หล้งจากมีข่าว ตุรกียืนยัน “ไม่รู้” ว่า Su-24 ที่ยิงตกเป็นของรัสเซีย-ประกาศร่วมมือ “หมีขาว” ทุกรูปแบบ
จากกระทู้ นี้
http://pantip.com/topic/34487224
ส่วนข่าวนี้ คือการวิเคราะห์ จากบุคคลต่างๆ เกี่ยวกับ กรณีไขรหัสนาโต หาญท้า พญาหมีขาว ฤาถึงคราว เฉียด สงครามโลกครั้งที่ 3
กลายเป็นเรื่องใหญ่ และทั่วโลกต้องจับตา กับปฏิบัติการ “บ้าระห่ำ” ของตุรกี ที่หาญกล้าสอยเครื่องบิน SU-24 ร่วง ทำให้นักบินรัสเซียเสียชีวิต 1 และอีก 1 เจ้าหน้าที่ซีเรียช่วยเหลือไว้ได้ เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้หลายคนนึกถึงว่านี่....อาจจะกลายเป็นชนวนเหตุ “สงครามโลก ครั้งที่ 3” หรือไม่ ตุรกีคิดยังไงถึงสอยเครื่องบินรัสเซีย และที่สำคัญคือ “มาตรการเด็ดปีกนกเหล็ก” ของตุรกีนั้น เป็นไปตามหลักสากลหรือไม่ วันนี้ ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ มีคำตอบทุกเรื่อง

เครื่องบินรบรัสเซีย ต่อไปจะปฏิบัติการอย่างไร ในซีเรีย
อดีต ‘เสืออากาศไทย’ เผยขั้นตอน ปกป้องน่านฟ้า
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ได้รับการเปิดเผยขั้นตอนการจัดการเครื่องบินที่รุกล้ำน่านฟ้า จากอดีตนักรบเจ้าเวหาของไทย 2 ท่าน ซึ่งขออนุญาตไม่เปิดเผยชื่อ....
“ไม่ว่าจะเป็นเครื่องบินรบหรือเครื่องบินพาณิชย์ หากไม่มีการแจ้งแผนการบิน จะถือว่าเป็นการรุกล้ำน่านฟ้าทั้งสิ้น หลักการป้องกันภัยทางอากาศที่เป็นสากลและกองทัพอากาศไทยได้ใช้อยู่นั้น คือต้องมีการแจ้งเตือนด้วยวิทยุและจากเรดาร์การจราจรทางอากาศ ซึ่งจะเกิดขึ้นทันทีที่ตรวจพบการรุกล้ำน่านฟ้า...เครื่องบินที่ไม่มีแผนการบิน หากเข้ามาในเขตป้องกันภัยทางอากาศของประเทศใดประเทศหนึ่ง ประเทศที่ถูกรุกล้ำจะส่งเครื่องบินขึ้นไปเพื่อแจ้งเตือนและขับไล่ โดยจะมีการสื่อสารผ่านทางคลื่นวิทยุ on guard ซึ่งเป็นคลื่นความถี่สากล เครื่องบินลำอื่นๆ จะได้ยินทั้งหมด หากมีการแจ้งเตือนให้ออกนอกน่านฟ้า แต่เครื่องบินที่รุกล้ำไม่ปฏิบัติตาม นักบินขับไล่จำนวน 2 ลำ ก็จะขึ้นบินประกบบังคับให้เครื่องบินลำนั้นลงจอด หรือให้บินออกจากประเทศที่รุกล้ำเข้ามา”
อดีตเสืออากาศไทย กล่าวต่อว่า หากไม่ปฏิบัติตามอีก นักบินขับไล่จะต้องวิเคราะห์ว่าเป็นภัยต่อเขตน่านฟ้าและเป็นอันตรายต่อภาคพื้นดินหรือไม่ ถ้าวิเคราะห์แล้วพบว่าเป็นอันตราย นักบินจะขออำนาจยิงจากผู้บังคับบัญชา ให้ยิงทำลายเครื่องบินลำนั้น ส่วนการที่นักบินขับไล่จะตัดสินใจยิงเครื่องบินที่ล้ำน่านฟ้าโดยไม่ขออนุมัติ...จะต้องเกิดจากการป้องกันตัวเอง
โดยทั่วไปเขาจะมีการปฏิบัติเป็นขั้นตอน โดยเริ่มจากการแจ้งเตือน เมื่อเริ่มที่จะมีแนวโน้มรุกล้ำน่านฟ้า ส่งเครื่องบินประกบ หากไม่หยุดก็จะมีการยิงขู่ โดยใช้ปืนที่หัวเครื่องบินเพื่อเตือนให้รับรู้ แต่ถ้ายังคงมาอีกเขาก็จำเป็นต้องยิงให้ตก

ยิงเครื่องบินรัสเซีย เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น
การจะยิงหรือไม่นั้น เจ้าหน้าที่ภาคพื้นจะมีการรายงานก่อนว่า อยู่ในพื้นที่เขตของใคร ส่วนจะยิงหรือไม่ อาจจะต้องดูท่าทีว่า “เป็นภัยคุกคาม” หรือไม่ เหมือนกับตำรวจจับโจร ถ้าจับแล้วโจรไม่สู้ก็จับมือเปล่า แต่ถ้าทางนั้นมีมีดมา เข้ามาใกล้ ทำท่าจะทำร้ายตำรวจ ตำรวจก็ต้องยิง”
“ถ้าหากตรวจสอบจากเรดาร์แล้ว พบว่า มีการยิงตกนอกเหนือเขตตัวเอง คนยิงก็ต้องชดใช้ค่าเสียหาย แต่ถ้าอยู่ในเขตเขา เขาก็มีสิทธิ์ มีเรื่องทะเลาะก็ต้องทะเลาะ”
สำหรับคำกล่าวอ้างที่ว่า เครื่องบินรบรัสเซียรุกล้ำน่านฟ้าประเทศุรกี 17 วินาที อดีตเจ้าเวหาของไทย มองว่า หากข้อมูลถูกต้องจริง ก็ถือว่ากินพื้นที่เข้าไปเยอะมาก เนื่องจากเครื่องบินสมัยใหม่มีความเร็วสูง

เหตุการณ์ ที่อาจกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว จนขยายวงกลายเป็นสงคราม
2 นักวิเคราะห์ชื่อดัง มองชนวนเหตุ
รศ.ดร.ฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้อำนวยการสถาบันการศึกษาความมั่นคงและนานาชาติ มองว่า เหตุการณ์ลักษณะนี้ไม่ค่อยจะเกิดขึ้นในยุคสมัยนี้ เพราะพื้นที่เกิดเหตุมีการมีเครื่องบินรบของหลายฝ่ายออกปฏิบัติการ ซึ่งเป็นไปในลักษณะต่างฝ่ายต่างบินโดยไม่มีการวางแผน ทำให้เมื่อเกิดการเผชิญหน้ากัน จะทำให้ต่างฝ่ายต่างระแวง ถึงแม้จะไม่ได้เป็นศัตรูกันก็ตาม ความผิดพลาดก็อาจเกิดขึ้นได้
สถานการณ์หน้ากังวลเพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เมื่อมีการปะทะกัน แล้วเป็นคนละฝ่าย ทำให้สันนิษฐานได้หลากหลาย สำหรับประเทศไทยควรให้ความสำคัญกับเหตุการณ์แบบนี้ เพราะอาจลุกลามกลายเป็นความขัดแย้งระดับใหญ่ได้ อย่าลืมว่า เครื่องบินตุรกีขึ้นปฏิบัติการในนามของนาโตโดยใช้เครื่องบินรบของอเมริกา รัสเซียจึงคิดได้ต่างๆ นานา การที่มหาอำนาจทะเลาะกัน แน่นอนว่าจะได้รับผลกระทบไปทั้งโลก แต่สำหรับประเทศไทยคงกระทบไม่มาก
“รัสเซียจำเป็นจะต้องสนับสนุนรัฐบาลของ อัล-อัสซาด อย่างเต็มที่ ด้วยการจัดกำลังรบเต็มรูปแบบ แต่สภาพภูมิศาสตร์ของตุรกีและซีเรีย ส่งผลให้การปฏิบัติการทางอากาศของเครื่องบินรบรัสเซีย เกิดการรุกล้ำน่านฟ้าตุรกีหลายครั้ง ซึ่งทางตุรกีได้ทำการเตือนไปยังรัสเซียหลายครั้งแล้ว ฉะนั้นเหตุการณ์ลักษณะนี้จะต้องเกิดขึ้นแน่นอนไม่วันใดก็วันหนึ่ง” ผอ.สถาบันความมั่นคงและนานาชาติ กล่าว

สัมพันธ์สองชาติ ยังเป็นเครื่องหมายคำถาม
ปฏิบัติการทางทหาร "พญาหมีขาว" ในซีเรีย สร้างแรงกดดันกลุ่มประเทศใกล้เคียง!
ขณะที่ ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงรัฐบาล กล่าวว่า การปฏิบัติการของรัสเซียในซีเรีย ทำให้เกิดความตึงเครียดในหลายประเทศบริเวณนั้นที่ไม่เห็นด้วย ในที่สุดก็มีการกระทบกระทั่งกัน ซึ่งมีมาสักพักหนึ่งแล้ว โดยเฉพาะตุรกีที่กล่าวหาว่าเครื่องบินรัสเซียได้รุกล้ำน่านฟ้าหลายครั้ง หากตุรกีไม่ทำอะไรเลย อาจจะถูกกลุ่มต่างๆ กล่าวหาว่าอนุญาตให้เครื่องบินชาติอื่นบินผ่านโดยไม่ทำอะไรเลย ซึ่งจะทำให้ตกเป็นเป้าโจมตีจากฝ่ายอื่นๆ ได้ โดยเฉพาะจากกลุ่มไอซิส ซึ่งตุรกีไม่ต้องการให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น....แต่คำถามที่ตามมาคือ ตุรกีใช้มาตรการตอบโต้ที่รุนแรงเกินไปหรือเปล่า? และ มีการรุกล้ำน่านฟ้าจริงอย่างที่อ้างหรือไม่?
“การกล่าวหากันไปกันมาและการใช้กำลังของสองฝ่ายยิ่งเพิ่มความตึงเครียดและทำให้ความขัดแย้งเริ่มขยายวงมากขึ้น”
รัสเซียและตุรกีไม่ได้อยู่ในฐานะคู่สงครามกัน แต่จะมีการพูดจาดุเดือด เนื่องจากฝ่ายรัสเซียแสดงจุดยืนค่อนข้างแข็งกร้าวมาโดยตลอด แต่ในความเป็นจริง กลับไม่มีอะไรเกินเลย แต่หลังจากเครืองบินถูกยิงตก คงจะมีการระมัดระวังตัวมากขึ้น เพราะหากไม่ควบคุมก็จะทำให้ปัญหาบานปลาย
พลิกวิกฤติเป็นโอกาส....ปูติน เดินหน้า 'กระชับพื้นที่' เฉลยทำไม..ตุรกี กล้าสอยเครื่องบินรัสเซีย!
รศ.ดร.ฐิตินันท์ วิเคราะห์ต่อว่า หลังยิงเครื่องบินรัสเซีย....แน่นอนว่าจะทำให้สถานการณ์ตึงเครียดมากขึ้น อย่างที่ วลาดิเมียร์ ปูติน ได้ประกาศไว้ว่า “ตุรกีจะต้องได้รับผลกระทบที่ตามมา” ส่วนฝ่ายตุรกีที่เป็นสมาชิกขอนาโต หากถูกรุกรานหรือโจมตี ก็สามารถเรียกร้องให้นาโตมาช่วยได้ ซึ่งรัสเซียทราบข้อนี้ดี จึงไม่ผลีผลามบุกโจมตีแบบดื้อๆ แต่คงจะหามาตรการที่สมน้ำสมเนื้อมาตอบโต้แทน
“ปฏิกิริยาของปูตินแสดงออกชัดเจนว่าจะกระชับพื้นที่มากขึ้น เพิ่มกำลังพลโดยเฉพาะเรือรบ ก็ถือเป็นการตอบโต้รูปแบบหนึ่ง ซึ่งหากใครถลำเข้ามา ก็อาจจะโดนสอยได้เหมือนกัน”
การที่ตุรกีหาญกล้าสอยเครื่องบินรบของรัสเซีย เนื่องจาก ถูกรัสเซียรุกล้ำน่านฟ้าหลายรอบ และการที่รัสเซียปฏิบัติการรบเต็มรูปแบบ ทำให้ชาวเคิร์ทที่อยู่ในหลายๆ ประเทศรวมทั้งในตุรกีเกิดความฮึกเหิม ซึ่งฝ่ายตุรกีที่ต้องการจะกดชาวเคิร์ดเอาไว้เพื่อไม่ให้ชาวเคิร์ดคิดแบ่งแยกดินแดน อีกอย่างรัสเซียสนับสนุนประธานาธิบดี อัล-อัสซาด ซึ่งทางตุรกีไม่เห็นด้วย ปัจจัยเหล่านี้โยงกันไปโยงกันมา นอกจากนี้ยังมีนาโตคอยหนุนหลังให้ตุรกีด้วย
“รัสเซียไม่ได้มีเรื่องบาดหมางกับนาโตเฉพาะเรื่องที่ประเทศตุรกีเท่านั้น แต่ด้านฝั่งทะเลบอลติกก็ยังมีความตึงเครียดอยู่ ฉะนั้นรัสเซียต้องเกรงบ้าง หากไม่มีนาโตตุรกีก็คงไม่กล้า”
สอดคล้องกับ อ.ปณิธาน ที่เชื่อว่าจุดยืนรัสเซียไม่เปลี่ยน ที่ยังคงสนับสนุน อัล-อัสซาด ชอง ซีเรีย ตุรกี ก็เช่นกัน ที่มีการต่อต้านอัดซาส อย่างรุนแรง หากให้มองโดยรอบจะทราบว่าตุรกีเองก็มีความคล้ายคลึงกับอีกหลายประเทศในแถบนั้น คือ อิหร่าน ซาอุดีอาระเบีย เพราะมีบทบาทเกี่ยวข้องกับซีเรีย ดังนั้น การกระทบกระทั่งยังคงมีเป็นระยะ โดยเฉพาะในเชิง “วาจา” ยังคงมีต่อไปเพราะมีจุดยืนที่ต่างกัน ขณะที่ นาโต เอง ก็กดดันรัสเซียอยู่ตลอด โดยมีอเมริกันอยู่เบื้องหลัง จะเห็นได้ว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้อยู่ที่ไอซิส หรือกลุ่มต่อต้านไอซิส เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นมันมีหลายประเทศที่ได้รับผลกระทบ กลายเป็น “บิลเลียน บอล” ที่กระทบกันไปมาทั้งโต๊ะส่งผลต่อเสถียรภาพ ทำให้นานาชาติต้องหาทางควบคุมเพราะหวั่นเกรงว่าจะเกิดปัญหาตามมาในอนาคต

ประธานาธิบดีโอบามา ในฐานะแกนนำนาโต จะแก้วิกฤตนี้ อย่างไร
มองให้ลึก ชนวนเหตุ "สงครามโลก ครั้งที่ 3" มาจาก...
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ถามว่า นี่จะเป็นชนวนเหตุสงครามโลกครั้งที่ 3 หรือไม่ ที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงของรัฐบาล กล่าวว่า ในแง่สงครามของระบบ จะต้องมีแกน ที่จะต้องเผชิญหน้ากันอย่างจริงจัง เช่น อุดมการณ์คอมมิวนิสต์เผชิญหน้ากับประชาธิปไตย แม้ตรงนี้จะคล้ายกัน เพราะมีการต่อต้านกลุ่มหัวรุนแรง บางคนจะมองว่า หากสนับสนุน อัล-อัสซาด แล้ว อัสซาส ไปปราบหัวรุนแรงได้ มันน่าจะดีกว่า เหมือนกับกรณซัดดัม ฮุสเซน ที่ปราบหัวรุนแรงได้ แต่อีกมุมหนึ่ง ที่เป็นกลุ่มซุหนี่ หัวปานกลาง ที่มองว่า ล้ม อัดซาส จะดีกว่า แต่ปัญหาใหญ่คือกลุ่มนี้ ไม่เข้มแข็งกลายเป็นสนับสนุนไอซิสทางอ้อม อย่างไรก็ตาม คาดว่าทุกฝ่ายเองก็ไม่ต้องการให้ไอซิสเข้มแข็งกว่านี้ ฉะนั้น จึงไม่ถึงขั้นของสงครามของระบบ
“แม้เราจะไม่ได้อยู่ในวงของความขัดแย้ง แต่สมัยนี้การปฏิบัติการเขาไม่เลือกสถานที่ หากที่ไหนอ่อนแอ ใช้เป็นสถานที่โจมตฝ่ายตรงข้ามได้ เราก็อาจจะตกเป็นเป้าได้เหมือนกัน เขาอาจจะมาเล่นงานกันที่บ้านเราก็ได้...”รศ.ดร.ฐิตินันท์ กล่าว

ผู้นำรัสเซีย แข็งกร้าวเสมอ ยามเผชิญหน้าตะวันตก
มีต่อ
ไขรหัสนาโต หาญท้า พญาหมีขาว ฤาถึงคราว เฉียด สงครามโลกครั้งที่ 3
จากกระทู้ นี้ http://pantip.com/topic/34487224
ส่วนข่าวนี้ คือการวิเคราะห์ จากบุคคลต่างๆ เกี่ยวกับ กรณีไขรหัสนาโต หาญท้า พญาหมีขาว ฤาถึงคราว เฉียด สงครามโลกครั้งที่ 3
กลายเป็นเรื่องใหญ่ และทั่วโลกต้องจับตา กับปฏิบัติการ “บ้าระห่ำ” ของตุรกี ที่หาญกล้าสอยเครื่องบิน SU-24 ร่วง ทำให้นักบินรัสเซียเสียชีวิต 1 และอีก 1 เจ้าหน้าที่ซีเรียช่วยเหลือไว้ได้ เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้หลายคนนึกถึงว่านี่....อาจจะกลายเป็นชนวนเหตุ “สงครามโลก ครั้งที่ 3” หรือไม่ ตุรกีคิดยังไงถึงสอยเครื่องบินรัสเซีย และที่สำคัญคือ “มาตรการเด็ดปีกนกเหล็ก” ของตุรกีนั้น เป็นไปตามหลักสากลหรือไม่ วันนี้ ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ มีคำตอบทุกเรื่อง
เครื่องบินรบรัสเซีย ต่อไปจะปฏิบัติการอย่างไร ในซีเรีย
อดีต ‘เสืออากาศไทย’ เผยขั้นตอน ปกป้องน่านฟ้า
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ได้รับการเปิดเผยขั้นตอนการจัดการเครื่องบินที่รุกล้ำน่านฟ้า จากอดีตนักรบเจ้าเวหาของไทย 2 ท่าน ซึ่งขออนุญาตไม่เปิดเผยชื่อ....
“ไม่ว่าจะเป็นเครื่องบินรบหรือเครื่องบินพาณิชย์ หากไม่มีการแจ้งแผนการบิน จะถือว่าเป็นการรุกล้ำน่านฟ้าทั้งสิ้น หลักการป้องกันภัยทางอากาศที่เป็นสากลและกองทัพอากาศไทยได้ใช้อยู่นั้น คือต้องมีการแจ้งเตือนด้วยวิทยุและจากเรดาร์การจราจรทางอากาศ ซึ่งจะเกิดขึ้นทันทีที่ตรวจพบการรุกล้ำน่านฟ้า...เครื่องบินที่ไม่มีแผนการบิน หากเข้ามาในเขตป้องกันภัยทางอากาศของประเทศใดประเทศหนึ่ง ประเทศที่ถูกรุกล้ำจะส่งเครื่องบินขึ้นไปเพื่อแจ้งเตือนและขับไล่ โดยจะมีการสื่อสารผ่านทางคลื่นวิทยุ on guard ซึ่งเป็นคลื่นความถี่สากล เครื่องบินลำอื่นๆ จะได้ยินทั้งหมด หากมีการแจ้งเตือนให้ออกนอกน่านฟ้า แต่เครื่องบินที่รุกล้ำไม่ปฏิบัติตาม นักบินขับไล่จำนวน 2 ลำ ก็จะขึ้นบินประกบบังคับให้เครื่องบินลำนั้นลงจอด หรือให้บินออกจากประเทศที่รุกล้ำเข้ามา”
อดีตเสืออากาศไทย กล่าวต่อว่า หากไม่ปฏิบัติตามอีก นักบินขับไล่จะต้องวิเคราะห์ว่าเป็นภัยต่อเขตน่านฟ้าและเป็นอันตรายต่อภาคพื้นดินหรือไม่ ถ้าวิเคราะห์แล้วพบว่าเป็นอันตราย นักบินจะขออำนาจยิงจากผู้บังคับบัญชา ให้ยิงทำลายเครื่องบินลำนั้น ส่วนการที่นักบินขับไล่จะตัดสินใจยิงเครื่องบินที่ล้ำน่านฟ้าโดยไม่ขออนุมัติ...จะต้องเกิดจากการป้องกันตัวเอง
โดยทั่วไปเขาจะมีการปฏิบัติเป็นขั้นตอน โดยเริ่มจากการแจ้งเตือน เมื่อเริ่มที่จะมีแนวโน้มรุกล้ำน่านฟ้า ส่งเครื่องบินประกบ หากไม่หยุดก็จะมีการยิงขู่ โดยใช้ปืนที่หัวเครื่องบินเพื่อเตือนให้รับรู้ แต่ถ้ายังคงมาอีกเขาก็จำเป็นต้องยิงให้ตก
ยิงเครื่องบินรัสเซีย เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น
การจะยิงหรือไม่นั้น เจ้าหน้าที่ภาคพื้นจะมีการรายงานก่อนว่า อยู่ในพื้นที่เขตของใคร ส่วนจะยิงหรือไม่ อาจจะต้องดูท่าทีว่า “เป็นภัยคุกคาม” หรือไม่ เหมือนกับตำรวจจับโจร ถ้าจับแล้วโจรไม่สู้ก็จับมือเปล่า แต่ถ้าทางนั้นมีมีดมา เข้ามาใกล้ ทำท่าจะทำร้ายตำรวจ ตำรวจก็ต้องยิง”
“ถ้าหากตรวจสอบจากเรดาร์แล้ว พบว่า มีการยิงตกนอกเหนือเขตตัวเอง คนยิงก็ต้องชดใช้ค่าเสียหาย แต่ถ้าอยู่ในเขตเขา เขาก็มีสิทธิ์ มีเรื่องทะเลาะก็ต้องทะเลาะ”
สำหรับคำกล่าวอ้างที่ว่า เครื่องบินรบรัสเซียรุกล้ำน่านฟ้าประเทศุรกี 17 วินาที อดีตเจ้าเวหาของไทย มองว่า หากข้อมูลถูกต้องจริง ก็ถือว่ากินพื้นที่เข้าไปเยอะมาก เนื่องจากเครื่องบินสมัยใหม่มีความเร็วสูง
เหตุการณ์ ที่อาจกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว จนขยายวงกลายเป็นสงคราม
2 นักวิเคราะห์ชื่อดัง มองชนวนเหตุ
รศ.ดร.ฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้อำนวยการสถาบันการศึกษาความมั่นคงและนานาชาติ มองว่า เหตุการณ์ลักษณะนี้ไม่ค่อยจะเกิดขึ้นในยุคสมัยนี้ เพราะพื้นที่เกิดเหตุมีการมีเครื่องบินรบของหลายฝ่ายออกปฏิบัติการ ซึ่งเป็นไปในลักษณะต่างฝ่ายต่างบินโดยไม่มีการวางแผน ทำให้เมื่อเกิดการเผชิญหน้ากัน จะทำให้ต่างฝ่ายต่างระแวง ถึงแม้จะไม่ได้เป็นศัตรูกันก็ตาม ความผิดพลาดก็อาจเกิดขึ้นได้
สถานการณ์หน้ากังวลเพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เมื่อมีการปะทะกัน แล้วเป็นคนละฝ่าย ทำให้สันนิษฐานได้หลากหลาย สำหรับประเทศไทยควรให้ความสำคัญกับเหตุการณ์แบบนี้ เพราะอาจลุกลามกลายเป็นความขัดแย้งระดับใหญ่ได้ อย่าลืมว่า เครื่องบินตุรกีขึ้นปฏิบัติการในนามของนาโตโดยใช้เครื่องบินรบของอเมริกา รัสเซียจึงคิดได้ต่างๆ นานา การที่มหาอำนาจทะเลาะกัน แน่นอนว่าจะได้รับผลกระทบไปทั้งโลก แต่สำหรับประเทศไทยคงกระทบไม่มาก
“รัสเซียจำเป็นจะต้องสนับสนุนรัฐบาลของ อัล-อัสซาด อย่างเต็มที่ ด้วยการจัดกำลังรบเต็มรูปแบบ แต่สภาพภูมิศาสตร์ของตุรกีและซีเรีย ส่งผลให้การปฏิบัติการทางอากาศของเครื่องบินรบรัสเซีย เกิดการรุกล้ำน่านฟ้าตุรกีหลายครั้ง ซึ่งทางตุรกีได้ทำการเตือนไปยังรัสเซียหลายครั้งแล้ว ฉะนั้นเหตุการณ์ลักษณะนี้จะต้องเกิดขึ้นแน่นอนไม่วันใดก็วันหนึ่ง” ผอ.สถาบันความมั่นคงและนานาชาติ กล่าว
สัมพันธ์สองชาติ ยังเป็นเครื่องหมายคำถาม
ปฏิบัติการทางทหาร "พญาหมีขาว" ในซีเรีย สร้างแรงกดดันกลุ่มประเทศใกล้เคียง!
ขณะที่ ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงรัฐบาล กล่าวว่า การปฏิบัติการของรัสเซียในซีเรีย ทำให้เกิดความตึงเครียดในหลายประเทศบริเวณนั้นที่ไม่เห็นด้วย ในที่สุดก็มีการกระทบกระทั่งกัน ซึ่งมีมาสักพักหนึ่งแล้ว โดยเฉพาะตุรกีที่กล่าวหาว่าเครื่องบินรัสเซียได้รุกล้ำน่านฟ้าหลายครั้ง หากตุรกีไม่ทำอะไรเลย อาจจะถูกกลุ่มต่างๆ กล่าวหาว่าอนุญาตให้เครื่องบินชาติอื่นบินผ่านโดยไม่ทำอะไรเลย ซึ่งจะทำให้ตกเป็นเป้าโจมตีจากฝ่ายอื่นๆ ได้ โดยเฉพาะจากกลุ่มไอซิส ซึ่งตุรกีไม่ต้องการให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น....แต่คำถามที่ตามมาคือ ตุรกีใช้มาตรการตอบโต้ที่รุนแรงเกินไปหรือเปล่า? และ มีการรุกล้ำน่านฟ้าจริงอย่างที่อ้างหรือไม่?
“การกล่าวหากันไปกันมาและการใช้กำลังของสองฝ่ายยิ่งเพิ่มความตึงเครียดและทำให้ความขัดแย้งเริ่มขยายวงมากขึ้น”
รัสเซียและตุรกีไม่ได้อยู่ในฐานะคู่สงครามกัน แต่จะมีการพูดจาดุเดือด เนื่องจากฝ่ายรัสเซียแสดงจุดยืนค่อนข้างแข็งกร้าวมาโดยตลอด แต่ในความเป็นจริง กลับไม่มีอะไรเกินเลย แต่หลังจากเครืองบินถูกยิงตก คงจะมีการระมัดระวังตัวมากขึ้น เพราะหากไม่ควบคุมก็จะทำให้ปัญหาบานปลาย
พลิกวิกฤติเป็นโอกาส....ปูติน เดินหน้า 'กระชับพื้นที่' เฉลยทำไม..ตุรกี กล้าสอยเครื่องบินรัสเซีย!
รศ.ดร.ฐิตินันท์ วิเคราะห์ต่อว่า หลังยิงเครื่องบินรัสเซีย....แน่นอนว่าจะทำให้สถานการณ์ตึงเครียดมากขึ้น อย่างที่ วลาดิเมียร์ ปูติน ได้ประกาศไว้ว่า “ตุรกีจะต้องได้รับผลกระทบที่ตามมา” ส่วนฝ่ายตุรกีที่เป็นสมาชิกขอนาโต หากถูกรุกรานหรือโจมตี ก็สามารถเรียกร้องให้นาโตมาช่วยได้ ซึ่งรัสเซียทราบข้อนี้ดี จึงไม่ผลีผลามบุกโจมตีแบบดื้อๆ แต่คงจะหามาตรการที่สมน้ำสมเนื้อมาตอบโต้แทน
“ปฏิกิริยาของปูตินแสดงออกชัดเจนว่าจะกระชับพื้นที่มากขึ้น เพิ่มกำลังพลโดยเฉพาะเรือรบ ก็ถือเป็นการตอบโต้รูปแบบหนึ่ง ซึ่งหากใครถลำเข้ามา ก็อาจจะโดนสอยได้เหมือนกัน”
การที่ตุรกีหาญกล้าสอยเครื่องบินรบของรัสเซีย เนื่องจาก ถูกรัสเซียรุกล้ำน่านฟ้าหลายรอบ และการที่รัสเซียปฏิบัติการรบเต็มรูปแบบ ทำให้ชาวเคิร์ทที่อยู่ในหลายๆ ประเทศรวมทั้งในตุรกีเกิดความฮึกเหิม ซึ่งฝ่ายตุรกีที่ต้องการจะกดชาวเคิร์ดเอาไว้เพื่อไม่ให้ชาวเคิร์ดคิดแบ่งแยกดินแดน อีกอย่างรัสเซียสนับสนุนประธานาธิบดี อัล-อัสซาด ซึ่งทางตุรกีไม่เห็นด้วย ปัจจัยเหล่านี้โยงกันไปโยงกันมา นอกจากนี้ยังมีนาโตคอยหนุนหลังให้ตุรกีด้วย
“รัสเซียไม่ได้มีเรื่องบาดหมางกับนาโตเฉพาะเรื่องที่ประเทศตุรกีเท่านั้น แต่ด้านฝั่งทะเลบอลติกก็ยังมีความตึงเครียดอยู่ ฉะนั้นรัสเซียต้องเกรงบ้าง หากไม่มีนาโตตุรกีก็คงไม่กล้า”
สอดคล้องกับ อ.ปณิธาน ที่เชื่อว่าจุดยืนรัสเซียไม่เปลี่ยน ที่ยังคงสนับสนุน อัล-อัสซาด ชอง ซีเรีย ตุรกี ก็เช่นกัน ที่มีการต่อต้านอัดซาส อย่างรุนแรง หากให้มองโดยรอบจะทราบว่าตุรกีเองก็มีความคล้ายคลึงกับอีกหลายประเทศในแถบนั้น คือ อิหร่าน ซาอุดีอาระเบีย เพราะมีบทบาทเกี่ยวข้องกับซีเรีย ดังนั้น การกระทบกระทั่งยังคงมีเป็นระยะ โดยเฉพาะในเชิง “วาจา” ยังคงมีต่อไปเพราะมีจุดยืนที่ต่างกัน ขณะที่ นาโต เอง ก็กดดันรัสเซียอยู่ตลอด โดยมีอเมริกันอยู่เบื้องหลัง จะเห็นได้ว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้อยู่ที่ไอซิส หรือกลุ่มต่อต้านไอซิส เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นมันมีหลายประเทศที่ได้รับผลกระทบ กลายเป็น “บิลเลียน บอล” ที่กระทบกันไปมาทั้งโต๊ะส่งผลต่อเสถียรภาพ ทำให้นานาชาติต้องหาทางควบคุมเพราะหวั่นเกรงว่าจะเกิดปัญหาตามมาในอนาคต
ประธานาธิบดีโอบามา ในฐานะแกนนำนาโต จะแก้วิกฤตนี้ อย่างไร
มองให้ลึก ชนวนเหตุ "สงครามโลก ครั้งที่ 3" มาจาก...
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ถามว่า นี่จะเป็นชนวนเหตุสงครามโลกครั้งที่ 3 หรือไม่ ที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงของรัฐบาล กล่าวว่า ในแง่สงครามของระบบ จะต้องมีแกน ที่จะต้องเผชิญหน้ากันอย่างจริงจัง เช่น อุดมการณ์คอมมิวนิสต์เผชิญหน้ากับประชาธิปไตย แม้ตรงนี้จะคล้ายกัน เพราะมีการต่อต้านกลุ่มหัวรุนแรง บางคนจะมองว่า หากสนับสนุน อัล-อัสซาด แล้ว อัสซาส ไปปราบหัวรุนแรงได้ มันน่าจะดีกว่า เหมือนกับกรณซัดดัม ฮุสเซน ที่ปราบหัวรุนแรงได้ แต่อีกมุมหนึ่ง ที่เป็นกลุ่มซุหนี่ หัวปานกลาง ที่มองว่า ล้ม อัดซาส จะดีกว่า แต่ปัญหาใหญ่คือกลุ่มนี้ ไม่เข้มแข็งกลายเป็นสนับสนุนไอซิสทางอ้อม อย่างไรก็ตาม คาดว่าทุกฝ่ายเองก็ไม่ต้องการให้ไอซิสเข้มแข็งกว่านี้ ฉะนั้น จึงไม่ถึงขั้นของสงครามของระบบ
“แม้เราจะไม่ได้อยู่ในวงของความขัดแย้ง แต่สมัยนี้การปฏิบัติการเขาไม่เลือกสถานที่ หากที่ไหนอ่อนแอ ใช้เป็นสถานที่โจมตฝ่ายตรงข้ามได้ เราก็อาจจะตกเป็นเป้าได้เหมือนกัน เขาอาจจะมาเล่นงานกันที่บ้านเราก็ได้...”รศ.ดร.ฐิตินันท์ กล่าว
ผู้นำรัสเซีย แข็งกร้าวเสมอ ยามเผชิญหน้าตะวันตก
มีต่อ