[CR] ตอนจบของรีวิว ‘RUNPEE’ The Novel สัมผัส ‘รุ่นพี่’ ฉบับนวนิยาย

อ่านพาร์ท 1 กันก่อนนะ ... จะได้สัมผัสรุ่นพี่แบบไม่ขาดตอน ^^
http://pantip.com/topic/34482283



ขณะอ่าน “รุ่นพี่”



บีเริ่มอ่านรอบแรกใน E-Book ที่กดซื้อมาตอนเที่ยงคืนในสภาพ “ปิดไฟมืดและคุมโปงสไตล์” เหมือนนางเอกไม่มีผิดเพี้ยนเลยค่ะ (ลองนึกสภาพค่ะว่าขณะอ่านตอนซีนสยองขวัญในช่วงเวลาตีสามตีสี่กว่าในบรรยากาศที่เงียบและมืดมาก  … อื้อหือ! พีคไปอีก! ฮาๆๆๆๆ) ตลอดระยะเวลาราวๆ 12 ชั่วโมงที่อ่าน “รุ่นพี่” แบบม้วนเดียวจบ มันเต็มไปด้วยความสนุกจนวางไม่ลงค่ะ เพราะเราเหมือนหลุดเข้าไปในโลกอีกใบหนึ่งที่คล้ายกับการเล่นเกมนักสืบและร่วมสืบคดีไปพร้อมๆกับพวกเขา และมันก็เป็นมากถึงขั้นที่ว่าบางครั้งเราก็อยากจะพับหนังสือและออกไปสู่โลกความจริงก่อนแต่กลับทำไม่ได้และบอกว่า “เออน่า! อ่านต่ออีกแป๊บนึง” (แล้วบอกกับตัวเองแบบนี้ … รอบที่ล้าน! ฮาๆๆๆๆ โชคดีนะที่เป็นวันหยุดพอดีเลยทำตัว Slow Life ไปกับนวนิยายเล่มนี้ได้)

ในทุกๆก้าวเดินไปยังบทต่างๆที่อ่านมา เราจะมีความรู้สึกอยากรู้อยากเห็นตลอดเวลาว่า “อืม! อันนี้แปลกๆนะ อันนี้มันมีพิรุธนะ เอ๊ะ!หรือว่าจะเป็นแบบนั้นแบบนี้นะ” ตัวเราเองจะมีคำถามในใจอยู่ตลอดเวลาเหมือนพยายามสังเกตและเก็บเบาะแสไปพร้อมๆกับตัวละครหลักทั้งสอง แต่ในขณะเดียวกัน ในบางช่วงเวลาที่ไม่ได้อยู่ในบทบาทของนักสืบ คนอ่านอย่างพวกเราก็จะเป็นเสมือนผู้ติดตามที่เฝ้ามองดูความเป็นไปของแต่ละตัวละคร ไม่ว่าตัวละครที่แค่เข้ามาเกี่ยวข้องหรือแม้แต่ตัวละครหลักๆ เราได้เห็นความเปลี่ยนแปลง เราได้สัมผัสถึงความรู้สึกและความจริงที่เกิดขึ้น อ่านแล้วเรารู้สึกได้ว่าเหมือนได้เดินทางร่วมไปกับพวกเขามาอย่างยาวนานเมื่อเทียบกับโลกของนวนิยายที่มันหมุนไป แม้ว่าในโลกของตัวหนังสือในชีวิตจริงจะเดินทางมาแค่เพียงไม่กี่ชั่วโมงก็สิ้นสุดลง

ความรู้สึกหลังอ่าน “รุ่นพี่” จบ



บีก็ไม่รู้นะคะว่าผู้อ่านท่านอื่นเค้าจะรู้สึกยังไง … แต่ feedback แรกที่เกิดขึ้นกับตัวเองหลังอ่านบทสุดท้ายจบลงคือ “ร้องไห้” ซึ่งในบรรดาหนังสือวรรณกรรมหรือนวนิยายที่เคยอ่านมา มีไม่กี่เล่มที่ตัวเราจะเป็นแบบนี้ในตอนจบ เราไม่ได้ร้องไห้เพราะมันจบ ไม่ได้ร้องไห้เพราะด้วยเหตุที่เป็นด้านลบอะไรเลย แต่เรารู้สึกว่า “มันสวยงาม” สวยมาตั้งแต่ต้นเรื่องจนกระทั่งจบเรื่อง สวยจนน้ำตามันไหลออกมาเอง คนจะว่าๆเราเป็นคน Sensitive ก็ได้ค่ะ แต่อาจจะเป็นเพราะสิ่งที่อยู่ในนวนิยายเรื่องนี้ บางส่วนก็เกิดกับตัวเราเอง ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม ณ จุดๆนั้น เราเข้าใจ เราอิ่มใจและเห็นด้วยในทุกๆอย่างที่เกิดในนวนิยาย “รุ่นพี่” เรื่องนี้ ถึงบางจุดบางตอน เราจะรู้สึกขัดแย้งในตัวเองได้ว่ามันไม่น่าจะเกิดขึ้นได้จริงๆ หรือในชีวิตจริง มันอาจจะไม่เกิดแบบนี้ แต่สุดท้ายคือเรารับได้ เพราะ “ถึงมันจะไม่เป็นไปได้ แต่ความรู้สึกในจิตใจของคนอ่าน มัน Real มากในความรู้สึก” (ต้องมีคนถามแน่ๆว่าช่วยอธิบายให้มากกว่านี้หน่อย .. อันนี้ก็พูดไม่ได้จริงๆนะ ต้องอ่านเองและจะเข้าใจความรู้สึกนี้ แฮ่ๆ)

การวางองค์ประกอบและการยิงจุดพลิกในเรื่องที่ถูกจังหวะตลอดเวลาที่เราอยู่ในโลกของอทิติและรุ่นพี่เป็นสิ่งที่ชวนหลอกล่อให้เราไขว้เขวไปกับผู้ต้องสงสัยมากมาย แต่ท้ายสุดแล้ว …. เดาผิดค่ะ ฮาๆๆๆๆๆ (แต่ก็แอบถูกบ้างนิดหน่อยนะ แต่ถ้ามองในส่วนของการสรุปคดี หนูบียอมรับว่าสอบตกค่ะ ไปไม่รอด TvT) … คำเดียวนะคะ “ยอมใจ! TT” ผู้เขียนเขียนเก่งมากจริงๆ

หลายคนมักจะต้องตั้งคำถามเสมอว่า “จบอย่างไร?” สำหรับรุ่นพี่ บีรู้สึกได้ว่าเป็นการจบแบบ “ปลายเปิด” นะคะ ทั้งนี้ทั้งนั้น ผู้อ่านต้องตั้งคำถามกับตัวเองค่ะว่า “คุณโฟกัสที่เรื่องอะไรสำหรับคำถามข้อนี้ และคุณพีงพอใจกับสิ่งที่เจอหรือเปล่า” เพราะถ้าคุณโฟกัสไปที่เรื่องๆนึง จุดจบก็จะเป็นความรู้สึกหนึ่ง แต่ถ้ามองในอีกเรืองๆหนึ่ง คำตอบก็อาจจะไม่เหมือนกันก็ได้ หรือถึงคำตอบจะมาในแนวเดียวกัน แต่มันก็ต้องอยู่ที่ใจของผู้อ่านนี่แหละค่ะที่จะตอบออกมาได้เอง แล้วด้วยความที่ว่า “รุ่นพี่” เป็นนวนิยายที่ตีพิมพ์ก่อนที่ภาพยนตร์จะเข้าฉายจริง ตัวเราเองจากจุดนี้ที่ได้ตัดสินใจเลือกที่จะอ่านนวนิยายไปก่อนแล้วนั้น ก็ยังอยากจะดูในเวอร์ชั่นภาพยนตร์อยู่ดี เพราะ “สำหรับบางคำถาม ภาพยนตร์อาจจะให้คำตอบเราได้ดี เพราะในนวนิยายนั้น เขาได้ปล่อยให้เราได้คิดต่อไปเองก่อนแล้ว”

หลังจากอ่านรุ่นพี่ฉบับ E-Book รอบแรกจบลงในสถิติเกือบๆ 12 ชั่วโมง ตัดสินใจไปร้าน B2S สาขาที่ใกล้ที่สุดทันทีอย่างไม่ลังเล  ปรากฎว่าขายดีมาก ติด BEST SELLER ของร้าน และในวันนั้นที่บีไปซื้อก็เรียกได้ว่า “แอบไปช่วงชิงกันเบาๆ” เพราะสาขา The Paseo รามคำแหงซึ่งเป็นสาขาที่บีไปซื้อหนังสือเล่มนี้มานั้น มีเพียงแค่ 3 เล่มในสต๊อกเท่านั้นเอง! (และแอบดีใจที่เป็นรุ่นน้องของรุ่นพี่ในรอบการตีพิมพ์ครั้งที่ 1 ด้วย … ถ้านับรุ่นในชั้นเรียนก็คงจะเป็นรุ่นบุกเบิกสร้างโรงเรียนก็เป็นได้) ด้วยความตั้งใจที่อยากจะอุดหนุนฉบับรูปเล่มเพื่อซื้อเก็บลงชั้นหนังสือของบ้านตัวเอง กลับกลายเป็นว่าอ่านซ้ำแล้วซ้ำอีกไม่รู้กี่รอบ (ถ้านับถึงตอนที่นั่งเขียนรีวิวฉบับนี้ที่เคยสัญญาว่าจะอ่านรอบ 3 ให้จบแล้วเขียนรีวิว ความจริงแล้ว … ผ่านไปแล้วราวๆ 7 รอบค่ะและไม่มีทีท่าว่าจะหยุดแค่นี้ด้วยสิ ฮาๆๆๆๆ) แต่ความน่าแปลกใจคือทุกครั้งที่เราเริ่มต้นการสืบคดีไปพร้อมๆกับคู่หูนักสืบคู่นี้ ความสนุกไม่เคยลดเลย และแน่นอนว่าความฟินจิกหมอนพังไปหลายๆใบมันก็ยังคงเส้นคงวาในระดับที่มันเป็นไปเสมอ (เพราะยังมีอาการแอบปิดหนังสือแล้วกรี๊ดออกมาเบาๆ *เรารู้ ต้องมีคนเป็นแบบเรา เราเชื่อ!*)

ถ้าพูดในส่วนของความน่ากลัวเรื่องฉากผีที่เกิดในเรื่อง ถือว่าจัดมาได้โหดและน่ากลัวพอควร ถึงจะมาแบบตัวอักษรก็น่ากลัวค่ะ (ที่น่ากลัวเพราะมันจะพ่วงกับจินตนาการล้านแปดของคนอ่านนั่นเอง) ผีหลายๆตนที่เราเคยจินตนาการว่ามันอาจจะมี มันก็มีจริงๆจนตอนนี้มันก็มีอาการหลอนบ้างเล็กน้อยนะ (ฮาๆๆๆ) แต่พออ่านไปหลายๆรอบมากขึ้น เริ่มออกแนวเรามีภูมิต้านทานแล้วพอตัว อย่างไรก็ตาม ทีมผีนี้ก็ยังคงความน่ากลัวไว้เสมอต้นเสมอปลาย (แต่ก็อย่างว่าค่ะ เชื่อเถอะ เดี๋ยวไปดูในโรงภาพยนตร์ก็จะเหว๋ออีกเพราะความน่ากลัวของทีมผีๆนี่แหละ ไม่น่าจะรอดนะ ฮาๆๆๆๆๆๆ)

“รุ่นพี่” นวนิยายที่ฉีกกฎทุกความเชื่อเรื่อง “ผี” ที่เคยได้ยินมา


เนื่องจากทักษะการสัมผัสวิญญาณในเรื่องแตกต่างไปจากนวนิยายทั่วๆไปอย่างสิ้นเชิง ทำให้เป็นจุดสำคัญในการวัดความสนุกและสมจริงของนวนิยายเรื่องนี้ แต่เมื่ออ่านจบแล้ว ค่อนข้างพอใจและสามารถทำให้เราเชื่อได้ว่า “สัมผัสนี้มันเกิดขึ้นได้จริงๆ” ด้วยเหตุผลที่จับต้องได้ การนำเอาสิ่งรอบตัวมาอธิบายที่มาที่ไปของเรื่องๆหนึ่งที่ทำให้เราเข้าใจง่าย มองภาพออก มันช่วยสร้างความเชื่อในเรื่องนี้ได้ดี ไม่งมงายแต่เห็นด้วยเพราะมีเหตุมีผล เหมือนที่ใครๆก็บอกว่าเรื่องผี วิทยาศาสตร์มันพิสูจน์ไม่ได้ แต่สำหรับ “รุ่นพี่” คือเรื่องผีๆที่ใช้ความเป็นจริงรอบตัวในการอธิบายเรื่องราวในนั้น

อีกสิ่งที่ชอบคือผีในเรื่องนี้ ไม่เหลือซึ่งความเชื่อเดิมๆอีกเลย แม้ว่าธีมหลักของนวนิยายเรื่องนี้จะเกิดขึ้นในโรงเรียนคริสต์ แต่เรื่องความเชื่อเรื่องผีนั้นไม่ได้อิงความเชื่อเรื่องศาสนาใดๆเลย ซึ่งก็แตกต่างจากเรื่องผีทั่วๆไปที่จะอิงความเชื่อเรื่องเวรกรรมเพราะเมื่อเริ่มต้นการอ่าน ผู้เขียนจะทำให้เรารู้สึกว่าตัวละครกำลังแนะนำตัวเองให้เรารู้จักเขาก่อน รู้กฎกติกาและข้อจำกัดของแต่ละคนของโลกใบนี้ก่อน เหมือนผู้เขียนได้พยายามให้เราได้เข้าใจจุดเริ่มต้นของตัวละครก่อนออกเดินทาง และเมื่อถึงเวลาที่คนอ่านรู้เพียงพอเกี่ยวกับกติกาที่ควรจะเป็นแล้ว หลังจากนี้จะเจออะไร ตัวผู้อ่านจะมองเหตุการณ์ไปพร้อมๆกับตัวละครได้เองบนกฎเกณฑ์ที่ผู้เขียนปูทางไว้ตั้งแต่แรก ซึ่งผิดกับนวนิยายผีเรื่องอื่นๆที่อาศัยความเชื่อดั้งเดิมในโลกความจริงนอกหนังสือและถือเป็นเสน่ห์ทรงพลังที่สุดของนวนิยายเรื่องนี้

ผีในเรื่องนี้เป็นผีที่มีเหตุมีผลในความรู้สึกของเราค่ะซึ่งมันก็แตกต่างจากผีในความเชื่อเดิมๆที่บางครั้งก็มาแบบไม่มีเหตุผล ในเรื่องนี้ ทำให้เรารู้ว่าเขาอยู่ เขามีตัวตนเพราะเขามีเหตุผลของเขา และมีเหตุจูงใจอะไรที่เขาถึงแบบนี้ ทุกอย่างมีที่มาที่ไปในตัวของมันเองและด้วยกฎกติกาที่ผู้เขียนวางไว้ในเรื่องก็ทำให้ผีในเรื่องนี้ทุกตนโผล่มาอย่างมีจุดประสงค์ทุกครั้ง (แต่จะโผล่มาเพราะอะไรอย่างไร … ต้องไปพิสูจน์เองค่ะ)

“รุ่นพี่” โมเมนต์สุดคลาสสิคที่นำ “อดีต” และ “ปัจจุบัน” มาคู่กันได้อย่างไม่มีสะดุด

อันดับแรกเลยคือเรารู้กันดีอยู่แล้วว่าตัวละครเอกของเรื่องมาจากคนละยุคสมัย รุ่นพี่ก็เป็นคนในยุคอดีต และม่อนก็เป็นสาวยุคปัจจุบัน ด้วยห้วงเวลาที่ทับซ้อนกันนั้น นอกเหนือจากความสัมพันธ์ในเชิงคู่หูนักสืบคดีวังพรรณวดีแล้ว ทั้งสองยังเป็นตัวแทนของทั้งสองยุคที่ผู้เขียนพยายามนำเอาอดีตที่บางครั้งเราอาจจะไม่รู้จักหรือลืมไปแล้วมานำเสนอควบคู่กับความทันสมัยของยุคปัจจุบัน ผู้เขียนได้หยอดเอาโมเมนต์เล็กๆน้อยๆที่ยุคนี้ไม่อาจจะพบเจออีกแล้วอย่าง “จดหมาย” หรือ “ความรักของคนในสมัยก่อน” มาใส่ผ่านการแสดงออกของรุ่นพี่ และนำเอาความทันสมัยในยุคปัจจุบันอย่างการเล่น Social Media การดูละครสืบสวนสอบสวนในสมัยปัจจุบัน ผ่านการถ่ายทอดของรุ่นน้อง ซึ่งภายในเรื่องนั้น นอกจากมันจะไม่ดูขัดแย้งกันเอง เรายังจะได้เห็นการปรับตัวของสิ่งที่แตกต่างของทั้งสองยุคเข้าด้วยกันผ่านโมเมนต์น่ารักๆของคนสองคนนี้ ซึ่งนี่ก็เป็นอีกความประทับใจที่ส่งผลให้นวนิยายเล่มนี้ดูสวยงามในความรู้สึกของผู้อ่านค่ะ

ว่าด้วยเรื่องโรแมนติก เป็นการนำเสนอโมเมนต์น่ารักๆที่เหมือนเป็นอดีตสู่ปัจจุบันที่เปลี่ยนไป ผู้เขียนนำเอาเสน่ห์ของความรักในสมัยก่อนที่มักจะดำเนินไปอย่างช้าๆผิดกับเวลาที่ผ่านไปอย่างรวดเร็วอย่างปัจจุบันผ่านรุ่นพี่ที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรแต่แท้จริงแล้ว เขาเป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์มาก ซึ่งเสน่ห์แบบช้าๆแบบนี้ เริ่มจะหาได้ยากในความรักยุคปัจจุบันที่ดูจะรวดเร็ว ด่วนได้ และสิ้นเปลือง … (สำหรับบีแล้ว เข้าใจนะและฟินจิกหมอนซะเหลือเกิน) เป็นอีกเรื่องที่ผู้เขียนป้อนเอามุมมองความรักแบบผู้ใหญ่ในยุคสมัยก่อนผ่านเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นของตัวละครวัยแรกรุ่น (ทั้งม่อนที่เป็นวัยรุ่นจริงๆ รุ่นพี่ที่ก็เคยเป็นวัยรุ่นเมื่อหลายสิบปีก่อน หรือแม้แต่เพื่อนของม่อนเพียงคนเดียวในชีวิตอย่าง “แอ้น” ก็เช่นกัน)

นอกจากนี้ อีกสิ่งที่เป็นองค์ประกอบที่ทำให้นวนิยายเรื่องนี้ทำให้เราเสียน้ำตาได้อย่างไม่น่าเสียคือการเลือก Location ในเรื่องที่เกิดขึ้นในพื้นที่ประวัติศาสตร์ที่ในโลกความจริง มันก็มีมาตั้งแต่อดีตจริงๆอย่าง “เขตพระนคร กรุงเทพฯ” บีก็ไม่แน่ใจว่าเด็กๆที่เกิดหลัง 90Line (หลังปี 90) จะเข้าใจโมเมนต์นี้มั้ย แต่บีเชื่อว่าคนที่อายุมากกว่าบีหรือทันเหตุการณ์สำคัญๆของบ้านเมือง ณ บริเวณถนนราชดำเนิน จะต้องรู้ดีว่าที่แห่งนั้นสวยงามมากแค่ไหน

ในความใฝ่ฝันของหญิงสาวหลายๆคน ใครจะรู้ล่ะคะว่าหนึ่งในนั้นคือ “การเดินชมไฟประดับในเวลากลางคืนที่บริเวณถนนราชดำเนินหรือละแวกใกล้เคียง” หลายคนย่อมรู้ว่าในช่วงที่มีการเฉลิมฉลองโอกาสสำคัญๆ ถนนเส้นนี้จะเต็มไปด้วยไฟประดับตกแต่งและซุ้มต่างๆที่น่าถ่ายรูปและน่าผ่อนสายตามาก ซึ่งผู้เขียนนำเอาความสวยงามนี้มาบรรยายลงในหนังสือได้อย่างครบถ้วน ทำให้เรารับรู้ได้ว่าฉากเบื้องหลังนั้นที่มันเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์มากมาย ผ่านมากี่ยุคสมัย ณ ที่ตรงนั้นก็ยังสวยงามเหมือนเดิม ต้องขอบคุณผู้เขียนที่ทำให้เรารู้สึกแบบนั้นค่ะ

อ่านต่ออีกหน่อยใน Comment นะคะ ^^
ชื่อสินค้า:   หนังสือนวนิยาย "รุ่นพี่"
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่