ทริปนี้มันเริ่มมาจาก เรา...ที่อยากลอง backpack ไปคนเดียวดูบ้าง
ด้วยความที่ไม่เคยไปไหนมาไหนคนเดียว ทำให้เราต้องหาข้อมูลแบบโคตรละเอียด ได้ว่าละเอียดยิบเลยทีเดียว
หามานานในที่สุดเราก็ตกลงปลงใจ เทคะแนนให้กับเชียงคาน
ตามกระทู้ของพี่พีช (
http://pantip.com/topic/32818559 ใครยังไม่เคยอ่าน ลองเข้าไปอ่านนะคะ กระทู้น่ารักมาก)
จากที่คอยส่องแต่กระทู้คนอื่นมานาน นี่จึงเป็นกระทู้แรกที่เขียนเอง ยังไงฝากไว้ด้วยนะคะ ^^
แรกเริ่มเดิมทีเรามีแผนกันว่าจะไปเที่ยวกันยกแก๊งค์ที่กาญจนบุรีค่ะ พวกเราอยู่ปี4กันหมดแล้ว กำลังเตรียมตัวสหกิจกัน เลยตั้งใจไปเที่ยวด้วยกันก่อนแยกย้ายไปสหกิจ เรากับเพื่อนในกลุ่มอีก2คนมาสหกิจอยู่ขอนแก่น ที่เหลืออีกส่วนใหญ่ก็อยู่แถบ กทม.กันเกือบซะหมด เรากับเพื่อนอีกคนเลยตั้งใจจะไปเที่ยวที่อุบลก่อน(มีเพื่อนอีกคนในกลุ่มบ้านอยู่ที่นั่น)แล้วค่อยบินไปกรุงเทพ รวมตัวกับเพื่อนที่หลัง แต่ด้วยเหตุผลหลายๆอย่าง เราเลยอยู่เที่ยวกันที่อุบลต่อ ไม่ได้ไปกาญจนบุรี (อันนี้กระทู้ทริปกาญจนบุรีนะ เพื่อนเราเขียนเอง
http://pantip.com/topic/34471179) ไปๆมาๆ จากที่ตั้งใจไว้ว่าจะแบ๊กแพ็คลุยเดี่ยว ทริปเชียงคานนี้เลยเพิ่มจาก1เป็น3ไปในที่สุด หลังจากเที่ยวที่อุบลจนอิ่มหนำแล้วเราตัดสินใจเดินทางไปเชียงคานในวันที่ 3 พฤศจิ โดยการออกจากอุบลตั้งแต่ตีห้า เพื่อไปขึ้นรถลงที่ขอนแก่นแล้วค่อยไปต่อรถไปเลยอีกที พอเกือบถึงขอนแก่นเพื่อนอีกคนที่ขอนแก่นก็โทรมาบอกว่าไม่ได้ไปกาญแล้ว พวกเราเลยชวนไปเชียงคานด้วยกันแบบกระทันหันสุดๆ สุดท้ายจำนวนผู้กล้าหาญสำหรับทริปนี้มีทั้งหมด4คน
ด้วยความที่เราเป็นตัวตั้งตัวตีของทริปนี้ เราจึงต้องเป็นคนจัดแจงรายละเอียดการเดินทางและที่พักทั้งหมด แอบกลัวๆพาเพื่อนหลงอยู่เหมือนกันนะ เพราะไม่เคยพาคนอื่นไปไหน แล้วก็ไม่เคยพาตัวเองไปไหนเองด้วย ปกติจะมีป้าประจำกลุ่มเป็นคนจัดแจงให้ 5555 เอาล่ะ ตอนนี้ก็มารวมตัวกันครบองค์ประชุมแล้ว ออกเดินทางกันเล๊ยยยยยยยยยยยยยย เย่

เราขึ้นรถกันที่บขส1ที่ขอนแก่นค่ะ มาถึงกันประมาณห้าโมงมั้งก็ซื้อตั๋วไปเลยกันคนละใบ ค่าตั๋วคนละ 127 บาท รถออกประมาณเที่ยงๆ เพื่อนก็เลยพากันซื้อมะม่วงบอกว่าไว้กินแก้เมารถ แต่ไม่ทันไรมะม่วงหมดก่อนรถออกซะงั้น

พอถึงวลารถออกเท่านั้นแหละ เราทุกคนต่างสลบไสลเหมือนว่าเกิดมาไม่เคยได้นอนก่อน ไปตื่นอีกทีตอนจะถึงเลยแล้ว เราลังเลอยู่นานว่าต้องพาเพื่อนลงที่ไหน ท่องไว้แต่ว่า บขส เมืองเลยนะ แล้วรถที่ขึ้นมาก็ดันจอดเกือบทุกอำเภอ ใช้เวลาประมาณ4ชั่วโมงน่าจะได้ ก็มาถึง บขส เมืองเลย เรามองหารถหกล้อที่จะไปเชียงคานตามข้อมูลที่มีอยู่ พอดีพี่ที่เก็บตั๋วก็ชี้ให้ดู นั่นไงน้อง รถไปเชียงคานนนนน เท่านั้นแหละ พวกเราก็รีบวิ่งตามรถด้วยความเร็วแสง คนบนรถไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่เลยมีที่นั่งกันทุกคน และด้วยความที่เรากลัวพาเพื่อนหลง(คิดในใจถ้าพาพวกมันหลงนะ เละแน่ๆ) เลยไปตีซี้กับป้าคนข้างๆ ถามแกว่า ถ้าหนูจะไปถนนคนเดิน หนูต้องไปลงตรงไหนคะ ป้าก็ใจดี๊ใจดี ถามพี่คนอื่นบนรถให้ กลายเป็นทั้งรถรู้หมดว่าพวกเราไม่รู้จักทาง

แต่ทุกคนบนรถน่ารักนะ แนะนำพวกเราหมดเลย ได้ข้อสรุปว่าพวกเราต้องนั่งรถไปจนสุดสายนั่นเอง
เอ้อ ลืมบอกไป ว่าเราตามกระทู้พี่พีชมาใช่ไหม แน่นอนอยู่แล้วว่าที่พักเราต้องเป็นไทยกันเอง ป้าเป๊ะน่ารักมาก แกโทรมาถามด้วยว่าถึงไหนกันแล้ว มากันถูกหรือเปล่า เราก็ตอบป้าไปแบบงงๆ จะถึงแล้วป้า อีกแปปนึงน้าา ทั้งที่จริงถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ เราก็นั่งกันไปเรื่อยๆจนพี่คนนึงก็บอกว่าลงเลยน้องถึงแล้ว เราก็มองนะ เห้ย ไหนอ่ะ ถนนคนเดิน(คิดในใจ) เลยลงไปถามลุงสามล้อ(เพื่อนบอกเรียก สกายแลป 55) บอกว่าจะไปไทยกันเอง ซอย19นี่ไกลไหมคะลุง ลุงก็เลยบอกว่าขึ้นรถไปไหม ลุงคิดคนละ25 สี่คนก็ร้อยนึงพอดี

ขับไปเรื่อยๆก็คุยกับลุงตลอดทาง จนในที่สุดก็มาถึงไทกันเอง พอไปถึงยกมือไหว้แกปุ๊ป แกก็ถาม มีนเบ๊าะ? เราก็ตอบใช่ค่ะป้า แล้วบอกแกไปว่าหนูมากันสี่คนนะ (ตอนแรกโทรมาบอกป้าว่ามากันแค่3คน) ป้าก็บอกมา เนี่ยเหลืออยู่3ห้อง ห้องใหญ่1500 ห้องเล็กคืนละ600นะ (เรามาช่วงไฮซีซั่นกันพอดี) เลยบอกป้าไปว่า หนูเอา2ห้องนะ ผู้ชายห้องนึง ผู้หญิงห้องนึง ป้าก็พอขึ้นไปดูห้อง เก็บของให้เรียบร้อย เสร็จแล้วก็ลงมาจ่ายเงินให้เรียบร้อย จะได้ไม่พากันใช้เกินจนไม่มีตังค์จ่ายป้าแก
เรานอนที่นี่กันสองคืน ห้องละ600 2คืน ก็ตกค่าห้องกันคนละ600บาท

ที่เจ๋งสุดๆก็คือวิวข้างหลังที่พัก บ้านป้าเป๊ะติดกับริมแม่น้ำโขง บรรยากาศดีมากๆ ทั้งชั้นบนชั้นล่างจะมีระเบียงเล็กๆ น่ารักเอาไว้ให้นั่งพูดคุยหรือจะนั่งกินข้าวชิวๆชมบรรยากาศ ก็ตามแต่เราเลย ป้าจะคอยบอกตลอดว่า ตามสบายลูกเหมือนอยู่บ้านตัวเอง โอเค จัดไปเลยป้าเป๊ะ

พวกเราเลยเลาะไปเรื่อยๆตามริมโขงเพื่อเก็บบรรยากาศพระอาทิตย์ตกดิน สวยมากกกกกกกกกกกก เลยแหละ
แต่ไม่ทันไรท้องก็เริ่มร้อง พวกเราเลยออกไปถนนคนเดินหาอะไรใส่ท้องน้อยๆกัน ตามตำนานกล่าวขานว่าเราต้องได้ลิมลอง กุ้งเสียบในตำนาน ก็เลยจัดกันไปคนละ2-3ไม้

จากการชิมมาทุกขนาดบอกเลยว่า ไม้เล็กอร่อยกว่า =.=
แน่นอนว่าทริปนี้เรา(คนเดียว)ตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะกินอย่างเต็มที่ และลองให้หมดทุกร้านเพื่อทุกคนนนนน (ร้อง เฮ้!! ดังๆในใจ)
เริ่มกันเลย ร้านแรก เตี๋ยว&ตำ เราสั่งก๋วยเตี๋ยวมากันคนละชาม และที่ขาดไม่ได้ก็คือส้มตำ เดินทางมาเหนื่อยๆต้องมีการเติมปลาร้าเข้ากระแสเลือดกันหน่อย


ร้านนี้เขาจะใส่อาหารลงชามกระดาษทั้งหมด ช่วยโลกร้อนนน จากที่กินเราชอบก๋วยเตี๋ยวนะ ส่วนส้มตำยังไม่ค่อยเท่าไหร่ แฮ่ๆ(เจ้าของร้านอย่าว่าหนูนะ) เราก็กินไปเรื่อยๆกันตลอดทางอย่างละนิดละหน่อย แต่ลืมถ่ายรูปมาให้ดูแฮะ รีบกินไปไหน พอเดินครบกันคนละรอบสองรอบก็กลับมาที่พัก นั่งเล่นระเบียงกันไปเรื่อยๆ ไม่ทันไรไอที่กินๆกันมาก็ย่อยหมดล่ะ โชคดีที่ร้านยังไม่ปิดกันหมด เลยได้อะไรใส่ท้องกันรอบดึก
ตอนแรกผ่านร้านยำร้านนึง กะไว้ว่าค่อยรอกินพรุ่งนี้ เพราะคิวยาวเหลือเกินนนนน แต่สุดท้ายก็จัดวันนี้ซะเลย ตอนเราไปเหลือแต่ยำหมูยอ ตอนแรกที่ถามว่าราคาเท่าไหร่ พี่คนขายตอบมาว่า ชุดเล็ก80 คิดอยู่นะ เห้ยยำหมูยออะไร80บาท บ้าแล้ว แต่สุดท้ายก็สั่ง เพราะเราอยากกินหมูยอ

แต่สุดท้ายตอนทำเสร็จเราก็เข้าใจว่าทำไมต้อง80 คือยำแบบเยอะมากกกกกกกกกกกกกก(เพิ่มก.ไก่อีกร้อยตัว) อีกอย่างร้านพี่เขาขายน้ำด้วยนะ มีน้ำลำไย เก๊กฮวย กระเจี๊ยบ อร่อยนะ หวานพอดีลองไปชิม

ที่สำคัญอีกอย่างไปตอนร้านใกล้จะปิด เพราะตอนที่พวกเราไปพี่คนขายบอกว่า รีฟิวไม่อั้น อยากกินตักเลย พี่จะปิดร้านแล้ว เลยรีฟิวกันไป2รอบ =.= ปล.ยำหมูยอนี่เราแอบซื้อมาม่าซองมาลวกเส้นใส่เพิ่มด้วยนะ อิ่มมากกก

ของกินอีกอย่างสำหรับมื้อดึกมื้อนี้ก็คือโรตีผีตาโขน งงอยู่ว่าทำไมต้องผีตาโขน ถามไปถามมาพี่เขาบอกว่าคำมันคล้องๆกันแล้วคนก็จะได้จำได้ด้วย คนขายน่ารักมาก ทอดไปยิ้มไป คุยไป อีกอย่างโรตีก็อร่อยด้วยนะ
เอ้อ อีกอย่างป้าเป๊ะแกถามว่าพรุ่งนี้ไปภูทอกกันไหม ไปกับป้าเปล่า ป้าแกจะเป็นคนจัดแจงรถ คล้ายๆกับการจัดทริปมั้ง คนละ150 บาท ไปทั้งหมด3ที่ ภูทอก วัดพระพุทธบาทภูควายเงิน แล้วก็แก่งคุดคู้อีกที่ แน่นอน พวกเรา say yes กันทันที ป้าบอกว่ารถสามล้อจะมารับที่นี่ตอนตีห้าครึ่ง พวกเราเลยรีบกินรีบอาบน้ำเข้านอนเตรียมตัวตื่นกัน อีกอย่างนะ ห้องน้ำที่นี่เป็นห้องน้ำรวม ตอนแรกก็คิดนะว่ามันจะสะดวกหรือเปล่า จะลำบากไหม ต้องแย่งกันใช้หรือเปล่า ไม่เลย ห้องน้ำที่นี่มีทั้งหมด5ห้อง ด้านล่าง4 ข้างบน1 เพียงพอแล้วก็สะดวกสุดๆ ในห้องน้ำก็จะมีเครื่องทำน้ำอุ่นกับของใช้พื้นฐานทั่วๆไป ที่สำคัญทั้งหมดเป็นยี่ห้อมิสทีนค่ะ เพราะป้าเป๊ะ คือ เจ๊เป๊ะสาวมิสทีน มาแล้วค่ะ นั่นเอง

พอค่ะ นอนนนนน
แล้วเสียงนาฬิกาปลุกก็ดังขึ้นรัวรัวววววว เราก็แยกย้ายกันอาบน้ำ ตีห้าครึ่งก็พร้อมลงมาเจอป้าด้านล่าง นอกจากเราแล้วยังมีคนอื่นที่นี่ไปอีกด้วยแต่ก็ไปรถกันคนละคน พวกเรา4 พวกเขาอีก5 เลยต้องแยกคันกันไป ตอนเช้าอากาศดีมาก เย็นมากแต่ก็ไม่ได้เย็นจนทนไม่ไหว ลุงขับมาสักพักก็มาถึงทางขึ้นภูทอก ลุงบอกว่าโชคดีมากนะเนี่ย เมื่อวานพอคนมาหมอกบางมาก แต่พวกเราโชคดีหมอกกำลังสวย ที่นี่จะมีรถพาขึ้นไปที่ภูค่ะ เก็บค่าขึ้นกันคนละ25บาท เป็นรถกระบะ รถสองแถวแล้วแต่ว่าเราจะได้ขึ้นอะไรไป ไปพร้อมๆกันหลายๆคน ระหว่างทางทุกคนก็ตื่นเต้นกับบรรยากาศมาก เพราะตอนนั้นที่ภูทอกหมอกสวยมากจริงๆ ไม่มาก ไม่น้อย เห็นแล้วนุ่มมมมมม อยากลงไปนอนแบบพวกโนบิตะตอนอาณาจักรเมฆมาก

สักพักพระอาทิตย์ก็ค่อยๆขึ้นมา เราใช้เวลาตรงนั้นจนประมาณ7โมงได้ ก็ตัดสินใจลงกันได้สักที

สถานีต่อไปของเราคือวัดพระพุทธบาทภูควายเงินค่ะ ซึ่งพามาถึงต้องให้รถมาพาขึ้นไปเหมือนกัน เก็บค่ารถกันคนละ25บาท เท่าที่ภูทอก ซึ่งทางชันมากไม่ต่างกับภูทอกเลย แล้วภูทอกจะสูงกว่า ทางคดเคี้ยวใช้ได้ =.= ลุงที่พาขึ้นมากำชับหนักแน่นว่าอย่าลืมอ่านประวัติที่นี่ด้วยนะ แน่นอนว่าเราไม่ลืมอ่าน แต่ตอนนี้จำไม่ได้แล้ว

ที่นี่มีจุดให้ชมวิวแต่กว่าเราจะไปถึงหมอกก็จางไปหมดแล้ว เอ้อ ที่วัดนี้มีกระต่ายด้วยนะ เยอะสุดๆ เราไม่ได้ถ่ายรูปมาเพราะไม่ทันได้สังเกติ พอเห็นกระต่ายก็กำลังจะลงจากภูกันแล้ว5555
เราใช้เวลาอยู่ที่วัดกันไม่ค่อยนานเท่าไหร่ค่ะ ไหว้พระทำบุญ เคาะระฆัง ถ่ายรูปกันนิดหน่อยก็ลงมาข้างล่างกัน เตรียมตัวไปแก่งคุดคู้กันต่อ เริ่มหิวข้าวกันขึ้นมาแล้ว
***เดี๋ยวมาต่อนะคะตัวอักษรไม่พอจะพิมพ์แล้ววววววว
***ปล.รูปทั้งหมดเราใช้กล้องมือถือถ่ายนะ ภาพเลยไม่ค่อยสวยแต่ภาพจริงๆที่ตาเห็นสวยมากเลยนะ แฮร่ ^^
[CR] หนีความวุ่นวายไปใช้ชีวิตช้าๆที่เชียงคาน ตามรอยพี่ Peach Surrealism
ด้วยความที่ไม่เคยไปไหนมาไหนคนเดียว ทำให้เราต้องหาข้อมูลแบบโคตรละเอียด ได้ว่าละเอียดยิบเลยทีเดียว
หามานานในที่สุดเราก็ตกลงปลงใจ เทคะแนนให้กับเชียงคาน
ตามกระทู้ของพี่พีช (http://pantip.com/topic/32818559 ใครยังไม่เคยอ่าน ลองเข้าไปอ่านนะคะ กระทู้น่ารักมาก)
จากที่คอยส่องแต่กระทู้คนอื่นมานาน นี่จึงเป็นกระทู้แรกที่เขียนเอง ยังไงฝากไว้ด้วยนะคะ ^^
เอ้อ ลืมบอกไป ว่าเราตามกระทู้พี่พีชมาใช่ไหม แน่นอนอยู่แล้วว่าที่พักเราต้องเป็นไทยกันเอง ป้าเป๊ะน่ารักมาก แกโทรมาถามด้วยว่าถึงไหนกันแล้ว มากันถูกหรือเปล่า เราก็ตอบป้าไปแบบงงๆ จะถึงแล้วป้า อีกแปปนึงน้าา ทั้งที่จริงถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ เราก็นั่งกันไปเรื่อยๆจนพี่คนนึงก็บอกว่าลงเลยน้องถึงแล้ว เราก็มองนะ เห้ย ไหนอ่ะ ถนนคนเดิน(คิดในใจ) เลยลงไปถามลุงสามล้อ(เพื่อนบอกเรียก สกายแลป 55) บอกว่าจะไปไทยกันเอง ซอย19นี่ไกลไหมคะลุง ลุงก็เลยบอกว่าขึ้นรถไปไหม ลุงคิดคนละ25 สี่คนก็ร้อยนึงพอดี
ขับไปเรื่อยๆก็คุยกับลุงตลอดทาง จนในที่สุดก็มาถึงไทกันเอง พอไปถึงยกมือไหว้แกปุ๊ป แกก็ถาม มีนเบ๊าะ? เราก็ตอบใช่ค่ะป้า แล้วบอกแกไปว่าหนูมากันสี่คนนะ (ตอนแรกโทรมาบอกป้าว่ามากันแค่3คน) ป้าก็บอกมา เนี่ยเหลืออยู่3ห้อง ห้องใหญ่1500 ห้องเล็กคืนละ600นะ (เรามาช่วงไฮซีซั่นกันพอดี) เลยบอกป้าไปว่า หนูเอา2ห้องนะ ผู้ชายห้องนึง ผู้หญิงห้องนึง ป้าก็พอขึ้นไปดูห้อง เก็บของให้เรียบร้อย เสร็จแล้วก็ลงมาจ่ายเงินให้เรียบร้อย จะได้ไม่พากันใช้เกินจนไม่มีตังค์จ่ายป้าแก
เรานอนที่นี่กันสองคืน ห้องละ600 2คืน ก็ตกค่าห้องกันคนละ600บาท
ที่เจ๋งสุดๆก็คือวิวข้างหลังที่พัก บ้านป้าเป๊ะติดกับริมแม่น้ำโขง บรรยากาศดีมากๆ ทั้งชั้นบนชั้นล่างจะมีระเบียงเล็กๆ น่ารักเอาไว้ให้นั่งพูดคุยหรือจะนั่งกินข้าวชิวๆชมบรรยากาศ ก็ตามแต่เราเลย ป้าจะคอยบอกตลอดว่า ตามสบายลูกเหมือนอยู่บ้านตัวเอง โอเค จัดไปเลยป้าเป๊ะ
พวกเราเลยเลาะไปเรื่อยๆตามริมโขงเพื่อเก็บบรรยากาศพระอาทิตย์ตกดิน สวยมากกกกกกกกกกกก เลยแหละ
แต่ไม่ทันไรท้องก็เริ่มร้อง พวกเราเลยออกไปถนนคนเดินหาอะไรใส่ท้องน้อยๆกัน ตามตำนานกล่าวขานว่าเราต้องได้ลิมลอง กุ้งเสียบในตำนาน ก็เลยจัดกันไปคนละ2-3ไม้
แน่นอนว่าทริปนี้เรา(คนเดียว)ตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะกินอย่างเต็มที่ และลองให้หมดทุกร้านเพื่อทุกคนนนนน (ร้อง เฮ้!! ดังๆในใจ)
เริ่มกันเลย ร้านแรก เตี๋ยว&ตำ เราสั่งก๋วยเตี๋ยวมากันคนละชาม และที่ขาดไม่ได้ก็คือส้มตำ เดินทางมาเหนื่อยๆต้องมีการเติมปลาร้าเข้ากระแสเลือดกันหน่อย
ตอนแรกผ่านร้านยำร้านนึง กะไว้ว่าค่อยรอกินพรุ่งนี้ เพราะคิวยาวเหลือเกินนนนน แต่สุดท้ายก็จัดวันนี้ซะเลย ตอนเราไปเหลือแต่ยำหมูยอ ตอนแรกที่ถามว่าราคาเท่าไหร่ พี่คนขายตอบมาว่า ชุดเล็ก80 คิดอยู่นะ เห้ยยำหมูยออะไร80บาท บ้าแล้ว แต่สุดท้ายก็สั่ง เพราะเราอยากกินหมูยอ
ของกินอีกอย่างสำหรับมื้อดึกมื้อนี้ก็คือโรตีผีตาโขน งงอยู่ว่าทำไมต้องผีตาโขน ถามไปถามมาพี่เขาบอกว่าคำมันคล้องๆกันแล้วคนก็จะได้จำได้ด้วย คนขายน่ารักมาก ทอดไปยิ้มไป คุยไป อีกอย่างโรตีก็อร่อยด้วยนะ
แล้วเสียงนาฬิกาปลุกก็ดังขึ้นรัวรัวววววว เราก็แยกย้ายกันอาบน้ำ ตีห้าครึ่งก็พร้อมลงมาเจอป้าด้านล่าง นอกจากเราแล้วยังมีคนอื่นที่นี่ไปอีกด้วยแต่ก็ไปรถกันคนละคน พวกเรา4 พวกเขาอีก5 เลยต้องแยกคันกันไป ตอนเช้าอากาศดีมาก เย็นมากแต่ก็ไม่ได้เย็นจนทนไม่ไหว ลุงขับมาสักพักก็มาถึงทางขึ้นภูทอก ลุงบอกว่าโชคดีมากนะเนี่ย เมื่อวานพอคนมาหมอกบางมาก แต่พวกเราโชคดีหมอกกำลังสวย ที่นี่จะมีรถพาขึ้นไปที่ภูค่ะ เก็บค่าขึ้นกันคนละ25บาท เป็นรถกระบะ รถสองแถวแล้วแต่ว่าเราจะได้ขึ้นอะไรไป ไปพร้อมๆกันหลายๆคน ระหว่างทางทุกคนก็ตื่นเต้นกับบรรยากาศมาก เพราะตอนนั้นที่ภูทอกหมอกสวยมากจริงๆ ไม่มาก ไม่น้อย เห็นแล้วนุ่มมมมมม อยากลงไปนอนแบบพวกโนบิตะตอนอาณาจักรเมฆมาก
สักพักพระอาทิตย์ก็ค่อยๆขึ้นมา เราใช้เวลาตรงนั้นจนประมาณ7โมงได้ ก็ตัดสินใจลงกันได้สักที
สถานีต่อไปของเราคือวัดพระพุทธบาทภูควายเงินค่ะ ซึ่งพามาถึงต้องให้รถมาพาขึ้นไปเหมือนกัน เก็บค่ารถกันคนละ25บาท เท่าที่ภูทอก ซึ่งทางชันมากไม่ต่างกับภูทอกเลย แล้วภูทอกจะสูงกว่า ทางคดเคี้ยวใช้ได้ =.= ลุงที่พาขึ้นมากำชับหนักแน่นว่าอย่าลืมอ่านประวัติที่นี่ด้วยนะ แน่นอนว่าเราไม่ลืมอ่าน แต่ตอนนี้จำไม่ได้แล้ว
เราใช้เวลาอยู่ที่วัดกันไม่ค่อยนานเท่าไหร่ค่ะ ไหว้พระทำบุญ เคาะระฆัง ถ่ายรูปกันนิดหน่อยก็ลงมาข้างล่างกัน เตรียมตัวไปแก่งคุดคู้กันต่อ เริ่มหิวข้าวกันขึ้นมาแล้ว
***เดี๋ยวมาต่อนะคะตัวอักษรไม่พอจะพิมพ์แล้ววววววว
***ปล.รูปทั้งหมดเราใช้กล้องมือถือถ่ายนะ ภาพเลยไม่ค่อยสวยแต่ภาพจริงๆที่ตาเห็นสวยมากเลยนะ แฮร่ ^^