ยิ่งกว่าฝากซื้อของ....

กระทู้สนทนา
ดิฉันเป็นคนมีญาติพี่น้องเยอะ  ยิ่งแก่ตัว ก็ยิ่งมีหลานเพิ่มมากขึ้นไปเรื่อย ๆ  
เมื่อย้ายมาอยู่ต่างประเทศใหม่ ๆ แบบถาวร  มีเพื่อนจากที่ทำงานเก่ามาประชุม แล้วเลยถือโอกาสแวะเยี่ยม เที่ยวด้วยกัน  คนอยู่ต่างประเทศ มีเพื่อนมาหาถึงบ้านแบบนี้  ดีใจมาก
แต่เนื่องจากประเทศที่ย้ายไปครั้งแรก  ค่าครองชีพก็ค่อนข้างสูง  ตอนนั้นเมื่อสิบกว่าปีก่อน  คนก็เที่ยวแต่ยังไม่ค่อยมาก  มีเพื่อนรุ่นน้องมาหาแค่รายเดียว 555  

พอย้ายมาอยู่อังกฤษนี่ซิ  อันนี้ปัญหาเริ่มเกิดขึ้นแล้ว  จากญาติพี่น้อง
ที่บอกว่ามันยิ่งกว่าฝากซื้อของ  ก็คือ  จะฝากลูกหลานตัวเองมาเรียน...

คือ  เริ่มลำดับแรก ๆ  ก็คือ  ได้ที่เรียน ได้ที่อยู่อะไรเรียบร้อย  ฝากดูแลหน่อย
อันนี้นี่  ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรง ไม่ไกลเกินบ้านนัก  ก็พอทำได้  โทรไปถามทุกข์สุข  เพราะเด็กที่มาเรียนส่วนใหญ่ก็โต ๆ จบปริญญาตรีกันแล้ว ไม่ใช่เด็กเล็ก  เขาก็ดูแลตัวเองได้ในระดับหนึ่ง  มีเรื่องเดือดร้อน เหลือบ่ากว่าแรงอะไรก็ติดต่อกันทางโทรศัพท์บ้าง อะไรบ้าง
นี่มีทั้งหลานแท้ ๆ หลานนับญาติ ๆ  กับลูกของเพื่อนญาติ  ฯลฯ  ปวดหัว

ลำดับต่อ ๆ มา ทีนี้หนักขึ้นเรื่อย ๆ ตามดีกรี

ได้ที่เรียนแล้ว ได้ที่อยู่แล้ว  พ่อแม่จ่ายค่าเทอม ค่าที่อยู่มาเสร็จสรรพ  แต่สั่งมาให้ช่วยหางานให้ด้วย  ขาดเหลืออะไรมีแต่ค่าเทอม ค่าที่อยู่ ค่าใช้จ่ายหลานขาดเหลืออะไรให้มาเอาที่เรา  เพราะเราอยู่อังกฤษเหมือนกัน สะดวกกว่าทางเขาส่งเงินมา  ให้จัดการไปด้วย (ราวกับดิฉันพิมพ์แบงค์ได้เอง)

ลำดับที่หนักที่สุดเลย  นี่คือพี่ชายแท้ ๆ ของเราเอง

หลานจะจบมัธยมตอนปลายต่างจังหวัด  เวลาเรากลับไปเยี่ยมจากสวิตเซอร์แลนด์ หรือเวลาโทรทางไกลไป  ก็ชอบพูดว่า  เดี๋ยวหลานเรียนจบแล้ว ฝากมาเรียนเมืองนอกซักคนนะ  พูดซ้ำซากอย่างนี้  จนทนไม่ไหวต้องบอกว่า  เราเองก็มีลูกที่ต้องส่งเสียให้เรียนมหาวิทยาลัยเหมือนกัน  ค่าใช้จ่ายก็ไม่ใช่น้อย ๆ กว่าจะจบทั้งคอลเลจ ทั้งตรีและโท  แต่พี่ก็ไม่ฟัง  บอกว่า  เขาเองสุขภาพไม่ดี ไม่แข็งแรง อยากจะเห็นลูกชายคนเดียวมั่นคง ก้าวหน้า  ขอฝากกับอาให้ช่วยพาหลานไปเรียนด้วย

เมื่อชี้แจงว่ามันไม่ได้ง่าย แต่พี่เราไม่ฟัง  ก็คิดเองเออเองว่า  คงจะเป็นเรื่องง่าย ๆ เหมือนกับ ซื้อตั๋วเครื่องบินปุ๊บมาอยู่เลย  แล้วก็มาหาที่เรียนเอา  เหมือนเข้ามากรุงเทพฯ อะไรแบบนั้นน่ะ  ก็เลยพลอยให้หลานเราคิดไปว่า  เขาจะได้มาเรียนอังกฤษแน่ ๆ  
เราบอกให้พี่ไปศึกษาดู  ว่าขั้นตอนการมาเรียนอังกฤษระดับปริญญาตรีนี่ไม่ใช่เรื่องง่าย  ต้องติดต่อขอที่เรียน  ไปสอบวัดระดับภาษา แล้วก็ต้องขอวีซ่า ทุกอย่างต้องใช้เวลาและเงิน  ซึ่งพี่เราก็ไม่มี  (ใครจะออกเงินล่ะ)    ก็เลยบอก เอาอย่างนี้ไหม  เราให้เงินหลานไปเรียนภาษาอังกฤษก่อน  เอาให้เก่งกว่าที่เป็นอยู่แล้วไปสอบวัดระดับมา  แล้วค่อยว่ากัน  (ซึ่งหลานเองก็ไม่เคยขวนขวายจะไปเรียนพิเศษหรืออะไร  พี่ชายก็ไม่ได้บอกให้ลูกไปเรียน)

เวลาก็ผ่านไปเห็นจะสองปีได้  ที่ย้ายมาอังกฤษ  ช่วงระหว่างนั้นก็มีคุยกันพอสมควร  พี่ชายสุขภาพก็ย่ำ ๆ แย่ ๆ เหมือนเดิม  คุยกันทีไรก็ได้แต่ถามว่า  เมื่อไหร่จะมารับหลานไปอยู่อังกฤษเสียที  ก็เลยถามพี่ว่า  จะมารับไปอยู่ในสถานะอะไรล่ะ  เพราะที่นี่ถ้าไม่ได้มาเรียนต่อแล้ว  จะมาอยู่เลยนี่ก็ลำบากเพราะเรื่องกม. ตรวจคนเข้าเมืองเขาเข้มงวดนะ  ส่วนที่จะมาเที่ยว ๆ เล่น ๆ หกเดือนนี่  เราไม่สามารถออกค่าใช้จ่ายให้หมดได้หรอก  เพราะมันเยอะมากตั้งแต่ตั๋ว ค่ากินอยู่  ค่าโรงเรียนภาษา  ไอ้ครั้นจะให้มาอยู่เที่ยว ๆ เปล่า ๆ นี่เราก็เกรงใจสามีมาก  เพราะเป็นแม่บ้านไม่ได้ทำงาน

พี่ก็ยังคงไม่เข้าใจ  เราเองอธิบายอย่างละเอียด ไม่ได้โกรธที่พี่ไม่เข้าใจ ไม่ได้งกเงิน  แต่ว่าเราไม่สามารถจริง ๆ  

จากครั้งสุดท้ายที่คุยกัน ก็พยายามติดต่อโทรหาพี่ชาย  ก็โทรไม่ได้อีกเลย  จนในที่สุดต้องพยายามกูเกิ้ลค้นหาหลานชาย  แล้วถามไปว่า ทำไมโทรหาพ่อหลายทีมาก  นี่เป็นห้าหกเดือนแล้วที่ติดต่อไม่ได้  ถ้าเปลี่ยนเบอร์หรืออะไรแล้วก็ช่วยบอกด้วย

ปรากฏหลานตอบมาสั้น ๆ ว่า  พ่อเขาตายไปนานแล้ว  เผาไปแล้วเมื่อหกเดือนก่อน  แล้วก็บล็อคเราไปเลยในทุก ๆ ทาง  

ก็เข้าใจว่าคงโกรธที่เราไม่สามารถพาเขามาอยู่อาศัย มาเรียน มาใช้ชีวิตที่นี่ได้  ถึงได้ไม่ยอมส่งข่าวเลยตอนที่พี่ชายตาย  เราก็เลยไม่ได้ไปงานศพ ไม่ได้ไปเผา ไม่ได้อะไร  ได้แต่ทำบุญทางนี้ไปให้กับพระที่วัดไทย

เรื่องมันผ่านเลยมานานแล้ว  ก็คงไม่โกรธหลานหรอกที่เขาโกรธเรา  ไม่ต้องการนับญาติหรือข้องเกี่ยวอะไรกับเราอีกต่อไป  ก็เป็นสิทธิ์ของเขา  เราก็ต้องดูแลให้การเลี้ยงดู การศึกษา ลูกเราก่อนเป็นธรรมดาอยู่แล้ว  แม้การส่งเงินไปให้เขาใช้บ้าง จะไม่เพียงพอก็ตาม
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่