที่จะให้ได้ ดิฉันเลยไม่ได้รู้สึกว่าเด็กทั้ง 2 เป็นภาระหรือเป็นปัญหาสำหรับชีวิตคู่ของเราเลย ตอนเช้าก่อนไปทำงานก็ส่งเค้าไปโรงเรียนทุกเช้า เด็ก 2 เรียกดิฉันว่าน้า ไม่ได้เรียกว่าแม่ แต่เวลาครูที่โรงเรียนขอเบอร์โทรแม่เค้าก็จะให้เบอร์ของดิฉัน เคยมีครั้งหนึ่งลูกชายคนเล็กไม่สบาย คุณครูโทรเข้ามือถือดิฉันแล้วถามว่าคุณแม่น้อง... ใช่มั้ยครับ เคยมีครั้งหนึ่งในวิชาภาษาอังกฤษครูให้เขียนเรื่องแม่ 4-5 ประโยคและให้ติดรูปแม่ด้วย เค้าก็มาขอรูปดิฉันไปติด ดิฉันยังแอบไปอ่านที่เค้าเขียน อ่านแล้วก็แอบปลื้มค่ะ ถึงแม้เค้าไม่ได้เรียกเราว่าแม่ แต่สิ่งที่เค้าแสดงออกกับเราสัมผัสได้ว่าเค้ายอมรับเรา เพราะทุกครั้งที่จะขออะไรพ่อเค้า หรือว่ามีอะไรจะบอกแล้วกลัวพ่อเค้าว่า เค้าก็จะมาบอกดิฉันก่อน แล้วเราก็ช่วยกันคิดว่าจะบอกพ่ออย่างไร
ลูกชายคนเล็กในสายตาของคนในครอบครัวเป็นเด็กดื้อรั้น เพราะตอนแรกที่พ่อแม่เค้าแยกทางกันเค้าอยู่กับตายายและถูกปลูกฝังความคิดว่าบ้านนี้รักพี่ชายของเค้ามากกว่า ก่อนแต่งงานคนในบ้านกลัวที่สุดคือลูกชายคนเล็กจะไม่ยอมรับดิฉัน พอมาอยู่ด้วยกันดิฉันก็พยายามสังเกตพฤติกรรมของเค้าแล้วพบว่าเค้าเป็นคนที่แข็งนอกอ่อนใจและลึกๆ เค้าต้องการความอบอุ่นแต่ไม่แสดงออก ก็พยายามเข้าหาเค้า ตอนแรกก็ถามเค้าก่อนว่าน้าปั่นหูให้มั้ยเค้าก็เอา หลังจากนั้นก็จะมาให้เราปั่นหูให้ตลอด บางทีก็มีมานั่งตักเวลาไปกินข้าวหรือนั่งรถ เคยมีครั้งหนึ่งนั่งรถไปด้วยกันหลายคนแล้วเค้าง่วง ดิฉันกับย่าเค้านั่งติดกัน เค้าเลือกที่จะนั่งตักดิฉันค่ะ อีกอย่างเค้ามีข้อดีคือ หัวดี แต่ขาดความสนใจในการเรียน พอขึ้น ป.6 ดิฉันก็เลยหาที่เรียนพิเศษหลังเลิกเรียนให้เค้า และดิฉันจะเป็นคนไปรับกลับบ้านหลังเลิกเรียน ในเทอมนั้นคะแนนเค้าดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และได้รับคำชมจากปู่ทั้งที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาอย่างที่บอกคือ คนในครอบครัวจะมองว่าเค้าเป็นคนดื้อรั้นและแทบจะไม่เคยได้รับคำชมเลย เมื่อเห็นแล้วว่าเค้าทำได้ ดิฉันจึงคุยกับปู่เค้าว่าจะหาคอร์สให้เค้าติวเพื่อสอบเข้าห้องเรียนโปรแกรมพิเศษ ปู่เค้าก็ตกลงและยินดีที่จะจ่ายค่าติวให้ทั้งหมด ในที่สุดเค้าก็ทำได้ค่ะในปีนั้นโรงเรียนที่ไปสอบรับ 80 คนเค้าสอบติดเป็นอับดับที่ 43 ดิฉันยังจำคืนวันประกาศผลได้ เช็คผลการทางเนทตอนดึกและโทรไปบอกปู่เค้าเพราะตอนนั้นปู่อยู่ต่างประเทศ ฟังจากเสียงแล้วปุ่เค้าดีใจมากและให้รางวัลหลานด้วยการให้ไปเที่ยวฮ่องกง
เลี้ยงเด็ก 2 คนนี้ดิฉันก็มีทั้งภาคใจดีและภาคดุถ้าเห็นว่าทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง มองว่าเค้าคือลูกของเรา อนาคตของเค้าคืออนาคตของเรา ไม่ได้หวังจะฝากชีวิตกับเค้าในอนาคตนะคะ แต่หมายถึงถ้าเราเลี้ยงดูเค้าไม่ดีเกิดปัญหาขึ้นในอนาคตตัวเราเองก็จะลำบาก ความจริงรายละเอียดเกร็ดย่อยๆ ที่น่าประทับใจและอยากแชร์มีเยอะกว่านี้มาก แต่กลัวว่าจะอ่านแล้วเบื่อก็เลยเอาสั้นๆ นะคะ ปัจจุบันลูกชายทั้ง 2 อยู่ ม.4 และ ม.5 แล้วค่ะ
จากการที่ดูแลเค้าทั้ง 2 มา หากใครมองเห็นว่าเป็นการทำความดี ก็อาจจะเป็นเพราะความดีนี้ทำให้ต่อมาดิฉันมีลูกเป็นของตัวเองทั้งๆ ที่ตอนแรกว่าตั้งใจจะไม่มีลูกค่ะ
เนืองจากกระทู้นี้เป็นกระทู้แรก ขอกำลังใจจากเพื่อนๆ นะคะ หากได้กำลังใจดีก็อาจจะเขียนต่อเรื่องราวดีๆ เพื่อให้กำลังใจคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ตอน 40+ ค่ะ
อยากให้คนที่แต่งงานหรือคิดจะแต่งงานกับคุณพ่อเรือพ่วงได้อ่านค่ะ
ดิฉันแต่งงานกับพ่อของ 2 หนุ่มตอนที่ลูกๆ อยู่ ป.5 และ ป.6 ซึ่งตอนที่เราเริ่มคบกันตอนแรกสามีของดิฉันก็ได้พาลูกๆ ไปทำความรู้จักและทำกิจกรรมร่วมกันหลายอย่าง ดิฉันก็พูดคุยสื่อสารและให้ความสนิทกับเด็กๆ แบบเป็นธรรมชาติ ไม่ได้ลูกคะลูกขา เอาใจลูกต่อหน้าพ่อเค้า เด็กๆ ก็น่ารักตามประสาเด็กผู้ชาย หลังจากนั้นก็ตัดสินใจแต่งงาน เสร็จจากงานแต่งคุณพ่อคุณแม่ของดิฉันได้ให้ข้อคิดว่าอยู่กับเค้าก็ต้องรักลูกเค้า เลี้ยงลูกเค้าไม่ดีจะเป็นบาปติดตัวเรา หลังแต่งดิฉันอยู่กับครอบครัวสามีซึ่งเป็นครอบครัวคนจีนครอบครัวใหญ่ คุณปู่คุณย่าจะเป็นคนดูแลเรื่องค่าเล่าเรียนของหลานทั้ง 2 คน ส่วนค่าใช้จ่ายอื่นๆ สามีดิฉันจะให้ และดิฉันก็มีให้บ้างตามกำลังที่จะให้ได้ ดิฉันเลยไม่ได้รู้สึกว่าเด็กทั้ง 2 เป็นภาระหรือเป็นปัญหาสำหรับชีวิตคู่ของเราเลย ตอนเช้าก่อนไปทำงานก็ส่งเค้าไปโรงเรียนทุกเช้า เด็ก 2 เรียกดิฉันว่าน้า ไม่ได้เรียกว่าแม่ แต่เวลาครูที่โรงเรียนขอเบอร์โทรแม่เค้าก็จะให้เบอร์ของดิฉัน เคยมีครั้งหนึ่งลูกชายคนเล็กไม่สบาย คุณครูโทรเข้ามือถือดิฉันแล้วถามว่าคุณแม่น้อง... ใช่มั้ยครับ เคยมีครั้งหนึ่งในวิชาภาษาอังกฤษครูให้เขียนเรื่องแม่ 4-5 ประโยคและให้ติดรูปแม่ด้วย เค้าก็มาขอรูปดิฉันไปติด ดิฉันยังแอบไปอ่านที่เค้าเขียน อ่านแล้วก็แอบปลื้มค่ะ ถึงแม้เค้าไม่ได้เรียกเราว่าแม่ แต่สิ่งที่เค้าแสดงออกกับเราสัมผัสได้ว่าเค้ายอมรับเรา เพราะทุกครั้งที่จะขออะไรพ่อเค้า หรือว่ามีอะไรจะบอกแล้วกลัวพ่อเค้าว่า เค้าก็จะมาบอกดิฉันก่อน แล้วเราก็ช่วยกันคิดว่าจะบอกพ่ออย่างไร
ลูกชายคนเล็กในสายตาของคนในครอบครัวเป็นเด็กดื้อรั้น เพราะตอนแรกที่พ่อแม่เค้าแยกทางกันเค้าอยู่กับตายายและถูกปลูกฝังความคิดว่าบ้านนี้รักพี่ชายของเค้ามากกว่า ก่อนแต่งงานคนในบ้านกลัวที่สุดคือลูกชายคนเล็กจะไม่ยอมรับดิฉัน พอมาอยู่ด้วยกันดิฉันก็พยายามสังเกตพฤติกรรมของเค้าแล้วพบว่าเค้าเป็นคนที่แข็งนอกอ่อนใจและลึกๆ เค้าต้องการความอบอุ่นแต่ไม่แสดงออก ก็พยายามเข้าหาเค้า ตอนแรกก็ถามเค้าก่อนว่าน้าปั่นหูให้มั้ยเค้าก็เอา หลังจากนั้นก็จะมาให้เราปั่นหูให้ตลอด บางทีก็มีมานั่งตักเวลาไปกินข้าวหรือนั่งรถ เคยมีครั้งหนึ่งนั่งรถไปด้วยกันหลายคนแล้วเค้าง่วง ดิฉันกับย่าเค้านั่งติดกัน เค้าเลือกที่จะนั่งตักดิฉันค่ะ อีกอย่างเค้ามีข้อดีคือ หัวดี แต่ขาดความสนใจในการเรียน พอขึ้น ป.6 ดิฉันก็เลยหาที่เรียนพิเศษหลังเลิกเรียนให้เค้า และดิฉันจะเป็นคนไปรับกลับบ้านหลังเลิกเรียน ในเทอมนั้นคะแนนเค้าดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และได้รับคำชมจากปู่ทั้งที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาอย่างที่บอกคือ คนในครอบครัวจะมองว่าเค้าเป็นคนดื้อรั้นและแทบจะไม่เคยได้รับคำชมเลย เมื่อเห็นแล้วว่าเค้าทำได้ ดิฉันจึงคุยกับปู่เค้าว่าจะหาคอร์สให้เค้าติวเพื่อสอบเข้าห้องเรียนโปรแกรมพิเศษ ปู่เค้าก็ตกลงและยินดีที่จะจ่ายค่าติวให้ทั้งหมด ในที่สุดเค้าก็ทำได้ค่ะในปีนั้นโรงเรียนที่ไปสอบรับ 80 คนเค้าสอบติดเป็นอับดับที่ 43 ดิฉันยังจำคืนวันประกาศผลได้ เช็คผลการทางเนทตอนดึกและโทรไปบอกปู่เค้าเพราะตอนนั้นปู่อยู่ต่างประเทศ ฟังจากเสียงแล้วปุ่เค้าดีใจมากและให้รางวัลหลานด้วยการให้ไปเที่ยวฮ่องกง
เลี้ยงเด็ก 2 คนนี้ดิฉันก็มีทั้งภาคใจดีและภาคดุถ้าเห็นว่าทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง มองว่าเค้าคือลูกของเรา อนาคตของเค้าคืออนาคตของเรา ไม่ได้หวังจะฝากชีวิตกับเค้าในอนาคตนะคะ แต่หมายถึงถ้าเราเลี้ยงดูเค้าไม่ดีเกิดปัญหาขึ้นในอนาคตตัวเราเองก็จะลำบาก ความจริงรายละเอียดเกร็ดย่อยๆ ที่น่าประทับใจและอยากแชร์มีเยอะกว่านี้มาก แต่กลัวว่าจะอ่านแล้วเบื่อก็เลยเอาสั้นๆ นะคะ ปัจจุบันลูกชายทั้ง 2 อยู่ ม.4 และ ม.5 แล้วค่ะ
จากการที่ดูแลเค้าทั้ง 2 มา หากใครมองเห็นว่าเป็นการทำความดี ก็อาจจะเป็นเพราะความดีนี้ทำให้ต่อมาดิฉันมีลูกเป็นของตัวเองทั้งๆ ที่ตอนแรกว่าตั้งใจจะไม่มีลูกค่ะ
เนืองจากกระทู้นี้เป็นกระทู้แรก ขอกำลังใจจากเพื่อนๆ นะคะ หากได้กำลังใจดีก็อาจจะเขียนต่อเรื่องราวดีๆ เพื่อให้กำลังใจคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ตอน 40+ ค่ะ