ปรัชญา ศาสนาและจิตวิญญาณใน Star Wars : ตากู (โยดา) เอาคืนมั่งแล้ว


ตากู (โยดา) เอาคืนมั่งแล้ว

ตอน Episode I ออกฉาย Time เอา “ดาร์ธ มอล” ซึ่งเป็นฝ่ายผู้ร้ายมาเป็นนายแบบปก มาตอน Episode II แปลกที่ Time จับเอา “โยดา” มาเป็นนายแบบ...แถมด้วยคำพาดปกเก๋ๆ ว่า “Yoda Strikes Back!” แปลเป็นไทยได้ว่า “การโต้กลับของโยดา”

    ในภาคนี้ โยดาไม่ใช่หุ่นเชิดโดย “แฟรค์ ออซ” อีกต่อไป แต่เป็นคอมพิวเตอร์กราฟฟิคที่ดูเนียนตา (แบบเดียวกับ จาร์ จาร์ บริงค์) กิริยาท่าทาง สายตา ดุจมีชีวิตจริง ไม่เชื่อลองดูปก Time สิครับ สายตาขอยงโยดาเหมือนจะบอกว่า “Yoda Strikes Back!” น่ะมันแปลได้อีกความว่า "ตากูเอาคืนมั่งแล้ว"

    ใน Episode I ที่แม้จะทำเงินติดอันดับ 4 ของหนังทำเงินตลอดกาลในอเมริกาเหนือ แต่ลูกัสก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักหน่วง..ประเด็นหลักก็คือ หนังมีแต่เทคนิคพิเศษที่สุดตื่นตา แต่กลับปราศจาก “หัวใจและวิญญาณ” ของยี่เกอวกาศเรื่องนี้!

    คุณภาพของหนังเทียบได้กับตัวละคร “จาร์ จาร์ บริงค์” ที่ได้รับการโหวตให้เป็นตัวละครที่ห่วยที่สุดในสายตาของสาวก...
    ลูกัสบอกว่าอาจะเป็นเพราะตัวละครหลักของเรื่องคือ อนาคิน สกายวอล์คเกอร์ ยังเป็นแค่เด็ก  9 ขวบ

    “พวกเขาคงเกลียดและอนาถใจที่ผมมีเด็ก 9 ขวบเป็นพระเอกของเรื่อง แต่จะให้ผมทำยังไงได้ ก็เรื่องราวมันเป็นแบบนี้ ผมทำให้เขาอายุ 15 ไม่ได้ ประเด็นของเรื่องทั้งหมดก็คือเรากำลังบอกว่าเขาเป็นใคร มาจากไหน? เป็นคุณ คุณก็ต้องไปเริ่มที่จุดตั้งต้น” ลูกัสแก้ตัว
    
          มันคงคล้ายๆ การสงวนไว้ซึ่งสิทธิ์ในตัวละครที่ลูกัสหวงหนักหวงหนาว่า 3 ภาคแรกนี้ใครห้ามแตะ ในขณะที่ตัวละครอื่นในภาคอื่นๆ ลูกัสปล่อยให้นักเขียนแต่งเสริมเติมยอดตามสบาย เอาไปทำของเล่นขายอย่างทายาทป๋องแป๊ง เขยใหม่ปึ๋งปั๋ง ก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะลูกัสรับทรัพย์จากลิขสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียว

    อะไรเป็นเหตุให้ลูกัส สงวนไว้ซึ่งการเรียนรู้ซึ่ง "พลัง" และการเข้าสู่ด้านมืดของอนาคิน จนกลายเป็นดาร์ธ เวเดอร์........มันน่าคิดนะครับ

    ใน Episode II เราจะพบ “อนาคิน” ที่เป็นหนุ่มผู้ซึ่งกำลังจะละเมิดกฎเหล็กของเจไดไป “อินเลิฟ” กับวุฒิสมาชิก “เพดเม่ อมิดาลา” ซึ่งทั้งคู่จะกลายเป็น “นายและคุณนายเวเดอร์” ในอนาคต และเรื่องราวจะดำเนินไปในแบบฉบับของ STAR WARS ที่มีกลิ่นอายโรแมนติกแบบ Titanic ผสมอยู่ ขณะที่พื้นของเหตุการณ์นั้นถือเป็น “ดราม่าทางการเมือง” ในระดับจักรวาล...

    “ประเด็นที่หลายคนสงสัยก็คือ สาธารณรัฐกลายไปเป็นจักรวรรดิได้อย่างไร? ซึ่งมันขนานกันไปกับคำถามว่า อนาคินกลายเป็นดาร์ธ เวเดอร์ได้อย่างไร?
    ประชาธิปไตยในสาธารณรัฐดวงดาวในแกลแลคซี่กลายไปเป็นเผด็จการจักรพรรดิย์ได้อย่างไร?”
    คนดีๆ กลายเป็นคนเลวไปได้อย่างไร ถ้าไม่มีอะไรไปกระทบจิตใจ?  

    ลูกัสกล่าว “มันไม่ใช่ว่าจักรวรรดิที่มีชัยเหนือสาธารณรัฐ.. ตัวจักรวรรดินั่นแหละคือสาธารณรัฐ” ประมาณว่าจักรวรรดิอุบัติขึ้นมาจากคอร์รัปชั่นของสาธารณรัฐนั่นเอง.....
    เหมือนประมาณหนึ่งว่า "ด้านมืดหรือความชั่วมันก็มีอยู่ในใจเราทุกคนอยู่แล้ว เพียงแค่รอสิ่งใดมากระทบ หรือมีสิ่งใดมาทำให้จิตใจคอร์รัปชั่นจิตใจตนเอง"

    เนื้อเรื่องส่วนใหญ่ของภาคนี้ “มีเจไดมาก.. มีจาร์ จาร์น้อย” หมายความว่า Episode II น่าจะและอาจจะทำให้มหากาพย์เรื่องนี้ “เข้ารูปเข้ารอย” (back on track) และเป็น 2 ชั่วโมงที่ “สนุกอย่างจริงจัง” (serious fun)
    ดูจากรูปการแล้วพระเอกตัวจริงของ Episode II น่าจะเป็น “โยดา”! ปรมาจารย์เจไดผู้มาเป็นนายแบบปกนั่นแหละ...

    แฟนๆ พันธุ์แท้ของ STAR WARS อาจช็อก! แต่ “ร็อบ โคลแมน” และทีมงาน CG ออกมายืนยันว่าโยดาจะดูลุ่มลึกกว่าที่เคยเห็น.. โดยเฉพาะเมื่อตอนเขาส่งสายตามองวุฒิสมาชิกพัลพาทีนอย่างเคลือบแคลง แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือในฉากเด็ดเราะจะเห็นโยดาชักดาบเลเซอร์เข้าทำสงครามด้วย “คานธีจะกลายร่างเป็นแรมโบ้” Time เขียนแซวพร้อมสรุปว่าโยดานี่แหละคือ ฮีโร่นักบู๊ตัวจริงของหนัง..!

    ก่อนจะกล่าวต่อไปในเรื่องอื่น ผมอยากให้อ่านคำสัมภาษณ์พิเศษของลูกัสที่มีต่อ Time กันสักนิด...
    Time : คุณเริ่มต้นในฐานะ ผู้กำกับหัวก้าวหน้า (avant-garde director) ไปไงมาไงถึงมาจบลงด้วยการทำหนังสำหรับเด็ก 12 ขวบ?
    ลูกัส : การทำหนังสำหรับเด็กมันเลวร้ายตรงไหน ผมกังวลกับเรื่องวัฒนธรรมเสมอ เฝ้าดูว่าสังคมพัฒนาความสมดุลในตัวเองได้อย่างไร ผมตระหนักว่าเราอาจอยู่ในสภาวะเสียสมดุลในบางเรื่อง  เรามาถึงยุคสมัยที่สังคมไร้ซึ่ง “เทพปกรณัม” อันเป็นรหัสที่เราจะส่งมอบต่อไปยังลูกหลาน เช่น มิตรภาพหรือเกียรติยศ ศักดิ์ศรี เป็นสิ่งที่มีคุณค่า..แทบจะไม่มีหนังที่สื่อเรื่องนี้ถึงคนรุ่นหลังเลย

    Time : “คติ” ที่ได้จากชีวิตของดาร์ธ เวเดอร์ เช่น การปล่อยวาง และการปรับปรุงตัวเอง เป็นสิ่งสำคัญที่พบในโปรแกรมบำบัด...คุณเคยผ่านการบำบัดเหล่าหรือยาเสพติดมาบ้างหรือเปล่า?
    ลูกัส : ผมไม่เสพยา สำหรับเหล้าไม่เคยเป็นปัญหาสำหรับผม แต่ผมค้นคว้ามาเยอะและพบว่า “คติ” เหล่านี้ใช้ได้จริง โปรแกรมบำบัดมันได้ผลไม่เฉพาะกับผู้ติดยาเท่านั้น ผมสนใจเรื่องจิตวิทยามาก และมักใช้เวลาสนทนาเรื่องเหล่านี้กับมิตรสหายอย่างมีความสุข

    Time : คุณนับถือศาสนาอะไร?
    ลูกัส : ผมถูกเลี้ยงมาแบบ Methodist (นิกายหนึ่งในศาสนาคริสต์) แต่เอาเป็นว่าเดี๋ยวนี้ผมสนใจเรื่อง “ธรรมะ” (I’m spiritual) ที่ มาริน เคาว์ตี้ (สถานที่ตั้งไร่สกายวอล์คเกอร์) พวกเราทั้งหมดที่นั่นนับถือพุทธ...
    และผมสนใจ "วิปัสสนา"......


    การมุ่งหน้าเข้าสู่ความดี หรือด้านสว่าง มนุษย์ทุกผู้คนย่อมแสวงหาสิ่งนี้ เราสามารถทำความดีได้โดยไม่ต้องมีเหตุผล แต่สำหรับความชั่ว หรือด้านมืด เราต้องหาเหตุผลมารองรับและ "วิปัสสนา" กับมัน

    กลับไปมองดูปก Time อีกที เอ้....หรือโยดากำลัง "วิปัสสนา" โลกอันสับสนใบนี้อยู่
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่