คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 2
ถ้าเปิดเผย เข้าตามตรอกออกตามประตู ดูแล มีวุฒิภาวะ ไม่ได้แอบมีเมียซุก ก็บอกเขาตรงๆว่าคบได้แต่อยู่ในสายตา ลูกเรายังอายุน้อย ค่อยดูกันไปก่อนห้ามเร่งรัด ช่วยสนับสนุนกันให้น้องเรียนหนังสือหนังหาให้จบ มีการงาน แล้วหลังจากนั้นถึงจะปล่อยจริงๆ / ในส่วนของลูกสาวคงต้องบอกให้ระวังตัวค่ะ บอกเขา สอนไป รักได้แต่อย่าโง่ ผู้ชายอายุขนาดนั้นเขาผ่านอะไรมาเยอะกว่ามาก บางครั้งเราตามไม่ทันหรอก ถ้าจะคบก็ไม่ว่าแต่อย่าเพิ่งรีบเทไป ถ้าเขารักจริงเขารอได้อยู่แล้ว
ปล.ส่วนตัวชอบผู้ชายอายุมากกว่าแบบนั้นแหละ ยิ่งเป็นวัยรุ่นยิ่งรู้ว่าห้ามยาก ขวางไปยิ่งเตลิด ปล่อยให้คบแล้วเราคอยดูดีกว่า
ปล.ส่วนตัวชอบผู้ชายอายุมากกว่าแบบนั้นแหละ ยิ่งเป็นวัยรุ่นยิ่งรู้ว่าห้ามยาก ขวางไปยิ่งเตลิด ปล่อยให้คบแล้วเราคอยดูดีกว่า
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 6
เราคงมอง ผช คนนี้ไม่ดีก่อน ยังไงถ้าลูกเราอายุ 16-17 เราไม่ยอมรับเด็ดขาด
เราจะคิดเลยว่า ผช ดี ๆ ที่ไหนจะมาจีบเด็กอายุขนาดนี้
ผช ที่มีสมองรู้จักผิดถูก รู้จักคิด ถึงจะชอบลูกสาวเราแค่ไหน เค้าก็ต้องรอจนกว่าจะถึงเวลาที่สมควร นั่นคืออย่างน้อยที่สุดก็จีบตอนลูกเราเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว และเปิดเผยว่าเป็นคนรักกันเมื่อเรียนจบแล้ว ไม่ใช่ในวัยมัธยมแบบนี้
การจะจีบคนอายุน้อยกว่าเราไม่มีปัญหานะ ถ้าลุกเราอายุ 25+ ไปแล้ว จะคบ ผช อายุ40- 50 เราก็ไม่ว่า
แต่ไม่ใช่มาจีบตอนลูกเรายังเป็นเด็กอายุ 16-17 โดนเราเตะก่อนค่ะ
เราจะคิดเลยว่า ผช ดี ๆ ที่ไหนจะมาจีบเด็กอายุขนาดนี้
ผช ที่มีสมองรู้จักผิดถูก รู้จักคิด ถึงจะชอบลูกสาวเราแค่ไหน เค้าก็ต้องรอจนกว่าจะถึงเวลาที่สมควร นั่นคืออย่างน้อยที่สุดก็จีบตอนลูกเราเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว และเปิดเผยว่าเป็นคนรักกันเมื่อเรียนจบแล้ว ไม่ใช่ในวัยมัธยมแบบนี้
การจะจีบคนอายุน้อยกว่าเราไม่มีปัญหานะ ถ้าลุกเราอายุ 25+ ไปแล้ว จะคบ ผช อายุ40- 50 เราก็ไม่ว่า
แต่ไม่ใช่มาจีบตอนลูกเรายังเป็นเด็กอายุ 16-17 โดนเราเตะก่อนค่ะ
ความคิดเห็นที่ 18
เมื่อเธอ 15 แล้วผม 36
…Base on a True Story
คนสองคนรักกัน อยากจะคบกัน แต่ผู้ใหญ่มีอคติ
ฝ่ายหญิงเครียด เธอชื่อ “ไอ”
ฝ่ายชายไม่ยอมใคร เขาชื่อ “กัซ”
ฝ่ายญาติผู้ใหญ่ผู้หวังดีจึงยื่นมือเข้ามาขัดขวาง
บทสนทนานี้จึงเกิดขึ้น
และขออุทิศแด่ทุก “ความรักต่างวัย” ที่มีความจริงใจเป็นพื้นฐาน
ในวันที่ x เดือน x ปี 2015
ผู้ใหญ่: นี่ เธอรู้ไหมว่าถ้าไออายุ 20 เธอก็จะปาเข้าไป 40 แล้วถ้าไอพาเธอไปเจอกับกลุ่มเพื่อนของเขาที่อยู่รุ่นเดียวกัน เพื่อนๆ เขาจะรู้สึกยังไง
กัซ: อิจฉาครับ
ผู้ใหญ่: ทำไม
กัซ: ก็ตอนนั้นผมจะมีรายได้เดือนละล้าน หน้าตาก็คงจะดูเหมือนคนอายุ 20 ปลายๆ ซึ่งจริงๆ แล้วผมต้องขออธิบายก่อนว่า ผมเป็นคนที่มีความสุขกับตัวเองเต็มเปี่ยม และไม่เคยคิดจะมีแฟนด้วยเหตุผลเพื่อแก้เหงา หรือแต่งงานเพื่อเอาตัวรอด เพราะตัวเองมีครอบครัวที่สมบูรณ์มั่นคงอยู่ตั้งนานแล้วครับ
ส่วนผมกับไอ เราสามารถคุยกันได้ทั้งเรื่องมีสาระและไม่มีสาระ ช่วยเหลือกันได้ทั้งทางรูปธรรมและนามธรรม ผมช่วยเหลือไอ ไอก็เติมเต็มในสิ่งที่ผมยังไม่เก่ง ผมไม่ได้เน้นคุยมุ้งมิ้งและใช้ชีวิตเที่ยวสนุกไปวันๆ เราคุยกันเรื่องวิสัยทัศน์ เป้าหมาย และการพัฒนาตนเอง ผมจะเป็นทางลัดให้ไอค้นพบตัวเองได้เร็วที่สุดโดยไม่ต้องไปเสียเวลาเดินทางอ้อมในยุคที่คนแข่งขันกันอย่างบ้าเลือด นอกจากนั้นผมยังวางแผนในการรักษาโรคที่ไอป่วยมาตั้งแต่เด็ก รวมทั้งจะหาทางแก้ปัญหาทางใจที่เขามีมานานแล้วด้วยน่ะครับ
เอาจริงๆ ผมไม่ได้กลัวเลยนะว่ากลุ่มเพื่อนเขาจะคิดยังไง คนที่กลัวเรื่องแบบนี้คือคนที่มีความเคารพตัวเองต่ำ ตรงกันข้ามเพื่อนของเขาซะอีกที่น่าจะมาสนใจผม (หัวเราะ) เพราะพลังที่แท้จริงของผู้ชายมันไม่ใช่เรื่องรูปร่างหน้าตาหรือสิ่งเปลือกนอกอย่างเช่นอายุ แต่เป็นคุณสมบัติอื่นๆ อีกมากมายที่จะชี้วัดคุณค่าของคนๆ หนึ่งที่มีต่อโลก แล้วถ้าเพื่อนคนไหนตัดสินคนรักของเพื่อนเพียงเพราะรูปลักษณ์ภายนอก (ซึ่งผมก็ไม่ได้แย่) แล้วไม่คิดจะสอบถามรายละเอียด ถามที่มาที่ไปของความสัมพันธ์ว่ามาลงเอยกันได้อย่างไร ได้แต่ยุแยงเพื่อเอามันอย่างเดียว ผมว่าไอก็ควรเลิกคบคนกลวงๆ แบบนั้นแหละครับ
ผู้ใหญ่: แล้วจะมั่นใจได้ยังไงว่าไม่ได้เป็นผู้ใหญ่มาหลอกเด็ก คนอายุขนาดเธอปกติเขาแต่งงานมีครอบครัวกันไปหมดแล้ว
กัซ: ผมไม่อยากให้ท่านเอากระแสคนทั่วไปมาตัดสินว่าทุกชีวิตต้องใช้มาตรฐานแบบนั้น เพราะมันไม่ใช่เครื่องการันตีความดีงามอะไรเลยซักนิด คนเราสั่งสมประสบการณ์มาไม่เหมือนกัน มีกรรม รสนิยม และจังหวะชีวิตที่ต่างกัน นั่นจึงทำให้แต่ละคนมีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่... ถ้าขึ้นต้นด้วยคำว่า “หลอก” ผลลัพธ์สุดท้ายที่เลวร้ายที่สุดก็คือการ “เสียตัว” และ “แผลใจ” เหมือนกันอยู่ดีใช่รึเปล่าครับ
ผมเลยไม่คิดว่ามันจะต่างกันตรงไหน ระหว่างเด็กหลอกเด็ก กับผู้ใหญ่หลอกเด็ก ถ้าทั้งสองฝ่ายเข้ากันได้และชอบพอกันจริงประเด็นนี้มันก็ตัดไปได้ทันที ส่วนที่เหลือก็เป็นเรื่องของอนาคตว่าจะไปกันได้แค่ไหนตามธรรมชาติของมนุษย์
ผู้ใหญ่: แต่ผู้ใหญ่ก็มักจะมีเล่ห์เหลี่ยมล่อลวงได้แนบเนียนกว่าเด็กๆ นี่
กัซ: ก็ให้คิดเสียว่า ถ้าไอถูกคนที่มีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวที่สุดในโลกหลอกแล้ว ต่อไปก็คงรู้ทันพวกล่อลวงระดับอ่อนๆ ได้ทั้งหมด ดังนั้นถ้าจะตั้งสมมุติฐานว่า “ความสัมพันธ์คือการหลอกลวง” ก็สู้ให้โดนคนที่เก่งที่สุดหลอกไปหนแรกและหวังว่าจะเป็นหนเดียวน่าจะดีที่สุดนะครับ ดีกว่าจะไปเจอตัวเกรียนๆ โง่ๆ หลอกด้วยมุกตื้นๆ แล้วค่อยโดนคนที่ฉลาดขึ้นเรื่อยๆ หลอกไล่เรียงไปตามลำดับ แบบนั้นกว่าจะพร้อมก็คงงอมพอดี ฮะๆ
ผู้ใหญ่: ............. (เงียบ)
กัซ: แต่จริงๆ แล้วผมเข้าใจมนุษย์ว่าแบบนี้นะครับ...
ผู้ใหญ่: ยังไง
กัซ: คือ... ตอนเป็นเด็ก ถ้าเราเป็นคนไม่มีนิสัยหลอกลวงใคร แล้วพอเราโตเป็นผู้ใหญ่ จู่ๆ เราจะกลายเป็นพวก TORแหล ในเรื่องความรักเหรอครับ คือผมมองว่าผมไม่ใช่คนแบบนี้นะ คนรอบตัวที่รู้จักทุกคนก็ไม่ใช่คนแบบนี้ และสันดานมนุษย์ปกติก็ไม่ได้เป็นแบบนี้
แต่ถ้าใครมองตัวเองหรือคนรอบข้างว่า พอแก่ขึ้นแล้วจะต้องกลายเป็นคน TORแหล ขึ้นมา อันนั้นมันน่าจะเหลืออยู่แค่สามกรณีแล้วล่ะครับ ได้แก่
1) เป็นที่ธาตุแท้หรือสันดานของคนๆ นั้นเอง ไม่ใช่เรื่องของ---วัย
2) เป็นคนที่มีจิตใจพื้นฐานมองคนอื่นในแง่ร้ายอยู่ตลอดเวลา หรือ
3) จริงๆ แมร่งไม่ได้มีเหตุผลอะไรทั้งนั้นหรอก แค่ไม่อยากให้ลูกหรือญาติของตัวเองมีแฟน ก็เลยพูดอะไรก็ได้เพื่อขัดขวาง และโจมตีอีกฝ่ายให้เสียเครดิตโดยไม่ได้มีสาระหรือข้อเท็จจริงอะไรทั้งสิ้น คนแบบนี้ถ้าลูกตัวเองคบเด็กก็ด่าเด็ก คบผู้ใหญ่ก็หาเรื่องด่าผู้ใหญ่
ซึ่งถ้าเป็นข้อ 3) ผมคงต้องบอกว่า พ่อแม่หรือญาติหลายๆ ท่าน เป็นคนที่มีคุณสมบัติยอดเยี่ยมมาก ในการกีดกันคนดีๆ ที่จริงใจและกล้าเข้าหาอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งการกีดกันนี้ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของลูกหลานหรอก แต่กูไม่อยากให้ใครมาแย่งลูกสาวกูเท่านั้น
ทีนี้ไอ้คนดีๆ ที่โง่เข้ามาตรงๆ ก็ซวย เจอด่านทดสอบหรือการต้อนรับที่ไม่เป็นมิตรมากมาย จนต้องหนีเตลิดไป ...แต่พ่อแม่หรือญาติเหล่านั้นกลับ “ไร้สมรรถภาพอย่างยิ่ง” ในการป้องกันลูกตนเองจากพวก “ลักลอบ” หรือพวกที่ลุยเข้ามาโดยไม่สนหัวใครตั้งแต่แรก ซึ่งสุดท้ายถ้าลูกไปหลงรักเขาก็โดนพรากไปอยู่ดี แถมยังเป็นการพรากแบบง่ายๆ สบายๆ ราวกับโดนสวมเขาด้วยซ้ำ ผมจึงอยากให้ญาติผู้ใหญ่ใช้วิจารณญาณให้ดีว่าควรจะตั้งแง่กับคนแบบไหน
ผู้ใหญ่: แล้วเธอจะเข้าหาทางบ้านไอแบบคนดีหรือคนไม่ดีอย่างที่บอกล่ะ
กัซ: ผมขอดูสถานการณ์ครับ ผมไม่จำเป็นต้องเล่นบทคนดีถ้าคนที่ผมเผชิญอยู่เต็มไปด้วยอคติ ตรงกันข้าม ผมก็ไม่คิดว่าคนดีควรจะต้องเจออะไรที่ยุ่งยากมากกว่าคนไม่ดี เพราะผมไม่ได้เข้ามาในฐานะที่ต้องไปง้อใคร ผมมีศักดิ์ศรี มีดีในตัวเอง และความสัมพันธ์ของผมก็เกิดอยู่บนพื้นฐานที่เท่าเทียม ดังนั้น ถ้าต้องเจอความยุ่งยากโดยที่คนอื่นๆ ในสังคมเขาไม่ต้องมาเจออะไรแบบนี้ ผมก็ไม่มีความจำเป็นต้องเล่นท่ายากให้ตัวเองเหนื่อย หรือทำอะไรมากไปกว่าเด็ก เยาวชนคนอื่นที่คิดจะจีบไอ ผมสามารถคบไอได้โดยไม่จำเป็นต้องบอกใคร เพราะทุกคนมีสิทธิ์เท่าเทียมกันในการมีความรัก และผมก็ถือคติว่า ถ้าไอจะต้องคบกับใครซักคน คบกับผมก็ยังดีกว่าไปคบเกรียนที่ผู้ใหญ่ชอบด่าว่าเยาวชนยุคนี้มันไร้คุณภาพครับ
ผู้ใหญ่: คนมีวุฒิภาวะเขาไม่คบกับเด็กหรอกนะ
กัซ: ไม่ใช่ครับ คนมีวุฒิภาวะมีสิทธิที่จะคบใครก็ได้ที่ตัวเองชอบครับ
ผู้ใหญ่: จริงจังกับความสัมพันธ์แค่ไหนเนี่ย
กัซ: คบแบบไม่ได้วางแผนจะเลิกครับ แต่ถ้าต้องเลิกก็ต้องเลิกครับ จะกลัวอะไรกันนักหนากับการเลิก ตราบใดที่เราได้ทำเต็มที่แล้ว ถ้าคนเรารู้ว่าคบใครแล้วจะเลิกหรือไม่เลิก โลกนี้คงไม่มีคู่แต่งงานที่หย่ากันนับไม่ถ้วนหรอกครับ หรือจะเอาพวกที่ไม่หย่า แต่ทะเลาะกันทุกวัน อยู่ด้วยกันก็เหมือนไม่อยู่ แต่ต้องคงสถานะคาไว้เพราะดันมีลูกด้วยกันแล้ว แบบนี้ก็ไม่นับนะครับ
ผู้ใหญ่: อายุห่างกันมากๆ คบไปนานๆ ก็ตายก่อนเขาน่ะสิ
กัซ: เอ่อ... ถ้าจะให้ตอบจริงๆ ผมว่า มันเป็นคำถามที่สิ้นคิดนะครับ เพราะการไปนั่งกังวลกับเรื่องอนาคตอีกหลายสิบปีข้างหน้า มันเป็นอะไรที่เพ้อเจ้ออย่างยิ่งตราบใดที่หลายสิบปีในปัจจุบันมีความสุข และได้เรียนรู้อะไรมากมาย ... ในความเข้าใจของผม ต้นชีวิตนั้นสำคัญกว่าปลายชีวิตครับ ถ้าต้นชีวิตมีความสุข สมหวังในสิ่งที่ต้องการ มีพื้นฐานการเรียนรู้ที่มากพอ บั้นปลายอันน้อยนิดก็จะมีหนทางที่จะดูแลตัวเองไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ถ้าต้นชีวิตเริ่มต้นด้วยความกลัว เลือกทำแต่สิ่งที่คนรอบข้างบอกว่าดีแต่ปฏิเสธหัวใจตัวเอง พอแก่ไปก็อย่าหวังว่าจะหาความสุขได้นะครับ เพราะไอ้คนที่มาพูดกรอกหูตอนเด็กนั่นก็ตายไปหมดแล้ว ไม่ได้ตามมารับผิดชอบชีวิตของลูกหลานตอนแก่หรอก
ผู้ใหญ่: เขาทำไปเพราะหวังดี ไม่มีใครหวังดีกับลูกมากกว่าพ่อแม่ รู้เอาไว้ด้วย
กัซ: รู้ครับ ไม่ต้องเป็นพ่อแม่คนเรื่องแค่นี้ก็คิดได้ และก็รู้ดีด้วยว่า เพราะไอ้ข้ออ้างว่า “หวังดี” หรือ “เป็นห่วง” ที่พูดออกมาเสมือนเจตนาดีเสียเต็มประดา แต่ลึกๆ แล้ว พูดเพียงเพื่อให้ตัวเองยังมีความสำคัญและสามารถควบคุมอีกฝ่ายได้ (ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้ฉลาดอะไรขนาดนั้น) มันทำให้ชีวิตคน Ship-hai มานักต่อนักแล้ว เพราะชีวิตคนมันต้องการมากกว่าแค่ความหวังดีถึงจะมีความสุขได้
ซึ่งก็ต้องมาถามทางท่านด้วยน่ะครับว่าตกลง ต้องการให้ไอ้ได้ความสัมพันธ์แบบไหนตอนเรียนอยู่ อย่าบอกนะครับว่าไม่ให้มีแฟน เพราะมันเป็นไปไม่ได้ที่จะห้ามความรักที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติของมนุษย์ แต่ให้แยกพิจารณาตามผมอย่างนี้ดีกว่า
1) ถ้าท่านต้องการให้ไอได้มีความสัมพันธ์แบบคบคนเดียวไปจนแต่งงาน ----> แสดงว่าท่านกำลังมองความรักเป็นเรื่องของการ “วางแผนชีวิตคู่แบบผู้ใหญ่เจนโลก" ซึ่งอายุขนาดไอคงไม่มีใครคิดเรื่องนี้อยู่แล้ว แต่ถ้าพ่อแม่หรือญาติอยากจะให้ไอคิดแบบนี้เพราะเป็นเรื่องดูดีมีภาพพจน์ สถิติก็ได้บ่งชี้มาแล้วว่า เด็กที่คบกันเองในวัยเรียน มีโอกาสคบกันรอดจนถึงแต่งงานกันได้ไม่ถึง 0.01% ในขณะที่ ถ้าคบกับผู้ใหญ่ซึ่งมีความจริงจังในเรื่องนี้มากกว่า และเข้าใจตัวเองว่าพร้อมหรือไม่พร้อมสำหรับเรื่องต่างๆ ก็มีโอกาสคบกันรอดจนถึงการแต่งงานได้มากกว่า 10 เท่าในกรณีที่สองฝ่ายเข้ากันได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะรอดนะครับ…แค่มีโอกาสมากกว่า
อย่าลืมนะครับว่ามีงานวิจัยออกมาแล้วว่า ผู้ชายวัยรุ่นจะคิดเรื่องเซ็กส์หนึ่งครั้งใน 7 วินาที แล้วสมองวัยรุ่นยังเติบโตไม่เต็มที่ ... แล้วอยากจะให้คนที่สมองโตไม่เต็มที่ เต็มไปด้วยความหื่นสองคนมาคบกันเอง หรือจะให้คนที่สมองโตเต็มที่เป็นผู้นำทางให้คนสมองโตไม่เต็มที่ล่ะครับ
2) ถ้าท่านอยากให้ไอมีความสัมพันธ์แบบลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆ เปลี่ยนผู้ชายไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงวัยแต่งงาน ----> แสดงว่าท่านเห็นว่าวัยรุ่นควรใช้ชีวิตอย่างสนุกสนานให้เต็มที่ และยอมรับการอยู่กินกันแบบผัวเมียโดยรู้ทั้งรู้ว่าอนาคตก็ไม่ได้แต่งงานกันแน่นอน อันนี้พูดตรงๆ ผู้ใหญ่อย่างท่านก็ทำเป็นแสลงใจรับไม่ได้อีก .. และในเมื่อถ้าจะถือว่าไออยู่ในวัยสำหรับ “ลองผิดลองถูก” แบบฝรั่ง และต้องการประสบการณ์เยอะๆ ท่านยังคิดว่า การได้คนที่มีวุฒิภาวะมากกว่า มีความรับผิดชอบมากกว่า (อย่างน้อยก็ในการป้องกันปัญหาความไม่พร้อม) มีความรู้ ความเข้าใจเหตุและผลมากกว่า ก็ยังน่าจะสร้างความอุ่นใจแก่พ่อแม่หรือญาติมากกว่ารึเปล่าล่ะครับ หรืออยากจะให้ไอไปลองผิดลองถูกกับพวกเกรียนไปเลยล่ะ
ผู้ใหญ่: แต่ยังไงก็ยังตายก่อนเขาอยู่ดี ....
กัซ: ช่างหัว เมิง เหอะ
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า คนมีอคติยังไงก็มีอคติ ยากที่จะใช้เหตุผลหรือการต่อสู้ไปลบอคติได้
ทว่าต้องลบด้วยความรู้สึก
ส่วนใครจะเลือกยังไง จะสู้หรือจะถอย จะแคร์หรือไม่แคร์ ก็สุดแล้วแต่ท่าน
หวังว่า เคสของ กัซและไอ จะเป็นหนึ่งในกรณีศึกษาที่สามารถใช้อ้างอิงในการแสดงเหตุผลความชอบธรรมของความรักต่างวัยได้ไม่มากก็น้อย
…Base on a True Story
คนสองคนรักกัน อยากจะคบกัน แต่ผู้ใหญ่มีอคติ
ฝ่ายหญิงเครียด เธอชื่อ “ไอ”
ฝ่ายชายไม่ยอมใคร เขาชื่อ “กัซ”
ฝ่ายญาติผู้ใหญ่ผู้หวังดีจึงยื่นมือเข้ามาขัดขวาง
บทสนทนานี้จึงเกิดขึ้น
และขออุทิศแด่ทุก “ความรักต่างวัย” ที่มีความจริงใจเป็นพื้นฐาน
ในวันที่ x เดือน x ปี 2015
ผู้ใหญ่: นี่ เธอรู้ไหมว่าถ้าไออายุ 20 เธอก็จะปาเข้าไป 40 แล้วถ้าไอพาเธอไปเจอกับกลุ่มเพื่อนของเขาที่อยู่รุ่นเดียวกัน เพื่อนๆ เขาจะรู้สึกยังไง
กัซ: อิจฉาครับ
ผู้ใหญ่: ทำไม
กัซ: ก็ตอนนั้นผมจะมีรายได้เดือนละล้าน หน้าตาก็คงจะดูเหมือนคนอายุ 20 ปลายๆ ซึ่งจริงๆ แล้วผมต้องขออธิบายก่อนว่า ผมเป็นคนที่มีความสุขกับตัวเองเต็มเปี่ยม และไม่เคยคิดจะมีแฟนด้วยเหตุผลเพื่อแก้เหงา หรือแต่งงานเพื่อเอาตัวรอด เพราะตัวเองมีครอบครัวที่สมบูรณ์มั่นคงอยู่ตั้งนานแล้วครับ
ส่วนผมกับไอ เราสามารถคุยกันได้ทั้งเรื่องมีสาระและไม่มีสาระ ช่วยเหลือกันได้ทั้งทางรูปธรรมและนามธรรม ผมช่วยเหลือไอ ไอก็เติมเต็มในสิ่งที่ผมยังไม่เก่ง ผมไม่ได้เน้นคุยมุ้งมิ้งและใช้ชีวิตเที่ยวสนุกไปวันๆ เราคุยกันเรื่องวิสัยทัศน์ เป้าหมาย และการพัฒนาตนเอง ผมจะเป็นทางลัดให้ไอค้นพบตัวเองได้เร็วที่สุดโดยไม่ต้องไปเสียเวลาเดินทางอ้อมในยุคที่คนแข่งขันกันอย่างบ้าเลือด นอกจากนั้นผมยังวางแผนในการรักษาโรคที่ไอป่วยมาตั้งแต่เด็ก รวมทั้งจะหาทางแก้ปัญหาทางใจที่เขามีมานานแล้วด้วยน่ะครับ
เอาจริงๆ ผมไม่ได้กลัวเลยนะว่ากลุ่มเพื่อนเขาจะคิดยังไง คนที่กลัวเรื่องแบบนี้คือคนที่มีความเคารพตัวเองต่ำ ตรงกันข้ามเพื่อนของเขาซะอีกที่น่าจะมาสนใจผม (หัวเราะ) เพราะพลังที่แท้จริงของผู้ชายมันไม่ใช่เรื่องรูปร่างหน้าตาหรือสิ่งเปลือกนอกอย่างเช่นอายุ แต่เป็นคุณสมบัติอื่นๆ อีกมากมายที่จะชี้วัดคุณค่าของคนๆ หนึ่งที่มีต่อโลก แล้วถ้าเพื่อนคนไหนตัดสินคนรักของเพื่อนเพียงเพราะรูปลักษณ์ภายนอก (ซึ่งผมก็ไม่ได้แย่) แล้วไม่คิดจะสอบถามรายละเอียด ถามที่มาที่ไปของความสัมพันธ์ว่ามาลงเอยกันได้อย่างไร ได้แต่ยุแยงเพื่อเอามันอย่างเดียว ผมว่าไอก็ควรเลิกคบคนกลวงๆ แบบนั้นแหละครับ
ผู้ใหญ่: แล้วจะมั่นใจได้ยังไงว่าไม่ได้เป็นผู้ใหญ่มาหลอกเด็ก คนอายุขนาดเธอปกติเขาแต่งงานมีครอบครัวกันไปหมดแล้ว
กัซ: ผมไม่อยากให้ท่านเอากระแสคนทั่วไปมาตัดสินว่าทุกชีวิตต้องใช้มาตรฐานแบบนั้น เพราะมันไม่ใช่เครื่องการันตีความดีงามอะไรเลยซักนิด คนเราสั่งสมประสบการณ์มาไม่เหมือนกัน มีกรรม รสนิยม และจังหวะชีวิตที่ต่างกัน นั่นจึงทำให้แต่ละคนมีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่... ถ้าขึ้นต้นด้วยคำว่า “หลอก” ผลลัพธ์สุดท้ายที่เลวร้ายที่สุดก็คือการ “เสียตัว” และ “แผลใจ” เหมือนกันอยู่ดีใช่รึเปล่าครับ
ผมเลยไม่คิดว่ามันจะต่างกันตรงไหน ระหว่างเด็กหลอกเด็ก กับผู้ใหญ่หลอกเด็ก ถ้าทั้งสองฝ่ายเข้ากันได้และชอบพอกันจริงประเด็นนี้มันก็ตัดไปได้ทันที ส่วนที่เหลือก็เป็นเรื่องของอนาคตว่าจะไปกันได้แค่ไหนตามธรรมชาติของมนุษย์
ผู้ใหญ่: แต่ผู้ใหญ่ก็มักจะมีเล่ห์เหลี่ยมล่อลวงได้แนบเนียนกว่าเด็กๆ นี่
กัซ: ก็ให้คิดเสียว่า ถ้าไอถูกคนที่มีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวที่สุดในโลกหลอกแล้ว ต่อไปก็คงรู้ทันพวกล่อลวงระดับอ่อนๆ ได้ทั้งหมด ดังนั้นถ้าจะตั้งสมมุติฐานว่า “ความสัมพันธ์คือการหลอกลวง” ก็สู้ให้โดนคนที่เก่งที่สุดหลอกไปหนแรกและหวังว่าจะเป็นหนเดียวน่าจะดีที่สุดนะครับ ดีกว่าจะไปเจอตัวเกรียนๆ โง่ๆ หลอกด้วยมุกตื้นๆ แล้วค่อยโดนคนที่ฉลาดขึ้นเรื่อยๆ หลอกไล่เรียงไปตามลำดับ แบบนั้นกว่าจะพร้อมก็คงงอมพอดี ฮะๆ
ผู้ใหญ่: ............. (เงียบ)
กัซ: แต่จริงๆ แล้วผมเข้าใจมนุษย์ว่าแบบนี้นะครับ...
ผู้ใหญ่: ยังไง
กัซ: คือ... ตอนเป็นเด็ก ถ้าเราเป็นคนไม่มีนิสัยหลอกลวงใคร แล้วพอเราโตเป็นผู้ใหญ่ จู่ๆ เราจะกลายเป็นพวก TORแหล ในเรื่องความรักเหรอครับ คือผมมองว่าผมไม่ใช่คนแบบนี้นะ คนรอบตัวที่รู้จักทุกคนก็ไม่ใช่คนแบบนี้ และสันดานมนุษย์ปกติก็ไม่ได้เป็นแบบนี้
แต่ถ้าใครมองตัวเองหรือคนรอบข้างว่า พอแก่ขึ้นแล้วจะต้องกลายเป็นคน TORแหล ขึ้นมา อันนั้นมันน่าจะเหลืออยู่แค่สามกรณีแล้วล่ะครับ ได้แก่
1) เป็นที่ธาตุแท้หรือสันดานของคนๆ นั้นเอง ไม่ใช่เรื่องของ---วัย
2) เป็นคนที่มีจิตใจพื้นฐานมองคนอื่นในแง่ร้ายอยู่ตลอดเวลา หรือ
3) จริงๆ แมร่งไม่ได้มีเหตุผลอะไรทั้งนั้นหรอก แค่ไม่อยากให้ลูกหรือญาติของตัวเองมีแฟน ก็เลยพูดอะไรก็ได้เพื่อขัดขวาง และโจมตีอีกฝ่ายให้เสียเครดิตโดยไม่ได้มีสาระหรือข้อเท็จจริงอะไรทั้งสิ้น คนแบบนี้ถ้าลูกตัวเองคบเด็กก็ด่าเด็ก คบผู้ใหญ่ก็หาเรื่องด่าผู้ใหญ่
ซึ่งถ้าเป็นข้อ 3) ผมคงต้องบอกว่า พ่อแม่หรือญาติหลายๆ ท่าน เป็นคนที่มีคุณสมบัติยอดเยี่ยมมาก ในการกีดกันคนดีๆ ที่จริงใจและกล้าเข้าหาอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งการกีดกันนี้ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของลูกหลานหรอก แต่กูไม่อยากให้ใครมาแย่งลูกสาวกูเท่านั้น
ทีนี้ไอ้คนดีๆ ที่โง่เข้ามาตรงๆ ก็ซวย เจอด่านทดสอบหรือการต้อนรับที่ไม่เป็นมิตรมากมาย จนต้องหนีเตลิดไป ...แต่พ่อแม่หรือญาติเหล่านั้นกลับ “ไร้สมรรถภาพอย่างยิ่ง” ในการป้องกันลูกตนเองจากพวก “ลักลอบ” หรือพวกที่ลุยเข้ามาโดยไม่สนหัวใครตั้งแต่แรก ซึ่งสุดท้ายถ้าลูกไปหลงรักเขาก็โดนพรากไปอยู่ดี แถมยังเป็นการพรากแบบง่ายๆ สบายๆ ราวกับโดนสวมเขาด้วยซ้ำ ผมจึงอยากให้ญาติผู้ใหญ่ใช้วิจารณญาณให้ดีว่าควรจะตั้งแง่กับคนแบบไหน
ผู้ใหญ่: แล้วเธอจะเข้าหาทางบ้านไอแบบคนดีหรือคนไม่ดีอย่างที่บอกล่ะ
กัซ: ผมขอดูสถานการณ์ครับ ผมไม่จำเป็นต้องเล่นบทคนดีถ้าคนที่ผมเผชิญอยู่เต็มไปด้วยอคติ ตรงกันข้าม ผมก็ไม่คิดว่าคนดีควรจะต้องเจออะไรที่ยุ่งยากมากกว่าคนไม่ดี เพราะผมไม่ได้เข้ามาในฐานะที่ต้องไปง้อใคร ผมมีศักดิ์ศรี มีดีในตัวเอง และความสัมพันธ์ของผมก็เกิดอยู่บนพื้นฐานที่เท่าเทียม ดังนั้น ถ้าต้องเจอความยุ่งยากโดยที่คนอื่นๆ ในสังคมเขาไม่ต้องมาเจออะไรแบบนี้ ผมก็ไม่มีความจำเป็นต้องเล่นท่ายากให้ตัวเองเหนื่อย หรือทำอะไรมากไปกว่าเด็ก เยาวชนคนอื่นที่คิดจะจีบไอ ผมสามารถคบไอได้โดยไม่จำเป็นต้องบอกใคร เพราะทุกคนมีสิทธิ์เท่าเทียมกันในการมีความรัก และผมก็ถือคติว่า ถ้าไอจะต้องคบกับใครซักคน คบกับผมก็ยังดีกว่าไปคบเกรียนที่ผู้ใหญ่ชอบด่าว่าเยาวชนยุคนี้มันไร้คุณภาพครับ
ผู้ใหญ่: คนมีวุฒิภาวะเขาไม่คบกับเด็กหรอกนะ
กัซ: ไม่ใช่ครับ คนมีวุฒิภาวะมีสิทธิที่จะคบใครก็ได้ที่ตัวเองชอบครับ
ผู้ใหญ่: จริงจังกับความสัมพันธ์แค่ไหนเนี่ย
กัซ: คบแบบไม่ได้วางแผนจะเลิกครับ แต่ถ้าต้องเลิกก็ต้องเลิกครับ จะกลัวอะไรกันนักหนากับการเลิก ตราบใดที่เราได้ทำเต็มที่แล้ว ถ้าคนเรารู้ว่าคบใครแล้วจะเลิกหรือไม่เลิก โลกนี้คงไม่มีคู่แต่งงานที่หย่ากันนับไม่ถ้วนหรอกครับ หรือจะเอาพวกที่ไม่หย่า แต่ทะเลาะกันทุกวัน อยู่ด้วยกันก็เหมือนไม่อยู่ แต่ต้องคงสถานะคาไว้เพราะดันมีลูกด้วยกันแล้ว แบบนี้ก็ไม่นับนะครับ
ผู้ใหญ่: อายุห่างกันมากๆ คบไปนานๆ ก็ตายก่อนเขาน่ะสิ
กัซ: เอ่อ... ถ้าจะให้ตอบจริงๆ ผมว่า มันเป็นคำถามที่สิ้นคิดนะครับ เพราะการไปนั่งกังวลกับเรื่องอนาคตอีกหลายสิบปีข้างหน้า มันเป็นอะไรที่เพ้อเจ้ออย่างยิ่งตราบใดที่หลายสิบปีในปัจจุบันมีความสุข และได้เรียนรู้อะไรมากมาย ... ในความเข้าใจของผม ต้นชีวิตนั้นสำคัญกว่าปลายชีวิตครับ ถ้าต้นชีวิตมีความสุข สมหวังในสิ่งที่ต้องการ มีพื้นฐานการเรียนรู้ที่มากพอ บั้นปลายอันน้อยนิดก็จะมีหนทางที่จะดูแลตัวเองไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ถ้าต้นชีวิตเริ่มต้นด้วยความกลัว เลือกทำแต่สิ่งที่คนรอบข้างบอกว่าดีแต่ปฏิเสธหัวใจตัวเอง พอแก่ไปก็อย่าหวังว่าจะหาความสุขได้นะครับ เพราะไอ้คนที่มาพูดกรอกหูตอนเด็กนั่นก็ตายไปหมดแล้ว ไม่ได้ตามมารับผิดชอบชีวิตของลูกหลานตอนแก่หรอก
ผู้ใหญ่: เขาทำไปเพราะหวังดี ไม่มีใครหวังดีกับลูกมากกว่าพ่อแม่ รู้เอาไว้ด้วย
กัซ: รู้ครับ ไม่ต้องเป็นพ่อแม่คนเรื่องแค่นี้ก็คิดได้ และก็รู้ดีด้วยว่า เพราะไอ้ข้ออ้างว่า “หวังดี” หรือ “เป็นห่วง” ที่พูดออกมาเสมือนเจตนาดีเสียเต็มประดา แต่ลึกๆ แล้ว พูดเพียงเพื่อให้ตัวเองยังมีความสำคัญและสามารถควบคุมอีกฝ่ายได้ (ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้ฉลาดอะไรขนาดนั้น) มันทำให้ชีวิตคน Ship-hai มานักต่อนักแล้ว เพราะชีวิตคนมันต้องการมากกว่าแค่ความหวังดีถึงจะมีความสุขได้
ซึ่งก็ต้องมาถามทางท่านด้วยน่ะครับว่าตกลง ต้องการให้ไอ้ได้ความสัมพันธ์แบบไหนตอนเรียนอยู่ อย่าบอกนะครับว่าไม่ให้มีแฟน เพราะมันเป็นไปไม่ได้ที่จะห้ามความรักที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติของมนุษย์ แต่ให้แยกพิจารณาตามผมอย่างนี้ดีกว่า
1) ถ้าท่านต้องการให้ไอได้มีความสัมพันธ์แบบคบคนเดียวไปจนแต่งงาน ----> แสดงว่าท่านกำลังมองความรักเป็นเรื่องของการ “วางแผนชีวิตคู่แบบผู้ใหญ่เจนโลก" ซึ่งอายุขนาดไอคงไม่มีใครคิดเรื่องนี้อยู่แล้ว แต่ถ้าพ่อแม่หรือญาติอยากจะให้ไอคิดแบบนี้เพราะเป็นเรื่องดูดีมีภาพพจน์ สถิติก็ได้บ่งชี้มาแล้วว่า เด็กที่คบกันเองในวัยเรียน มีโอกาสคบกันรอดจนถึงแต่งงานกันได้ไม่ถึง 0.01% ในขณะที่ ถ้าคบกับผู้ใหญ่ซึ่งมีความจริงจังในเรื่องนี้มากกว่า และเข้าใจตัวเองว่าพร้อมหรือไม่พร้อมสำหรับเรื่องต่างๆ ก็มีโอกาสคบกันรอดจนถึงการแต่งงานได้มากกว่า 10 เท่าในกรณีที่สองฝ่ายเข้ากันได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะรอดนะครับ…แค่มีโอกาสมากกว่า
อย่าลืมนะครับว่ามีงานวิจัยออกมาแล้วว่า ผู้ชายวัยรุ่นจะคิดเรื่องเซ็กส์หนึ่งครั้งใน 7 วินาที แล้วสมองวัยรุ่นยังเติบโตไม่เต็มที่ ... แล้วอยากจะให้คนที่สมองโตไม่เต็มที่ เต็มไปด้วยความหื่นสองคนมาคบกันเอง หรือจะให้คนที่สมองโตเต็มที่เป็นผู้นำทางให้คนสมองโตไม่เต็มที่ล่ะครับ
2) ถ้าท่านอยากให้ไอมีความสัมพันธ์แบบลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆ เปลี่ยนผู้ชายไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงวัยแต่งงาน ----> แสดงว่าท่านเห็นว่าวัยรุ่นควรใช้ชีวิตอย่างสนุกสนานให้เต็มที่ และยอมรับการอยู่กินกันแบบผัวเมียโดยรู้ทั้งรู้ว่าอนาคตก็ไม่ได้แต่งงานกันแน่นอน อันนี้พูดตรงๆ ผู้ใหญ่อย่างท่านก็ทำเป็นแสลงใจรับไม่ได้อีก .. และในเมื่อถ้าจะถือว่าไออยู่ในวัยสำหรับ “ลองผิดลองถูก” แบบฝรั่ง และต้องการประสบการณ์เยอะๆ ท่านยังคิดว่า การได้คนที่มีวุฒิภาวะมากกว่า มีความรับผิดชอบมากกว่า (อย่างน้อยก็ในการป้องกันปัญหาความไม่พร้อม) มีความรู้ ความเข้าใจเหตุและผลมากกว่า ก็ยังน่าจะสร้างความอุ่นใจแก่พ่อแม่หรือญาติมากกว่ารึเปล่าล่ะครับ หรืออยากจะให้ไอไปลองผิดลองถูกกับพวกเกรียนไปเลยล่ะ
ผู้ใหญ่: แต่ยังไงก็ยังตายก่อนเขาอยู่ดี ....
กัซ: ช่างหัว เมิง เหอะ
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า คนมีอคติยังไงก็มีอคติ ยากที่จะใช้เหตุผลหรือการต่อสู้ไปลบอคติได้
ทว่าต้องลบด้วยความรู้สึก
ส่วนใครจะเลือกยังไง จะสู้หรือจะถอย จะแคร์หรือไม่แคร์ ก็สุดแล้วแต่ท่าน
หวังว่า เคสของ กัซและไอ จะเป็นหนึ่งในกรณีศึกษาที่สามารถใช้อ้างอิงในการแสดงเหตุผลความชอบธรรมของความรักต่างวัยได้ไม่มากก็น้อย
ความคิดเห็นที่ 8
แฟนเรา 30กว่าๆ จีบเราตอน อายุ 14-15 =_=
เราบอกที่บ้านเลย ว่า เนี้ยคุยกับผู้ชายคนนี้อยู่นะ
ก๋เข้าตาม ตอกก็ตามประตู ปกติ นะ
ที่บ้านบอก ตลอดสอน ตลอด
รวมถึงคุยกับแฟนเราด้วยด้วย ช่วยน้องก่อน ให้น้องเรียนจบ ด้วยความที่แฟนอายุใกล้ๆ เลยคุยกันตามประสา ผู้ใหญ่ คุยง่าย เข้ากับที่บ้านได้ดี
ตอนนั้น มีความรุ้สึกเหมือนมีพ่อมาเพิ่มอีกคน
ดุตลอด =_=
ใช่ว่าจะสนับสนุนนะ มันอยู่นิสัยของผู้ชายคนนั้นด้วยรึป่าว ต้องอยู่ที่ทีบ้านด้วย แต่ละบ้านดูแลลูกๆไม่เหมือนกัน พูดเยอะไม่ได้
แต่ของเรา ตั้งแต่ตอนคุยกัน ตอนนั้น จนถึงปัจจุบัน นี้เรียนจบ ทำงาน เค้าก็ยังคงอยู่ค่ะ
เราบอกที่บ้านเลย ว่า เนี้ยคุยกับผู้ชายคนนี้อยู่นะ
ก๋เข้าตาม ตอกก็ตามประตู ปกติ นะ
ที่บ้านบอก ตลอดสอน ตลอด
รวมถึงคุยกับแฟนเราด้วยด้วย ช่วยน้องก่อน ให้น้องเรียนจบ ด้วยความที่แฟนอายุใกล้ๆ เลยคุยกันตามประสา ผู้ใหญ่ คุยง่าย เข้ากับที่บ้านได้ดี
ตอนนั้น มีความรุ้สึกเหมือนมีพ่อมาเพิ่มอีกคน
ดุตลอด =_=
ใช่ว่าจะสนับสนุนนะ มันอยู่นิสัยของผู้ชายคนนั้นด้วยรึป่าว ต้องอยู่ที่ทีบ้านด้วย แต่ละบ้านดูแลลูกๆไม่เหมือนกัน พูดเยอะไม่ได้
แต่ของเรา ตั้งแต่ตอนคุยกัน ตอนนั้น จนถึงปัจจุบัน นี้เรียนจบ ทำงาน เค้าก็ยังคงอยู่ค่ะ

แสดงความคิดเห็น
ถ้าคุณมีลูกสาวอายุ16-17 แล้วมีผู้ชายอายุเกือบ30มาจีบแบบเปิดเผย คุณจะว่ายังไง
คือผมยังไม่มีลูกนะครับ แต่มีประเด็นที่คุยกับพวกพี่ๆเพื่อนๆกันว่า ถ้ามีลูกสาวอายุ16-17 แล้วมีผู้ชายอายุเกือบ30มาจีบ แบบว่ากล้าเปิดเผยต่อหน้าพ่อแม่ มีงานทำมั่นคงระดับนึงแล้ว ไม่เคยแต่งงานมาก่อน คุณจะให้ลูกคุณคบกับผู้ชายคนนี้มั้ย
ซึ่งพวกผมก็มีความเห็นที่ต่างกันไป บางคนก็ว่าถ้าผู้ชายดีพร้อม ดูละรักจริงก็ไม่ห้าม บางคนก็ว่าถึงดีแค่ไหนก็ไม่เอาเพราะอายุห่างไปสำหรับลูกที่อายุเท่านี้ ผมเลยอยากลองถามความเห็นทุกท่านดูครับว่าคิดยังไง