ในวันที่แม่เส้นเลือดในสมองแตกครั้งที่ 3...ชีวิตมันเปราะบางมากนะ
ชีวิตของคนเรา ในบางครั้งสิ่งที่ไม่คาดคิดมันก็สามารถเกิดขึ้นกับชีวิตได้ทุกเมื่อ สิ่งสำคัญคือการเตรียมใจและพร้อมเผชิญกับมันด้วยใจที่เข้มแข็ง
วันนี้วันที่ 18 พฤศจิกายน 58 เป็นวันครบรอบการเส้นเลือดในสมองแตกของแม่ ซึ่งเป็นครั้งที่ 3 แล้ว ตลอดระยะเวลา 1 เดือนที่ผ่านมา มีทั้งรอยยิ้มและน้ำตา ทั้งความทุกข์และความสุขมากมายเหลือเกินค่ะ จึงขอเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของเรา และบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับของโรคหลอดเลือดสมองให้เป็นความรู้กับทุกท่านได้ระมัดระวังตัวกันต่อไปค่ะ
หมายเหตุ : ทุกสิ่งที่เล่ามานี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง และมีบางส่วนที่เป็นเรื่องของความเชื่อส่วนบุคคลนะคะ รวมทั้งไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียเกี่ยวข้องกับภาคธุรกิจค่ะ
เช้าวันอาทิตย์ที่ 18 ตุลาคม ผ่านวันเกิดแม่มาเพียง 1 วัน น้องสาวเดินมาบอกที่ห้องนอนว่า
“เมื่อคืนนี้ฝันว่าฟันแตกสองซี่ แต่ยังไม่หลุดออกจากปาก และไม่เจ็บด้วย แต่เมื่อคายออกมาเห็นเป็นเศษฟันแตกละเอียดคาอยู่ในมือ”
เมื่อได้ฟังก็คิดถึงเรื่องการทำนายฝันทันที่ เพราะเคยได้ยินผู้หลักผู้ใหญ่พูดเรื่องความฝันและการทำนายฝันว่าถ้าฟันหักฟันหลุดมักจะไม่ดี จะมีเหตุให้เสียญาติผู้ใหญ่หรือบุคคลอันเป็นที่รัก ถือได้ว่าเป็นการฝันที่มีคำทำนายร้ายแรงมาก ทั้งๆที่ในใจก็กลัวเหมือนกันแต่ในตอนนั้นเราคุยกันเล่นๆตลกๆว่า มันไม่ได้หักไม่ได้หลุดนี่นา คงไม่มีอะไรหรอก สงสัยฝันเพราะไม่ค่อยแปรงฟันก่อนนอน สมน้ำหน้า ...หลังจากนั้นเราก็กลับไปใช้ชีวิตกันตามปกติ
ช่วงหัวค่ำขณะที่กำลังนั่งดูโทรทัศน์กัน จู่ๆพ่อที่อยู่ต่างจังหวัดก็โทรมาบอกว่า
แม่อาการไม่ค่อยดี เข้าไปถ่ายในห้องน้ำแล้วอาเจียน หายใจไม่สะดวกกำลังไปที่โรงพยาบาล ตอนนั้นเราก็คิดว่าแม่คงหน้ามือเพราะวันนี้อากาศมันร้อนมาก จนญาติที่ส่งแม่ไปโรงพยาบาลกรุงเทพฯ จันทบุรี โทรมาบอกว่าแม่อาการหนักมาก ไม่รู้สึกตัวแล้วและหายใจไม่ได้ ตอนนี้อยู่ในห้องฉุกเฉิน และต้องสแกนสมอง ได้ฟังแค่นั้นเรารู้เลยว่ามันไม่ใช่อาการหน้ามืดธรรมดาแล้ว สิ่งแรกที่คิดในหัวเลยก็คือ....Stroke แน่นอน มันเป็นสิ่งที่เรากลัวมากที่สุด มันมาแล้วจริงๆ และเราอาจจะกำลังเสียแม่ไป...เคยได้ยินว่าช่วงวันเกิดทุกคนจะมีดวงแรง บางคนจะไปก็คงไปในช่วงวันเกิดนี่แหละ ได้แต่ภาวนาว่าขอให้มันไม่จริง
เรา น้องสาว และเพื่อนของน้องรีบเก็บของแล้วออกเดินทางกลับจันทบุรีทันที ตลอดทางภาวนาขอทุกสิ่งทุกอย่าง และที่สำคัญคือขอให้แม่รอก่อน เรากำลังจะไปหาแม่จะตายตอนนี้ไม่ได้นะ
นึกถึงสิ่งที่คุยกับแม่ตอนเช้าปกติแม่ไม่เคยพูดแบบนี้เลย แม่บอกว่าสวดขอแม่พระ(พระแม่มารีย์)ก่อนนอนนะ เราก็ตอบแบบขอไปทีว่า “อือๆ” จนกระทั่งแม่พูดกลับมาแบบที่ไม่เคยย้ำแบบนี้เลยว่า
“อย่า อืออย่างเดียวนะ พูดแล้วต้องทำด้วย ต้องมีความเชื่อด้วย”
ตลอดทางกลับบ้านเราคิดตลอดว่าแม่สั่งเสียไว้แค่นี้จริงๆ คิดว่าถ้าไปถึงเราจะจัดการเรื่องต่างๆอย่างไร ถ้าแม่ไม่รอเราแล้วล่ะ ต้องใช้ดอกไม้ในงานสีอะไร จะใช้รูปไหนดี แล้วจะใส่ชุดไหนให้แม่ เราจะต้องอยู่แบบไม่มีแม่จริงๆแล้วใช่ไม๊ ทำไมวันเกิดแม่เราถึงไม่อยู่ข้างๆแม่ ทำไมไม่ลางาน ทำไมปล่อยให้แม่ต้องฉลองวันเกิดโดยที่ไม่มีลูกๆเลย เราพยายามคิดถึงสิ่งดีๆว่าอย่างน้อย อาทิตย์ที่แล้วเรากับน้องสาวลุยน้ำป่ากันกลับบ้าน น้ำไหลเชี่ยวข้ามถนนมา ฝนตกหนักและฟ้าผ่าแรงมากจนเราเกือบถอดใจ ขับรถกลับกรุงเทพฯ แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจลุยน้ำไป และเอาของขวัญเป็นกระเป๋าใบหนึ่งให้แม่ ซึ่งแม่จะไม่มีโอกาสได้ใช้มันอีกแล้ว...
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เราต่างนั่งรถกันมาเงียบๆในความมืดของสองข้างทางเพราะไม่รู้จะพูดอะไรกันดี
สิ่งที่ได้ฟังจากพ่อก่อนหน้านี้ก็คือ พ่อกับแม่กำลังนั่งดูเดอะ วอยซ์กันอยู่ แม่ก็บ่นๆว่าถ่ายไม่ออกเลย แม่ท้องผูกไม่ได้ถ่ายมาหลายวันแล้ว จากนั้นแม่ก็เดินเข้าห้องน้ำไป(ห้องน้ำซึ่งอยู่ในห้องนอน) พ่อเห็นว่าหายไปนานก็เป็นห่วงกลัวว่าจะล้ม เพราะแม่เพิ่งเส้นเลือดในสมองแตกไปครั้งก่อนเมื่อ 6 เดือนที่แล้ว ส่งผลให้การทำงานของซีกขวายังกลับคืนมาได้ไม่ดีนัก แม่ยังเดินเองได้ไม่สะดวก และการใช้มือขวาซึ่งเป็นมือที่ถนัดก็ทำได้ไม่เต็มที่ เมื่อพ่อเข้าไปถึงสภาพแม่ที่เห็นคือ กำลังนอนหายใจแผ่วเบาอยู่บนเตียง พ่อเห็นอาการไม่ดีแล้วจึงโทรเรียกป้า เรียกญาติ และมีเพื่อนบ้านมาช่วยอุ้มแม่ขึ้นรถไปที่โรงพยาบาลทันที
ในที่สุดพี่ที่เป็นญาติกันก็โทรมาบอกว่าผลสแกนออกแล้วนะ
แม่เส้นเลือดในสมองแตกอีกแล้ว เส้นเดียวกับครั้งก่อนแต่ครั้งนี้ดูฟิล์มแล้ว เลือดออกมาเยอะมาก ลงไปอยู่ในโพรงสมองส่วนใน ซึ่งหมอบอกว่าถ้าผ่าก็คงจะไม่คุ้ม คงจะต้องรอดูอาการในวันพรุ่งนี้ว่าจะทำอย่างไรต่อไป โดยคุณหมอได้ใส่ท่อช่วยหายใจและรักษาเบื้องต้นไปแล้วตอนนี้แม่อยู่ในห้อง ICU ยอมรับเลยว่าใจสลายมาก แม่ไม่รู้สึกตัว หายใจเองไม่ได้แล้ว ความเป็นกับความตายมันมีระยะห่างที่น้อยนิด และเราแทบไม่รู้เลยว่าจะมีความหวังเหลืออยู่มากน้อยแค่ไหน หรือจริงๆแล้วมันเป็นเวลาที่ควรทำใจแล้ว แบบนี้ใช่ไหมที่ต้องทำใจแล้วและปล่อยให้แม่ไป ใครจะเชื่อว่าการเข้าห้องน้ำเพียงครั้งเดียวนำมาซึ่งความทุกข์ทรมานแสนสาหัสขนาดนี้
ในขณะเดียวกัน พ่อที่เป็นโรคหัวใจอยู่แล้วเมื่อรู้ว่าแม่มีอาการสาหัสขนาดนี้ก็เกิดอาการของหัวใจขึ้นมาอีก จนต้องแอดมิท อยู่ที่ห้อง IMCU อีกคน คุณหมอต้องให้ทานยานอนหลับ เพราะเกรงว่าจะเป็นอันตราย...
ตอนนั้นอยากจะร้องไห้มากๆ แต่ร้องไม่ออก มันช็อคกับเรื่องที่เกิดขึ้นจนไม่มีแรงจะทำอะไรแล้ว วันเดียวกันทั้งพ่อและแม่อยู่ในโรงพยาบาลและอาการหนักทั้งคู่ มันเป็นวันที่โหดร้ายมากเลยจริงๆ จากที่คิดว่าเรากำลังจะเสียคนๆนึงไป ตอนนี้เราไม่รู้เลยว่าเวลานี้จะเสียไปทั้งสองคนเลยรึเปล่า...
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เกือบสี่ชั่วโมง จาก กรุงเทพฯ กลับมาที่จันทบุรี เมื่อไปถึงเป็นเวลาเที่ยงคืนแล้วซึ่งทั้งห้อง ICU และ IMCU หมดเวลาเยี่ยมแล้ว เราได้แต่ชะเง้อผ่านกระจก แต่มันก็ไกลเหลือเกิน ไกลจนมองไม่เห็นเลยว่าขณะนี้พ่อและแม่ของเราเป็นอย่างไรบ้าง ไม่รู้ว่าทั้งสองคนจะรู้ไหมว่าลูกๆมาถึงแล้วนะ สุดท้ายเราตัดใจกลับบ้านเพราะถ้าอยู่ที่นี้ก็คงทำอะไรไม่ได้
เมื่อมาถึง ป้าที่เป็นพี่สาวของพ่อ (ซึ่งอยู่บ้านติดกัน) ก็เล่าให้ฟังว่าตอนไปส่งแม่ที่โรงพยาบาลแม่ยังรู้สึกตัวอยู่ ป้าก็คอยเรียกชื่อตลอดทาง บอกว่าให้เข้มแข็ง กำลังจะพาไปหาหมอแล้ว จนเมื่อถึงบริเวณศาลหลักเมืองประจำจังหวัด แม่ก็เริ่มหมดสติไปก่อนถึงโรงพยาบาลเพียงแค่ 5 นาทีเท่านั้น
เรากลับมาที่บ้านเพราะเหนื่อยจากการเดินทางแล้ว เข้ามาถึงห้องนอนที่เรานอนกับแม่เป็นประจำ ยังมีภาพสิ่งที่แม่อาเจียนอยู่บนพื้น เราทำความสะอาดไปก็ร้องไห้ไป สงสารแม่มาก ขอให้แม่ไม่เป็นอะไร โกรธตัวเองมากที่ปล่อยให้แม่เป็นแบบนี้
คืนนั้นหลังจากทำความสะอาดห้องเสร็จเราไม่กล้านอนที่ห้องนั้นเลย ต้องขอไปนอนกับน้อง เพราะรู้ว่าตัวเองอ่อนแอมากเกินกว่าจะนอนในห้องนั้นโดยไม่มีแม่ได้...
มันเป็นค่ำคืนที่ยากลำบากมาก เราแทบไม่ได้หลับเลยตลอดทั้งคืน เป็นห่วงทั้งพ่อและแม่ และไม่รู้ว่าถ้าเกิดแม่กำลังจะจากเราไปจริงๆ เราจะได้มีโอกาสคุยกับแม่เป็นครั้งสุดท้ายไหม...แล้วถ้าแม่จะจากไปคืนนี้ล่ะ จากไปโดยไม่ได้ล่ำลากันเลยมันคงเศร้าน่าดูเลยนะแม่ เราสวดมนต์หมดทั้งของพุทธและคริสต์ ภาวนาขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขอให้คืนที่ยาวนานนี้ผ่านไปโดยไว เพื่อที่ตอนเช้าเราจะได้รีบไปหาคนที่เรารักได้เร็วที่สุด...
ตลอดทั้งคืน เราจ้องมองแสงไฟที่ลอดใต้ประตูห้องนอนเข้ามา เผื่อว่าถ้าแม่หมดลมหายใจ ไปแล้วแม่คงจะเดินมาหยุดตรงหน้าห้องเพื่อบอกลากันครั้งสุดท้าย... ภาวนาขออย่าให้เป็นแบบนั้นเลย
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
จะค่อยๆพิมพ์เรื่องราวต่อจากนี้ให้อ่านนะคะ

ขอบคุณทุกท่านที่สละเวลาเข้ามาอ่านด้วยใจจริงค่ะ

ประโยชน์ใดใดก็ตามที่เกิดขึ้นจากกระทู้นี้ขออุทิศให้กับแม่ ทีมแพทย์ พยาบาล เภสัชกร เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ ผู้คิดค้นอุปกรณ์ช่วยชีวิต และผู้ที่ให้ความช่วยเหลือไม่ว่าทางใดทางนึงทุกๆท่านค่ะ
ในวันที่แม่เส้นเลือดในสมองแตกครั้งที่ 3...ชีวิตมันเปราะบางมากนะ
ชีวิตของคนเรา ในบางครั้งสิ่งที่ไม่คาดคิดมันก็สามารถเกิดขึ้นกับชีวิตได้ทุกเมื่อ สิ่งสำคัญคือการเตรียมใจและพร้อมเผชิญกับมันด้วยใจที่เข้มแข็ง
วันนี้วันที่ 18 พฤศจิกายน 58 เป็นวันครบรอบการเส้นเลือดในสมองแตกของแม่ ซึ่งเป็นครั้งที่ 3 แล้ว ตลอดระยะเวลา 1 เดือนที่ผ่านมา มีทั้งรอยยิ้มและน้ำตา ทั้งความทุกข์และความสุขมากมายเหลือเกินค่ะ จึงขอเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของเรา และบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับของโรคหลอดเลือดสมองให้เป็นความรู้กับทุกท่านได้ระมัดระวังตัวกันต่อไปค่ะ
หมายเหตุ : ทุกสิ่งที่เล่ามานี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง และมีบางส่วนที่เป็นเรื่องของความเชื่อส่วนบุคคลนะคะ รวมทั้งไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียเกี่ยวข้องกับภาคธุรกิจค่ะ
เช้าวันอาทิตย์ที่ 18 ตุลาคม ผ่านวันเกิดแม่มาเพียง 1 วัน น้องสาวเดินมาบอกที่ห้องนอนว่า
“เมื่อคืนนี้ฝันว่าฟันแตกสองซี่ แต่ยังไม่หลุดออกจากปาก และไม่เจ็บด้วย แต่เมื่อคายออกมาเห็นเป็นเศษฟันแตกละเอียดคาอยู่ในมือ”
เมื่อได้ฟังก็คิดถึงเรื่องการทำนายฝันทันที่ เพราะเคยได้ยินผู้หลักผู้ใหญ่พูดเรื่องความฝันและการทำนายฝันว่าถ้าฟันหักฟันหลุดมักจะไม่ดี จะมีเหตุให้เสียญาติผู้ใหญ่หรือบุคคลอันเป็นที่รัก ถือได้ว่าเป็นการฝันที่มีคำทำนายร้ายแรงมาก ทั้งๆที่ในใจก็กลัวเหมือนกันแต่ในตอนนั้นเราคุยกันเล่นๆตลกๆว่า มันไม่ได้หักไม่ได้หลุดนี่นา คงไม่มีอะไรหรอก สงสัยฝันเพราะไม่ค่อยแปรงฟันก่อนนอน สมน้ำหน้า ...หลังจากนั้นเราก็กลับไปใช้ชีวิตกันตามปกติ
ช่วงหัวค่ำขณะที่กำลังนั่งดูโทรทัศน์กัน จู่ๆพ่อที่อยู่ต่างจังหวัดก็โทรมาบอกว่าแม่อาการไม่ค่อยดี เข้าไปถ่ายในห้องน้ำแล้วอาเจียน หายใจไม่สะดวกกำลังไปที่โรงพยาบาล ตอนนั้นเราก็คิดว่าแม่คงหน้ามือเพราะวันนี้อากาศมันร้อนมาก จนญาติที่ส่งแม่ไปโรงพยาบาลกรุงเทพฯ จันทบุรี โทรมาบอกว่าแม่อาการหนักมาก ไม่รู้สึกตัวแล้วและหายใจไม่ได้ ตอนนี้อยู่ในห้องฉุกเฉิน และต้องสแกนสมอง ได้ฟังแค่นั้นเรารู้เลยว่ามันไม่ใช่อาการหน้ามืดธรรมดาแล้ว สิ่งแรกที่คิดในหัวเลยก็คือ....Stroke แน่นอน มันเป็นสิ่งที่เรากลัวมากที่สุด มันมาแล้วจริงๆ และเราอาจจะกำลังเสียแม่ไป...เคยได้ยินว่าช่วงวันเกิดทุกคนจะมีดวงแรง บางคนจะไปก็คงไปในช่วงวันเกิดนี่แหละ ได้แต่ภาวนาว่าขอให้มันไม่จริง
เรา น้องสาว และเพื่อนของน้องรีบเก็บของแล้วออกเดินทางกลับจันทบุรีทันที ตลอดทางภาวนาขอทุกสิ่งทุกอย่าง และที่สำคัญคือขอให้แม่รอก่อน เรากำลังจะไปหาแม่จะตายตอนนี้ไม่ได้นะ
นึกถึงสิ่งที่คุยกับแม่ตอนเช้าปกติแม่ไม่เคยพูดแบบนี้เลย แม่บอกว่าสวดขอแม่พระ(พระแม่มารีย์)ก่อนนอนนะ เราก็ตอบแบบขอไปทีว่า “อือๆ” จนกระทั่งแม่พูดกลับมาแบบที่ไม่เคยย้ำแบบนี้เลยว่า
“อย่า อืออย่างเดียวนะ พูดแล้วต้องทำด้วย ต้องมีความเชื่อด้วย”
ตลอดทางกลับบ้านเราคิดตลอดว่าแม่สั่งเสียไว้แค่นี้จริงๆ คิดว่าถ้าไปถึงเราจะจัดการเรื่องต่างๆอย่างไร ถ้าแม่ไม่รอเราแล้วล่ะ ต้องใช้ดอกไม้ในงานสีอะไร จะใช้รูปไหนดี แล้วจะใส่ชุดไหนให้แม่ เราจะต้องอยู่แบบไม่มีแม่จริงๆแล้วใช่ไม๊ ทำไมวันเกิดแม่เราถึงไม่อยู่ข้างๆแม่ ทำไมไม่ลางาน ทำไมปล่อยให้แม่ต้องฉลองวันเกิดโดยที่ไม่มีลูกๆเลย เราพยายามคิดถึงสิ่งดีๆว่าอย่างน้อย อาทิตย์ที่แล้วเรากับน้องสาวลุยน้ำป่ากันกลับบ้าน น้ำไหลเชี่ยวข้ามถนนมา ฝนตกหนักและฟ้าผ่าแรงมากจนเราเกือบถอดใจ ขับรถกลับกรุงเทพฯ แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจลุยน้ำไป และเอาของขวัญเป็นกระเป๋าใบหนึ่งให้แม่ ซึ่งแม่จะไม่มีโอกาสได้ใช้มันอีกแล้ว...
เราต่างนั่งรถกันมาเงียบๆในความมืดของสองข้างทางเพราะไม่รู้จะพูดอะไรกันดี
สิ่งที่ได้ฟังจากพ่อก่อนหน้านี้ก็คือ พ่อกับแม่กำลังนั่งดูเดอะ วอยซ์กันอยู่ แม่ก็บ่นๆว่าถ่ายไม่ออกเลย แม่ท้องผูกไม่ได้ถ่ายมาหลายวันแล้ว จากนั้นแม่ก็เดินเข้าห้องน้ำไป(ห้องน้ำซึ่งอยู่ในห้องนอน) พ่อเห็นว่าหายไปนานก็เป็นห่วงกลัวว่าจะล้ม เพราะแม่เพิ่งเส้นเลือดในสมองแตกไปครั้งก่อนเมื่อ 6 เดือนที่แล้ว ส่งผลให้การทำงานของซีกขวายังกลับคืนมาได้ไม่ดีนัก แม่ยังเดินเองได้ไม่สะดวก และการใช้มือขวาซึ่งเป็นมือที่ถนัดก็ทำได้ไม่เต็มที่ เมื่อพ่อเข้าไปถึงสภาพแม่ที่เห็นคือ กำลังนอนหายใจแผ่วเบาอยู่บนเตียง พ่อเห็นอาการไม่ดีแล้วจึงโทรเรียกป้า เรียกญาติ และมีเพื่อนบ้านมาช่วยอุ้มแม่ขึ้นรถไปที่โรงพยาบาลทันที
ในที่สุดพี่ที่เป็นญาติกันก็โทรมาบอกว่าผลสแกนออกแล้วนะ
แม่เส้นเลือดในสมองแตกอีกแล้ว เส้นเดียวกับครั้งก่อนแต่ครั้งนี้ดูฟิล์มแล้ว เลือดออกมาเยอะมาก ลงไปอยู่ในโพรงสมองส่วนใน ซึ่งหมอบอกว่าถ้าผ่าก็คงจะไม่คุ้ม คงจะต้องรอดูอาการในวันพรุ่งนี้ว่าจะทำอย่างไรต่อไป โดยคุณหมอได้ใส่ท่อช่วยหายใจและรักษาเบื้องต้นไปแล้วตอนนี้แม่อยู่ในห้อง ICU ยอมรับเลยว่าใจสลายมาก แม่ไม่รู้สึกตัว หายใจเองไม่ได้แล้ว ความเป็นกับความตายมันมีระยะห่างที่น้อยนิด และเราแทบไม่รู้เลยว่าจะมีความหวังเหลืออยู่มากน้อยแค่ไหน หรือจริงๆแล้วมันเป็นเวลาที่ควรทำใจแล้ว แบบนี้ใช่ไหมที่ต้องทำใจแล้วและปล่อยให้แม่ไป ใครจะเชื่อว่าการเข้าห้องน้ำเพียงครั้งเดียวนำมาซึ่งความทุกข์ทรมานแสนสาหัสขนาดนี้
ในขณะเดียวกัน พ่อที่เป็นโรคหัวใจอยู่แล้วเมื่อรู้ว่าแม่มีอาการสาหัสขนาดนี้ก็เกิดอาการของหัวใจขึ้นมาอีก จนต้องแอดมิท อยู่ที่ห้อง IMCU อีกคน คุณหมอต้องให้ทานยานอนหลับ เพราะเกรงว่าจะเป็นอันตราย...
ตอนนั้นอยากจะร้องไห้มากๆ แต่ร้องไม่ออก มันช็อคกับเรื่องที่เกิดขึ้นจนไม่มีแรงจะทำอะไรแล้ว วันเดียวกันทั้งพ่อและแม่อยู่ในโรงพยาบาลและอาการหนักทั้งคู่ มันเป็นวันที่โหดร้ายมากเลยจริงๆ จากที่คิดว่าเรากำลังจะเสียคนๆนึงไป ตอนนี้เราไม่รู้เลยว่าเวลานี้จะเสียไปทั้งสองคนเลยรึเปล่า...
เกือบสี่ชั่วโมง จาก กรุงเทพฯ กลับมาที่จันทบุรี เมื่อไปถึงเป็นเวลาเที่ยงคืนแล้วซึ่งทั้งห้อง ICU และ IMCU หมดเวลาเยี่ยมแล้ว เราได้แต่ชะเง้อผ่านกระจก แต่มันก็ไกลเหลือเกิน ไกลจนมองไม่เห็นเลยว่าขณะนี้พ่อและแม่ของเราเป็นอย่างไรบ้าง ไม่รู้ว่าทั้งสองคนจะรู้ไหมว่าลูกๆมาถึงแล้วนะ สุดท้ายเราตัดใจกลับบ้านเพราะถ้าอยู่ที่นี้ก็คงทำอะไรไม่ได้
เมื่อมาถึง ป้าที่เป็นพี่สาวของพ่อ (ซึ่งอยู่บ้านติดกัน) ก็เล่าให้ฟังว่าตอนไปส่งแม่ที่โรงพยาบาลแม่ยังรู้สึกตัวอยู่ ป้าก็คอยเรียกชื่อตลอดทาง บอกว่าให้เข้มแข็ง กำลังจะพาไปหาหมอแล้ว จนเมื่อถึงบริเวณศาลหลักเมืองประจำจังหวัด แม่ก็เริ่มหมดสติไปก่อนถึงโรงพยาบาลเพียงแค่ 5 นาทีเท่านั้น
เรากลับมาที่บ้านเพราะเหนื่อยจากการเดินทางแล้ว เข้ามาถึงห้องนอนที่เรานอนกับแม่เป็นประจำ ยังมีภาพสิ่งที่แม่อาเจียนอยู่บนพื้น เราทำความสะอาดไปก็ร้องไห้ไป สงสารแม่มาก ขอให้แม่ไม่เป็นอะไร โกรธตัวเองมากที่ปล่อยให้แม่เป็นแบบนี้
คืนนั้นหลังจากทำความสะอาดห้องเสร็จเราไม่กล้านอนที่ห้องนั้นเลย ต้องขอไปนอนกับน้อง เพราะรู้ว่าตัวเองอ่อนแอมากเกินกว่าจะนอนในห้องนั้นโดยไม่มีแม่ได้...
มันเป็นค่ำคืนที่ยากลำบากมาก เราแทบไม่ได้หลับเลยตลอดทั้งคืน เป็นห่วงทั้งพ่อและแม่ และไม่รู้ว่าถ้าเกิดแม่กำลังจะจากเราไปจริงๆ เราจะได้มีโอกาสคุยกับแม่เป็นครั้งสุดท้ายไหม...แล้วถ้าแม่จะจากไปคืนนี้ล่ะ จากไปโดยไม่ได้ล่ำลากันเลยมันคงเศร้าน่าดูเลยนะแม่ เราสวดมนต์หมดทั้งของพุทธและคริสต์ ภาวนาขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขอให้คืนที่ยาวนานนี้ผ่านไปโดยไว เพื่อที่ตอนเช้าเราจะได้รีบไปหาคนที่เรารักได้เร็วที่สุด...
ตลอดทั้งคืน เราจ้องมองแสงไฟที่ลอดใต้ประตูห้องนอนเข้ามา เผื่อว่าถ้าแม่หมดลมหายใจ ไปแล้วแม่คงจะเดินมาหยุดตรงหน้าห้องเพื่อบอกลากันครั้งสุดท้าย... ภาวนาขออย่าให้เป็นแบบนั้นเลย
จะค่อยๆพิมพ์เรื่องราวต่อจากนี้ให้อ่านนะคะ
ประโยชน์ใดใดก็ตามที่เกิดขึ้นจากกระทู้นี้ขออุทิศให้กับแม่ ทีมแพทย์ พยาบาล เภสัชกร เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ ผู้คิดค้นอุปกรณ์ช่วยชีวิต และผู้ที่ให้ความช่วยเหลือไม่ว่าทางใดทางนึงทุกๆท่านค่ะ