อีกมุมของผู้ป่วยติดเชื้อ HIV ครับ

สวัสดีครับ นี่เป็นกระทู้แรกของผม เพื่อนๆอาจจะเคยเห็นกระทู้เกี่ยวกับผู้ติดเชื้อ HIV มากมาย ผมเองก็เป็นอีกหนึ่งคนที่คอยติดตามกระทู้มาโดยตลอด และเป็นอีกคนที่มีเชื้อ HIV ในร่างกายเช่นกัน

ผมอายุ 22 ปี กำลังศึกษาอยู่มหาวิทยาลัย ทุกวันนี้ผมก็ใช้ชีวิตปกติ หลบๆซ่อนๆและปิดบังตัวเองไม่อยากให้ใครรู้ว่าผมเป็นอะไร ผมรับเชื้อ HIV มาจากแฟนคนแรกของผมตอนผมอายุ 20 ในขณะที่แฟนผม อายุ 35 ผมเองเป็นคนที่ความคิดความอ่านค่อนข้างเป็นผู้ใหญ่ ความหวังของผมคืออยากจะมีคนรักดีๆ ที่คบกันไปนานๆสักคน ไม่เคยมีความรักแบบ Puppy love แบบที่คนในวัยเดียวกันเค้ามีกัน ผมยอมรับว่าผมรักพี่เขามาก มากกระทั่งมองไม่เห็นความเป็นจริงของตัวพี่เขา ผมมีโอกาสเจอกับพี่เขาแค่เดือนละหนึ่งครั้ง เพราะเขาทำงานอยู่ต่างจังหวัด ส่วนผมอยู่กรุงเทพ เราคุยกันโทรศัพท์กันทุกวัน เขาก็บอกรักผมทุกวัน ผมก็บอกรักเขาทุกวัน ผมเฝ้ารอโอกาสที่จะเจอเขาแม้จะแค่เดือนละหนึ่งครั้ง มันก็ทำให้ผมมีความสุขแล้ว ผมไม่เคยมองว่าระยะทางมันสำคัญ ผมแค่คิดว่าผมอยากมีใครสักคนให้คิดถึง ให้รู้ว่ายังมีอีกคนที่รักเราก็พอใจแล้ว แต่สิ่งที่ผมได้จากพี่เขามันทำให้ผมเจ็บปวด ทุกครั้งที่เขาบอกว่าจะมาหาผม เขาจะมากรุงเทพล่วงหน้าก่อน2-3วันโดยไม่บอกผม ระหว่างนั้นเขาก็จะนัดคนอื่นไว้ ผมมารู้จากคนที่เขาไปหาเขาทักเฟสผมมา ตอนนั้นผมเจ็บปวดมากจริงๆ แต่ผมก็พยายามเก็บซ่อนความรู้สึกนี้เอาไว้ ไม่ให้พี่เขาเห็น ไม่ให้พี่เขารู้ เพราะผมกลัวว่าถ้าหากว่าเขารู้ว่าผมรู้ เขาจะเบื่อผม ผมพยายามทำตัวเป็นคนรักที่ดี พยายามไม่ถามซักไซ้ว่าเขาไปไหนกับใคร แต่สุดท้ายผมก็ไปต่อไม่ไหว ผมทนเก็บความเจ็บปวดต่อไปไม่ไหว ผมเลือกที่จะออกมาเอง แม้ว่าจะยังรักเขาอยู่


หลังจากผมเลิกกับพี่เขาได้ 3 เดือน ผมมีป่วยด้วยไข้หวัดใหญ่นานร่วม2สัปดาห์ ซึ่งเป็นการป่วยหนักที่สุดในชีวิตเลยก็ได้ ทรมาณมากไม่มีแรงแม้แต่จะเดินขึ้นบันได ยาที่หาหมอมาก็แทบไม่ช่วยอะไรเลย ในช่วงที่ผมไม่สบายนั้นผมจะสังเกตุตัวเองตลอดครับ ผมสังเกตุว่าตามตัวผมเป็นผื่นคล้ายลมพิษแดงเต็มตัวไปหมด คุณหมอบอกว่าผมเป็นผื่นกลีบกุหลาบ ผมก็พยายามศึกษาหาข้อมูลพบว่า ผื่นกลีบกุหลาบมักจะพบในเด็กอ่อน หรือผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้นกันในร่างกายต่ำ หรืออาจจะติดเชื้อ HIV ตอนนั้นก็คิดครับว่าเราเสี่ยงจะติดมาก แต่ก็พยายามคิดเข้าข้างตัวเองว่าเราพยายามเป็นคนรักที่ดี และหวังว่าจะมีโอกาสเจอคนรักที่ดี ผมตัดสินใจเดินทางไปตรวจที่คลีนิคนิรนาม หลังจากเจาะเลือดเสร็จต้องรอผล มันเป็นช่วงเวลา2ชั่วโมงที่ทรมาณมากครับ ผมนั่งเหม่อ แต่ในใจตอนนั้นก็คิดไว้แล้วว่าเราต้องรับเชื้อมาแน่ๆ (ข้างในมันบอก) พอถึงคิวเราเข้าไปฟังผลตรวจ สีหน้าของพี่พยาบาลไม่สู้ดีนัก ผมก็รู้แล้วล่ะครับว่าผมเป็น ผมเริ่มเปิดบทสนทนาด้วยการถามพี่เขาว่าผลเป็นบวกใช่ไหมครับ? พี่พยาบาลเลี่ยงที่จะตอบ โดยถามทัศนคติผมก่อนว่าถ้าหากผมเป็นผมจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร ผมก็ตอบพี่เขาไปว่า ผมก็จะยังคงใช้ชีวิตปกติ ผมจะไม่ลงโทษคนอื่น หรือทำให้คนอื่นเป็นเหมือนผม ผมอยากจะหยุดให้ผมเป็นคนสุดท้ายที่ต้องมาเจอเรื่องราวแย่ๆแบบนี้ ที่ผมเสียใจคือ ผมทำให้พ่อและแม่ผิดหวัง แม้ท่านจะไม่รู้แต่ผมก็ทำบาปต่อพ่อแม่ไปแล้วที่ไม่ดูแลตัวเองให้ดี และผมเสียใจที่สุดคือผมจะไม่มีโอกาสได้รักใครอีก พี่พยาบาลที่นั่งคุยกับผมพูดกับผมด้วยเสียงสั่นๆเหมือนจะร้องไห้ว่า พี่เสียใจที่ต้องบอกว่าผลตรวจพบเชื้อ HIV ทั้งๆที่ชีวิตน้องพึ่งจะเริ่มต้น ระดับ CD4ของน้องต่ำมาก เหลือแค่ 275 ควรจะเริ่มการรักษาให้เร็วที่สุด แต่พี่ขอชื่นชมที่น้องอายุแค่ 20 แต่มีความคิดมีทัศนคติต่อตัวเองดีมาก น้อยคนนะที่จะคิดได้แบบน้อง พี่เสียใจจริงๆที่น้องต้องมาเจออะไรแบบนี้ ผมยอมรับครับว่าผมเสียใจ แต่ตอนที่ผมพูดคุยกับพี่พยาบาลผมไม่มีทีท่าว่าจะร้องเลย ผมควบคุมสติตัวเองได้ดีมากจนแปลกใจ เพราะคิดมาก่อนหน้านี้ว่าถ้ารู้ว่าเราติดเชื้อ HIV เราคงจะต้องฟูมฟาย สติแตกแน่ๆ หลังจากคุยกับพี่พยาบาลก็ให้คำแนะนำเรื่องการรักษา ติดต่อโรงพยาบาลที่ผมสามารถใช้สิทธิ์รักษาให้เป็นที่เรียบร้อยผมก็ออกจากคลีนิคนิรนาม

หลังจากที่ผมเดินออกจากคลีนิคนิรนาม ผมเดินมานั่งที่ป้ายรถเมล์สิ่งแรกที่ผมทำคือ โทรหาแม่ ผมคุยกับแม่ปกติพยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกของตัวเอง จนผมทนไม่ไหว ผมถามแม่ไปว่า "แม่เคยรู้สึกผิดหวังในตัวผมไหม ทุกครั้งที่ผมทำผิด หรือทำอะไรล้มเหลว" แม่ก็นิ่งไปแล้วตอบกลับผมมาว่า "แม่ไม่เคยผิดหวังในตัวลูกเลย ลูกคือสิ่งที่ดีที่สุดของแม่ ไม่ว่าอะไรก็ไม่อาจจะเปลี่ยนความรู้สึกนี้ไปได้ ต่อให้ลูกล้มเหลว หรือทำผิดสักกี่ครั้ง แม่ก็ยังรักและให้อภัยลูกเสมอ" ตอนนั้นผมนั่งร้องไห้ตรงป้ายรถเมล์มันเจ็บปวดที่ทำให้พ่อแม่เสียใจ ในขณะเดียวกันเราก็บอกท่านไม่ได้ หลังจากนั้นผมก็พยายามควบคุมสติอารมณ์คุยกับแม่ต่อสักพัก และวางสายไป ตอนนั้นสิ่งที่ผมคิดได้คือ ผมจะมีชีวิตอยู่ต่อเพื่อแม่ และพ่อ

วันรุ่งขึ้นผมเดินทางไปที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน เข้าไปปรึกษากับเรื่องการรักษา ในโชคร้ายยังมีโชคดีผมได้รับความอนุเคราะห์จากคุณหมอที่ทำโครงการวิจัยเรื่องยาต้านเชื้อไวรัส HIV รับผมเข้าเป็นคนไข้ในโครงการวิจัย

มาจนวันนี้ ผ่านมา 2 ปีแล้ว ผมยังคงใช้ชีวิตปกติดี สุขภาพร่างกายก็ดีขึ้นตามลำดับหลังจากได้รับยา จะว่าสุขก็สุข จะว่าทุกข์ก็ทุกข์ครับ ผมมาเรียนกรุงเทพฯอาศัยอยู่กับป้า ที่บ้านไม่มีใครรู้ว่าผมเป็นอะไร ผมต้องแอบไปหาหมอทุกเดือน เพื่อรับยา เพราะผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าคนที่บ้านรู้จะรับผมได้ไหม ผมไม่ได้กลัวเขารู้ แต่ผมกลัว่าถ้าหากเขารู้จะรังเกียจผมก็คงจะเสียใจมาก เพราะแม้แต่กระทั่งคนในครอบครัวที่ผมรักยังรังเกียจ ชีวิตผมก็คงจะไม่มีค่าอะไรอีกแล้ว ทุกครั้งที่มีข่าว หรือมีคนพูดถึงเอดส์ ผมได้ยินสิ่งที่คนในครอบครัว และเพื่อนๆพูดกัน ผมเจ็บปวด และยิ่งรู้สึกไม่อยากพูดความจริง อยากให้ความลับนี้มันตายไปกับเรา

สิ่งที่ผมอยากจะบอกก็ คือ ผมอยากจะให้ทุกคนพยายามเข้าใจคนที่ติดเชื้อ HIV อย่าพึ่งมองเขาเป็นจำเลย อย่าพึ่งตีตราตัดสินว่าเขามั่ว เขาไม่ดี เพราะบางทีเขาอาจจะไม่ได้เป็นอย่างนั้น คนบางคนอาจจะอยากมีแค่เพียงใครสักคนที่รักเขาไปนานๆ อยากมีอนาคตร่วมกัน ในขณะที่อีกคนไม่ได้คิดอย่างนั้น ไม่ได้จริงจังขนาดนั้น ผมอยากให้มองว่า เราเองก็เป็นแค่คนปกติหนึ่งคนที่สามารถใช้ชีวิตได้แทบจะเหมือนคนปกติทั่วไป

สิ่งที่ผมอยากจะบอกอย่างที่สอง คือ ไม่รู้ว่าทุกๆคนจะคิดเหมือนผมมั้ย ผมเชื่อว่าทุกๆคนอยากเจอรักแท้ อยากมีอนาคตร่วมกับใครสักคน แต่เมื่อผมหรือใครมาถึงจุดนี้ มันก็เหมือนกับความฝันที่มีมันพังลงไปต่อหน้าต่อตา ทุกวันนี้ผมไม่กล้าที่จะคบใคร ไม่กล้าที่จะเริ่มต้นกับใคร เพราะผมกลัวว่าผมจะทำร้ายคนอื่น หลายคนอาจจะมองว่าความรักมันไม่จำเป็นที่จะต้องมีอะไรลึกซึ้งกันก็ได้ มันก็แค่ความรู้สึก แต่ผมมองว่ามันก็เป็นส่วนเติมเต็มความรัก เราเป็นคนมีเลือดมีเนื้อ มีอารมณ์ความรู้สึก และความต้องการเมื่อถึงเวลานั้นผมก็กลัวว่าผมจะพลาดไปทำร้ายคนอื่นเขา ผมยอมรับว่าผมเหงามากจริงๆ และคิดว่าใครอีกหลายๆคนที่เป็นแบบผมก็คงคิดแบบผม ผมเองก็ไม่รู้ว่าผมจะมีโอกาสไหม

สิ่งที่ผมอยากจะบอกอย่างที่สาม คือ ผมอยากจะให้กำลังใจคนที่ประสบพบเจอชะตากรรมเดียวกันกับผม ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม อยากให้คุณมีสติ HIVไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดครับ ถ้าเราดูแลรักษาตัวเองดี รับยาสม่ำเสมอก็อาจจะมีโอกาสหายในอนาคต อย่าพึ่งคิดสั้นทำร้ายตัวเอง ชีวิตเรายังมีสิ่งอื่นๆอีกมากมาย อย่างน้อยก็มีพ่อแม่ที่คอยเรา ทุกครั้งที่ผมท้อ ผมจะนึกถึงพ่อกับแม่ ผมก็จะมีกำลังใจขึ้นมาก และที่ผมอยากจะบอกที่สุดคือ อย่าทำร้ายคนอื่น อย่าคิดว่าฉันเป็นพวกมันก็ต้องเป็น ถ้าเราคิดแบบนี้มันไม่มีอะไรดีขึ้นมาเลยครับ

และสิ่งที่ผมอยากจะบอกอย่างสุดท้าย คือ อย่าไว้ใจใครครับ ไม่ว่าจะใครเราจะรักเขามากแค่ไหน การป้องกันเป็นสิ่งสำคัญ มันแสดงให้เห็นว่าเรารักตัวเอง และเราก็ห่วงใยคนที่เรารัก อย่าคิดว่าการใส่ถุงยาง หรือการป้องกันเป็นการไม่ไว้ใจกัน และคนที่รักสนุกก็ป้องกัน และหมั่นตรวจเลือดบ่อยๆ ถ้าหากรู้ว่าเรารับเชื้อแล้ว ก็ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรม อย่าทำร้ายคนอื่นเลยครับ อย่างน้อยเราก็ยังมีมือนะครับ ชักเอา 5555555

สุดท้ายนี้ขอบคุณที่ทุกๆท่านเข้ามาอ่านกระทู้นี้จนจบ หวังว่าสังคมภายนอกจะได้รับฟังความเห็นภายในจากคนที่ป่วยคนนึงอย่างผม จะเป็นประโยชน์ในการดำเนินชีวิตหรือดูแลและเข้าใจคนที่ป่วยแบบผมากขึ้น ส่วนคนที่ร่วชะตากรรมเดียวกันกับผมจะได้รับรู้ว่ายังมีผมอีกคนเป็นเพื่อน และได้ข้อคิดอะไรจากผมบ้างสักเล็กน้อย ผมก็มีความสุขแล้วครับ และ ขออภัยถ้าหากเขียนวกไปวนมา ผมพึ่งจะเขียนกระทู้เป็นครั้งแรกครับ ขอบคุณครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่