(เรื่องราวจาก
http://www.facebook.com/JapanPerspectives )
จากในภาพ…
ผมกำลังอยู่บนรถบัสที่เบื้องหน้าเป็นทะเลเพลิง
เต็มไปด้วยไฟเบรคหลังรถ...ยาวววววสุดลูกหูลูกตา
มันคือความซวยด้วยความไม่รู้ ที่ดันแพลนไปฮาโกเน่
ในช่วงวันหยุด Long Holidays ของคนญี่ปุ่น
เล่นเอาจาก ฮาโกเน่-ชินจูกุ ล่อไป 5 ชั่วโมงเต็มๆ!!!
(ปกติ 2 ชั่วโมงครึ่ง)
เป็นหนึ่งในการเดินทางในญี่ปุ่น ที่ “ทรหด” ที่สุดแล้ว!
(ปกติเดินทางด้วยรถไฟ กำหนดเวลาได้)
แต่ตลอดเส้นทางแห่งความความทรหดนี้
ก็ได้มอบบทเรียนอันล้ำค่าให้แก่ผม !
///////////////////////////////////////
1) บนรถ “เงียบ” มากกกกกกกกก!
รถติดนรกแตกแบบนี้ คงทำให้
แผนเวลาการเดินทางของใครหลายคน คลาดเคลื่อน
แต่ไม่มีใครบ่น ไม่มีใครแสดงอารมณ์เสีย หงุดหงิด
ไม่มีใครคุยกันเลย (มีเพียงกระซิบกันเล็กน้อย)
“ตื่นตัว...แต่ไม่ตื่นตระหนก”
ทุกคนยังคงรักษามาตรฐานที่สูงนี้ ไว้ได้อย่างเหนียวแน่น
.
.
2) เวลาลงรถ ทุกคนนำ “ขยะ” ติดตัวลงไปด้วย
ไม่มีขวดน้ำ เศษพลาสติกใดๆเหลือทิ้งไว้เลย
.
.
3) ตลอดการเดินทางบนท้องถนนอันยาวนานนี้
ไม่มีเสียง “บีบแตร” ให้ได้ยินเลยแม้แต่ครั้งเดียว!!!
ทุกคนต่างก็คงรีบ + หงุดหงิดบ้าง เป็นธรรมดา
แต่ไม่มีใครแสดงอารมณ์เสียต่อกัน
.
.
4) แทบไม่มีการ “มุด” เปลี่ยนเลนไปมาเลย
ต่างขับอยู่ในเลนของตัวเองไปเรื่อยๆพร้อมกันทุกเลน
การ Flow ของจราจรโดยรวม จึงเป็นไปอย่างราบรื่น
นี่คงเป็นเหตุผลที่ Adaptive Cruise Control
แสดงประสิทธิภาพได้สูงสุด
ในประเทศที่การจราจรเป็นแบบนี้
.
.
5) บางช่วง รถเคลื่อนตัวได้ช้า สลับหยุดนิ่ง
จังหวะที่ออกตัว จะไม่รีบเหยียบคันเร่งแรงๆตามคันหน้า
(เพราะเดี๋ยวก็ต้องไปเบรคข้างหน้าอยู่ดี)
แต่จะค่อยๆออกตัวแทน คือค่อยๆขับตามไปเรื่อยๆ
ไม่ใช่ “ขับๆเบรคๆ”!!
จากผลการวิจัยบอกว่า
ในสภาพจราจรที่รถติด สลับหยุดนิ่งนั้น
การ “ค่อยๆเร่งตาม” คันหน้าที่ออกตัวไป โดยมีการทิ้งระยะห่างไว้บ้าง
จะทำให้การ Flow ของจราจรโดยรวม รวดเร็วกว่า...“รีบจี้ตามเร็วๆ แล้วไปเบรคทีหลัง”
(แถมอัตราการกินน้ำมันยังน้อยกว่าด้วย)
.
.
6) แต่ละคัน ขับ+หยุด รถห่างคันหน้า...เผื่อออกไปอีก!
ดังที่ผมได้โพสไปเมื่อวันก่อน
.
.
+++++++++++++++++++++++++++++
และข้อนี้สำคัญมาก ผมเน้นสุดๆ
7) ไม่มีใคร ขับบน “ไหล่ทาง” (ทางฉุกเฉิน) เลยยย!!!
เพราะสงวนไว้สำหรับรถที่เสียจริงๆ
หรือ รถพยาบาล รถฉุกเฉินต่างๆ
ผมไม่รู้ว่าจะนำมาใช้กับบ้านเราได้มากน้อยแค่ไหน
แต่ผมไม่ได้ขับบนไหล่ทาง (ทางฉุกเฉิน) มานานแล้ว
เพราะเชื่ออยู่เสมอว่า มันควรจะเป็น “พื้นที่”
สำหรับคนที่ฉุกเฉินจริงๆ เช่น รถพยาบาล
ผมคิดอยู่เสมอว่า ผู้ป่วยฉุกเฉินที่อยู่ในรถพยาบาลนั้น
เวลาแต่ละ “วินาที” มันมีความหมาย
หากถึงมือหมอ ช้าไปเพียงแค่ไม่กี่วิ
...อาจเกิดการสูญเสียได้
เปิดเลนใหม่ บนไหล่ทาง นั้นแสนง่าย
รวดเร็วกว่า ใครๆ เป็นไหนๆ
แต่ผมพยายามเตือนสติตัวเองว่า
มากน้อย ยังไงมันก็ติดอยู่ดี
จะเลือก “ติดแบบสะเปะสะปะ” ?
หรือ “ติดแบบเป็นระเบียบ” ?
ผมเคยได้ยินพระท่านหนึ่งกล่าวว่า
“อะไรที่ถูก แม้จะไม่มีใครทำเลย...ก็ถูกอยู่วันยังค่ำ”
“อะไรที่ผิด แม้ทุกคนจะทำ...ก็ผิดวันยังค่ำอยู่ดี”
///////////////////////////////////////
อะไรที่เรามองว่าเป็น ปัญหา/ อุปสรรค
มันอาจจะไม่ได้แย่ขนาดนั้นก็ได้
บางที...การได้เจอรถติด (ในญี่ปุ่น) แบบนี้
ก็ไม่เลวแฮะ (แต่ติดทุกวันก็ไม่ไหวนา 555)
.
.
.
แล้วทุกคนเคยได้บทเรียนอะไรดีๆ จากบนท้องถนนในญี่ปุ่นบ้างครับ?
---------------------------------
สามารถกด รับ Notification
เพื่อความสะดวกยิ่งขึ้นในการรับข้อมูลนะคร้าบบ
JapanPerspective
『 บทเรียน...จากรถติดบนทางด่วนญี่ปุ่น 』
(เรื่องราวจาก http://www.facebook.com/JapanPerspectives )
จากในภาพ…
ผมกำลังอยู่บนรถบัสที่เบื้องหน้าเป็นทะเลเพลิง
เต็มไปด้วยไฟเบรคหลังรถ...ยาวววววสุดลูกหูลูกตา
มันคือความซวยด้วยความไม่รู้ ที่ดันแพลนไปฮาโกเน่
ในช่วงวันหยุด Long Holidays ของคนญี่ปุ่น
เล่นเอาจาก ฮาโกเน่-ชินจูกุ ล่อไป 5 ชั่วโมงเต็มๆ!!!
(ปกติ 2 ชั่วโมงครึ่ง)
เป็นหนึ่งในการเดินทางในญี่ปุ่น ที่ “ทรหด” ที่สุดแล้ว!
(ปกติเดินทางด้วยรถไฟ กำหนดเวลาได้)
แต่ตลอดเส้นทางแห่งความความทรหดนี้
ก็ได้มอบบทเรียนอันล้ำค่าให้แก่ผม !
///////////////////////////////////////
1) บนรถ “เงียบ” มากกกกกกกกก!
รถติดนรกแตกแบบนี้ คงทำให้
แผนเวลาการเดินทางของใครหลายคน คลาดเคลื่อน
แต่ไม่มีใครบ่น ไม่มีใครแสดงอารมณ์เสีย หงุดหงิด
ไม่มีใครคุยกันเลย (มีเพียงกระซิบกันเล็กน้อย)
“ตื่นตัว...แต่ไม่ตื่นตระหนก”
ทุกคนยังคงรักษามาตรฐานที่สูงนี้ ไว้ได้อย่างเหนียวแน่น
.
.
2) เวลาลงรถ ทุกคนนำ “ขยะ” ติดตัวลงไปด้วย
ไม่มีขวดน้ำ เศษพลาสติกใดๆเหลือทิ้งไว้เลย
.
.
3) ตลอดการเดินทางบนท้องถนนอันยาวนานนี้
ไม่มีเสียง “บีบแตร” ให้ได้ยินเลยแม้แต่ครั้งเดียว!!!
ทุกคนต่างก็คงรีบ + หงุดหงิดบ้าง เป็นธรรมดา
แต่ไม่มีใครแสดงอารมณ์เสียต่อกัน
.
.
4) แทบไม่มีการ “มุด” เปลี่ยนเลนไปมาเลย
ต่างขับอยู่ในเลนของตัวเองไปเรื่อยๆพร้อมกันทุกเลน
การ Flow ของจราจรโดยรวม จึงเป็นไปอย่างราบรื่น
นี่คงเป็นเหตุผลที่ Adaptive Cruise Control
แสดงประสิทธิภาพได้สูงสุด
ในประเทศที่การจราจรเป็นแบบนี้
.
.
5) บางช่วง รถเคลื่อนตัวได้ช้า สลับหยุดนิ่ง
จังหวะที่ออกตัว จะไม่รีบเหยียบคันเร่งแรงๆตามคันหน้า
(เพราะเดี๋ยวก็ต้องไปเบรคข้างหน้าอยู่ดี)
แต่จะค่อยๆออกตัวแทน คือค่อยๆขับตามไปเรื่อยๆ
ไม่ใช่ “ขับๆเบรคๆ”!!
จากผลการวิจัยบอกว่า
ในสภาพจราจรที่รถติด สลับหยุดนิ่งนั้น
การ “ค่อยๆเร่งตาม” คันหน้าที่ออกตัวไป โดยมีการทิ้งระยะห่างไว้บ้าง
จะทำให้การ Flow ของจราจรโดยรวม รวดเร็วกว่า...“รีบจี้ตามเร็วๆ แล้วไปเบรคทีหลัง”
(แถมอัตราการกินน้ำมันยังน้อยกว่าด้วย)
.
.
6) แต่ละคัน ขับ+หยุด รถห่างคันหน้า...เผื่อออกไปอีก!
ดังที่ผมได้โพสไปเมื่อวันก่อน
.
.
+++++++++++++++++++++++++++++
และข้อนี้สำคัญมาก ผมเน้นสุดๆ
7) ไม่มีใคร ขับบน “ไหล่ทาง” (ทางฉุกเฉิน) เลยยย!!!
เพราะสงวนไว้สำหรับรถที่เสียจริงๆ
หรือ รถพยาบาล รถฉุกเฉินต่างๆ
ผมไม่รู้ว่าจะนำมาใช้กับบ้านเราได้มากน้อยแค่ไหน
แต่ผมไม่ได้ขับบนไหล่ทาง (ทางฉุกเฉิน) มานานแล้ว
เพราะเชื่ออยู่เสมอว่า มันควรจะเป็น “พื้นที่”
สำหรับคนที่ฉุกเฉินจริงๆ เช่น รถพยาบาล
ผมคิดอยู่เสมอว่า ผู้ป่วยฉุกเฉินที่อยู่ในรถพยาบาลนั้น
เวลาแต่ละ “วินาที” มันมีความหมาย
หากถึงมือหมอ ช้าไปเพียงแค่ไม่กี่วิ
...อาจเกิดการสูญเสียได้
เปิดเลนใหม่ บนไหล่ทาง นั้นแสนง่าย
รวดเร็วกว่า ใครๆ เป็นไหนๆ
แต่ผมพยายามเตือนสติตัวเองว่า
มากน้อย ยังไงมันก็ติดอยู่ดี
จะเลือก “ติดแบบสะเปะสะปะ” ?
หรือ “ติดแบบเป็นระเบียบ” ?
ผมเคยได้ยินพระท่านหนึ่งกล่าวว่า
“อะไรที่ถูก แม้จะไม่มีใครทำเลย...ก็ถูกอยู่วันยังค่ำ”
“อะไรที่ผิด แม้ทุกคนจะทำ...ก็ผิดวันยังค่ำอยู่ดี”
///////////////////////////////////////
อะไรที่เรามองว่าเป็น ปัญหา/ อุปสรรค
มันอาจจะไม่ได้แย่ขนาดนั้นก็ได้
บางที...การได้เจอรถติด (ในญี่ปุ่น) แบบนี้
ก็ไม่เลวแฮะ (แต่ติดทุกวันก็ไม่ไหวนา 555)
.
.
.
แล้วทุกคนเคยได้บทเรียนอะไรดีๆ จากบนท้องถนนในญี่ปุ่นบ้างครับ?
---------------------------------
สามารถกด รับ Notification
เพื่อความสะดวกยิ่งขึ้นในการรับข้อมูลนะคร้าบบ
JapanPerspective