กสท โทรคมนาคม เตรียมจับมือดีแทค พัฒนา LTE บนคลื่น 1800 MHz จำนวน 20 MHz

กระทู้ข่าว


พ.อ.สรรพชัย หุวะนันทน์ กรรมการบริษัทรักษาการในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หลังจากที่คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) อนุญาตให้บริษัทสามารถปรับปรุง คลื่น 1800 MHz จำนวน 20 MHz ที่ไม่ได้ใช้ไปพัฒนาเป็นเทคโนโลยี LTE เพื่อให้บริการ 4G ไปจนถึงปี 2561 ได้นั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดีแทค ในการเป็นพันธมิตรเพื่อจัดสร้างโครงข่ายระบบ LTE เนื่องจากคลื่นดังกล่าวเป็นคลื่นความถี่ที่อยู่ติดกับคลื่น 1800 MHz ของดีแทค ซึ่งอยู่ในสัมปทานของบริษัท และ ดีแทค เองก็มีแผนในการพัฒนาเทคโนโลยีเป็น LTE ด้วย ดังนั้นการเป็นพันธมิตรกับดีแทคนั้น ดีแทคจะสามารถสร้างโครงข่ายได้เร็วขึ้น โดยใช้เสาโทรคมนาคม 1800 MHz ที่บริษัทมีอยู่ประมาณ 13,000 ต้น ที่ได้คืนมาหลังจากหมดสัญญาสัมปทาน จาก บริษัท ทรูมูฟ จำกัด และ บริษัท ดิจิตอลโฟน จำกัด โดยดีแทคจะนำอุปกรณ์มาติดตั้งบนเสาโทรคมนาคมจำนวนดังกล่าวให้เป็น LTE ได้เร็วขึ้น

ทั้งนี้คาดว่าภายใน 2 สัปดาห์จะหาข้อสรุปถึงรูปแบบการเป็นพันธมิตรร่วมกันได้ จากนั้นต้องนำเรื่องเสนอสำนักงานอัยการสูงสุด และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) รับทราบและคาดว่าจะสามารถเซ็นสัญญากับดีแทคได้ภายในต้นปี 2559 และเปิดให้บริการภายในปีเดียวกัน

หลังจากที่ดีแทคตกลงเป็นผู้สร้างโครงข่ายเป็น LTE แล้ว บริษัทจะเช่าโครงข่ายเพื่อมาให้บริการต่อโดยตนเองตั้งใจว่าจะให้สิทธิ์ดีแทคในการใช้โครงข่ายพร้อมคลื่นขั้นต่ำ 50% ที่เหลือจะเปิดโอกาสให้มี MVNO รายอื่นๆเข้ามาร่วมธุรกิจ ซึ่งคาดว่าเมื่อเทคโนโลยีเป็น LTE แล้วจะมีบริษัทสนใจร่วมเป็น MVNO กับบริษัทเพิ่มขึ้น 5 ราย ภายใน 3 ปี จนถึงปี 2561

“เบื้องต้นเราประเมินคลื่น 1800 MHz จำนวน 20 MHz นี้น่าจะรองรับลูกค้าได้ประมาณ 15-20 ล้านราย โดยเทียบเคียงจากการให้บริการที่เราทำร่วมกับ BFKT ซึ่งเป็นคลื่น 850 MHz จำนวน 15 MHz ที่สามารถรองรับลูกค้าได้14-15 ล้านราย ดังนั้นคลื่น 1800 MHz ก็น่าจะมีตัวเลขที่สูงกว่าเล็กน้อย ส่วนเรื่องการเจรจาขอยืดอายุคลื่นออกไปถึงปี 2568 เราก็ยังคงมีความพยายามต่อไป แต่ ณ เวลานี้เมื่อได้เวลาถึงปี 2561 เราก็ต้องเร่งดำเนินการไปก่อน เพราะเหลือเวลาอีกเพียง 3 ปี ยิ่งทำเร็วโอกาสก็จะเสียน้อยที่สุด”

พ.อ.สรรพชัย กล่าวว่า ปัจจุบันกลุ่มธุรกิจไร้สายยังเป็นรายได้หลักขององค์กรโดยในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา มีรายได้มากกว่า 22,400 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 50 % จากรายได้ทั้งหมดที่ 53,500 ล้านบาท โดยรายได้กลุ่มธุรกิจไร้สายดังกล่าว ประกอบด้วยบริการขายส่ง HSPA จำนวน 21,300 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่มาจากรายได้ของ บริษัท เรียลมูฟ จำกัด นอกจากนี้ยังมีรายได้จากบริการข้ามเครือข่ายในประเทศ (Domestic Roaming) จำนวน 3,600 ล้านบาท บริการ my จำนวน 950 ล้านบาท การใช้โครงข่ายร่วม 400 ล้านบาท และ ทรังก์โมบายล์ 200 ล้านบาท คาดว่าสิ้นปีนี้ธุรกิจไร้สายจะทำรายได้ตามเป้าหมายที่ 26,500 ล้านบาท

สำหรับประมาณการรายได้สิ้นปี 2558 บริษัทคาดว่าจะมีรายได้รวมอยู่ที่ 53,500 ล้านบาท สูงกว่าเป้าซึ่งตั้งไว้ที่ 52,700 ล้านบาทอยู่ประมาณ 800 ล้านบาท ส่วนประมาณกำไรสิ้นปีจะอยู่ที่ 3,400 ล้านบาทต่ำกว่าแผนประมาณ 1,000 ล้านบาทเนื่องจากค่าเช่าโครงข่ายที่บริษัทต้องจ่ายให้กับBFKT เพื่อให้บริการขายส่ง HSPA ซึ่งอยู่ระหว่างเจรจาซื้อคืนระบบสื่อสัญญาณจำนวน 14,000 สถานี โดยคาดว่าจะใช้เงินประมาณ 8,000 ล้านบาท และคาดว่าเมื่อซื้อคืนระบบดังกล่าวได้จะช่วยลดต้นทุนส่วนนี้ และส่งผลให้บริษัทมีผลประกอบการดีขึ้นตั้งแต่ต้นปี 2559

ขณะเดียวกันในอีก 2 เดือนสุดท้ายของปีนี้บริษัทจะเร่งผลักดันการสร้างรายได้จากการใช้โครงข่ายให้คุ้มกับค่าใช้จ่าย ทั้งจากพันธมิตรMVNO ที่เพิ่มขึ้น 2 รายคือ บริษัท ดาต้า ซีดีเอ็มเอ คอมมูนิเคชั่น จำกัด และ บริษัท สามารถ ไอโมบาย จำกัด รวมทั้งรายได้อื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับการใช้โครงข่าย ซึ่งคาดว่าจะช่วยผลักดันให้ตัวเลขกำไรสูงขึ้นกว่าที่ประมาณไว้สิ้นปีและเป็นไปตามเป้าของแผนธุรกิจ ส่วนเป้าหมายผลประกอบการในปี 2559 คาดว่าจะมีรายได้ 52,800 ล้านบาท โดยจะมาจากกลุ่มธุรกิจไร้สายจำนวน 24,800 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่ยังคงมาจากการขายส่งความจุโครงข่าย HSPA

ที่มา : http://www.manager.co.th/Cyberbiz/ViewN ... 0000129173
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่