สวัสดีค่ะ
เราติดตามอ่านกระทู้เกี่ยวกับสอบ IELTS มาหลายกระทู้ ได้ความรู้ เทคนิค มากมายจากที่นี่
เราขอขอบคุณคนเขียนกระทู้ทุกๆคนที่สละเวลามาแชร์ประสบการณ์ และเทคนิคต่างๆ
เพื่อเป็นการขอบคุณ เราก็อยากจะขอแชร์ประสบการณ์ และวิธีการฝึกฝนที่ได้ศึกษามา และที่เราประยุกต์ใช้มา
เผื่อจะเป็นประโยชน์แก่พี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ที่กำลังเตรียมสอบอยู่ค่ะ
เราไปสอบมาเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2558 ค่ะ เป็นแบบ IELTS ปกติ Academic
คะแนนของเรา Listening 8 ; Reading 7 ; Writing 6.5 ; Speaking 6 ; Overall 7
หนังสือที่ใช้ IELTS Cambridge เล่มม่วง 7-10 ในแต่ละเล่ม จะมีแบบฝึกหัดฟัง 4 ชุดค่ะ เท่ากับว่า เราจะได้ฝึกทั้งหมด 16 ชุดค่ะ
สำหรับเรา เราคิดว่าฝึก 4 เล่มนี้ก็พอแล้วค่ะ เพราะว่าแบบฝึกหัดจะใกล้เคียงกับข้อสอบจริงกว่าเล่มเก่าๆ
หนังสือสามารถหาโหลดได้จากในอินเตอร์เนตค่ะ ส่วนพาร์ทฟังสามารถหาฟังได้จากยูทูปค่ะ
แหล่งการเรียนรู้ IELTS Simon // BBC Radio 4 // IELTS Buddy // pantip
ช่วงก่อนสอบ
Listening
จาก 5.5 มาเป็น 8 ค่ะ
ครั้งแรกที่เราทำแบบฝึกหัดการฟัง คือ ตอนทดสอบหลังเรียนของสถาบันภาษาที่เราไปลงเรียนค่ะ เราได้ 5.5 ต่ำกว่า 6 คนเดียวในห้องค่ะ
อาจารย์ฝรั่งยังอึ้ง เพราะเราตั้งใจเรียนมากค่ะ และเขาก็คาดหวังว่าทุกคนจะได้ไม่ต่ำกว่า 6 ค่ะ
เราก็เลยหาเทคนิค โดยอ่านจากในพันทิพเนี่ยแหละค่ะ
ภาพรวม การฟังจะมีทั้งหมด 40 ข้อ 40 คะแนน แบ่งออกเป็น 4 พาร์ท พาร์ทละ 10 คะแนน
ใช้เวลาทั้งหมดจะประมาณ 40 นาที พอสอบเสร็จ จะมีเวลาให้ย้ายคำตอบไปยังกระดาษคำตอบ 10 นาทีค่ะ
1.พาร์ทแรก จะเป็นบทสนทนาเรื่องทั่วไป อาจจะขอข้อมูลเพื่อกรอกรายละเอียด เกี่ยวกับ การจองรถ การเช่าบ้าน
2.พาร์ทที่สอง จะเป็นบทบรรยายเรื่องทั่วไป อาจจะเกี่ยวกับการแนะนำสถานที่ โครงการใหม่ๆของรัฐ
3.พาร์ทที่สาม จะเป็นบทสนทนาเชิงวิชาการ ระหว่างอาจารย์ กับนักเรียน ปรึกษาเรื่องเรียน ทำวิจัย ปัญหาต่างๆ
4.พาร์ทที่สี่ จะเป็นบทบรรยายเชิงวิชาการ อาจจะงานวิจัยเกี่ยวกับ ธุรกิจ หรือ สัตว์โลก
การฝึกฝน เราจะฟังวันละ 1 ชุด ช่วงเวลาพักกลางวัน และก่อนสอบประมาณ 1 อาทิตย์ เราจะฟังวันละ 2 ชุดค่ะ
ควรทำแบบฝึกหัดให้ต่อเนื่องครบทุก 40 ข้อในครั้งเดียว เพื่อความสมจริง เหมือนเวลาสอบค่ะ
ถ้าเกิดว่าทำครบ เล่ม 7-10 แล้ว แต่ยังมีเวลาเหลือ ก็ให้เลือกทำชุดที่ได้คะแนนน้อยอีกครั้งค่ะ
เวลาทำแบบฝึกหัด หรือข้อสอบ พยายามบอกตัวเองว่า “
ให้มองไปข้างหน้า” อย่างเดียวค่ะ
เวลาสอบจะมีเวลาให้เราทบทวนคำตอบ
อย่า ทบทวนค่ะ ให้เอาเวลาไปอ่านโจทย์ข้อต่อๆไป
เพราะอย่างพาร์ทที่สาม และสี่ คำถามเป็นตัวเลือก แต่ละตัวเลือกก็จะยาว บางทีอ่านคำถามไม่ทัน แล้วเสียโอกาสค่ะ
ข้อไหนไม่ได้ก็ผ่านไปเลยค่ะ ข้อไหนเป็นเขียน ก็แค่เขียนให้พอรู้เรื่อง และอย่าลืมใส่ –s, -es
แล้วตอน 10 นาที เวลาที่ให้ย้ายคำตอบ ค่อยมาตั้งใจเขียน เช็คตัวสะกดค่ะ
เทคนิค ให้จับ Key Word ในประโยคคำถามค่ะ หรือถ้าเป็นเติมคำ ก็ดูคำข้างหน้า ช่องว่าง
พอเราได้ยิน Key Word เหล่านั้น ก็คือให้เราเตรียมตัวฟังดีๆค่ะ หรือว่า ตอนนี้เขาพูดถึงข้อไหนกันอยู่เนี่ย 55555+
โดยเฉพาะพาร์ท 3 และ 4 เราฟังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้พูดข้อไหนไปแล้วบ้าง
การให้คะแนน ควรเข้มงวดในการให้คะแนนตัวเองค่ะ
อย่างเช่น ถ้าโจทย์สั่งว่า One Word Only แต่ดันตอบ 2 คำ ถึงจะตอบถูก ก็ผิดนะคะ
และหลังจากทำแบบฝึกหัดเราจะจดคะแนนทุกพาร์ท รวมถึงเขียนข้อผิดพลาดของเราลงใน Excel ค่ะ
เช่น เรามักจะลืม –s, -es สติหลุดไปช่วงทำพาร์ท 3 หรือ สะกดคำผิด เป็นต้น
หลังจากทำแบบฝึกหัด ถ้าพาร์ทไหนได้น้อยมาก อย่างเช่น บางทีเราได้ 3 คะแนน จากพาร์ทที่ 3 หรือ 4
เราก็จะกลับไปเปิดฟัง และลองทำอีกครั้ง แล้วก็เช็คดูอีกทีว่าทำถูกไหม
ถ้าฟังยังไงก็ไม่ถูก ค่อยไปอ่านตัวไดอาล็อคค่ะ ว่าทำไมตอบแบบนี้
การทำแบบนี้จะช่วยพัฒนาเรา และทำให้เราเข้าใจความคิดของคนทำข้อสอบมากขึ้นค่ะ
เพราะบางที ตอนฟังเราก็ว่าเราฟังออกนะคะ แต่ทำไมตัวเลือกมันดูตอบถูก หรือผิด ไปหมดเลย 555555+
ข้อควรระวัง อ่านโจทย์ให้ดีๆค่ะ มันอาจจะดูง่ายๆนะคะ แต่เราพบว่า เราผิดแบบนี้ 2-3 ครั้งเลยทีเดียว
เพราะโจทย์ให้เขียน One Word Only แต่เราไปเขียนมากกว่า 1 คำค่ะ
แล้วก็ตัวสะกดค่ะ สะกดผิดก็คือ ผิด ค่ะ ถ้าเราสะกดผิด ก็ให้เราทำเหมือนตอนเด็กๆคือ เขียนคำที่สะกดผิดประมาณ 10 ครั้งค่ะ
ถ้าคราวหน้าออกคำเดียวกันจะได้ไม่ผิดอีก
คำแนะนำ สำหรับเรา การฝึกทำแบบฝึกหัดการฟังอยู่เสมอจะทำให้เราเพิ่มคะแนนการฟังได้มากขึ้นค่ะ
ทักษะเราอาจจะเพิ่มขึ้นไม่มาก แต่เราคิดว่า ความผิดพลาดของเราจะลดลงค่ะ
และถ้าว่างๆแต่ไม่สามารถทำแบบฝึกหัดได้ เช่น ตอนทำงาน หรือนั่งรถไฟฟ้า ให้ฟัง BBC Radio 4 ค่ะ
ที่เป็นช่องนี้ เพราะเราอ่านมาจากพันทิพ เขาบอกว่าช่องนี้ฟังง่ายสุดค่ะ ถึงจะบอกว่าฟังง่าย
แต่เราก็ฟังไม่ค่อยออกอยู่ดีค่ะ ฟังให้หู และประสาทของเราคุ้นชินกับภาษาอังกฤษ จะได้ไม่ตกใจเวลาเจอข้อสอบค่ะ
Reading
จาก 4.5 มาเป็น 7 ค่ะ
ความจริง การอ่านเป็นอะไรที่เรากลัวที่สุดเลยค่ะ
เพราะตอนที่ทำแบบฝึกหัดเราได้ไม่เคยเกิน 5.5 เลยค่ะ แถมยังมีปัญหา อ่านไม่ทัน และมึนสุดๆอีกต่างหาก
ภาพรวม การอ่านจะมีทั้งหมด 40 ข้อ 40 คะแนน แบ่งออกเป็น 3 พาร์ท พาร์ทละ 13 ข้อ และพาร์ทสุดท้ายน่าจะ 14 ข้อค่ะ
ให้เวลาทั้งหมด 1 ชั่วโมงค่ะ ส่วนการอ่าน
ไม่มีการให้เวลาเพื่อย้ายคำตอบนะคะ
สำหรับเราคิดว่า ส่วนใหญ่บทความจะเรียงตามความง่าย ไปหายากค่ะ
เนื้อหาบทความก็จะเป็นเรื่องประวัติความเป็นมา งานวิจัย พวกวิวัฒนาการสัตว์ต่างๆ จิตวิทยา วิทยาศาสตร์
การฝึกฝน เราจะฝึกทำวันละชุดค่ะ ช่วง 4 – 5 ทุ่ม
เวลาทำแบบฝึกหัด หรือข้อสอบ การกะเวลาเป็นเรื่องสำคัญนะคะ ไม่ควรใช้เวลาเกิน 20 นาที ต่อ 1 บทความค่ะ
ตอนแรกๆเราทำไม่ทันเลยค่ะแต่หลังจากฝึกทำแบบฝึกหัดไปสัก 4-5 ชุด เราก็จะเริ่มทำได้เร็วขึ้นค่ะ
เวลาทำแบบฝึกหัด หรือข้อสอบ เรา
จะอ่านคำถามก่อนค่ะ และ
หา Key Word เพื่อไปหาคำนั้นในบทความอีกที
มีคนบอกเราว่าถ้าเราแค่หา Key Word เจอ เราก็ไม่จำเป็นต้องอ่านทั้งบทความ
แต่จากการทำแบบฝึกหัดของเรา เราว่ายังไงก็ต้องอ่านเกือบทั้งหมดบทความอยู่ดีค่ะ
แต่ Key Word จะช่วยให้เรารู้ว่าคำตอบอยู่แถวไหนค่ะ
และเราพบว่า ถ้าเป็นแบบเติมคำจะง่ายกว่าช้อยส์ค่ะ ถ้าหาถูกจุดก็มีโอกาสถูกยกเซตเลยค่ะ
ส่วนที่ยากคือ พวกจับใจความย่อหน้าต่างๆ ถ้าเจอข้อสอบแบบนี้ก็ทำที่หลังดีที่สุดค่ะ
การเดาคำตอบ เวลาทำแบบฝึกหัด ไม่ควรเดานะคะ เพราะคะแนนที่ได้จะคลาดเคลื่อนกับความเป็นจริง
ทำไม่ได้ ทำไม่ทัน ก็เว้นไว้ค่ะ แต่ในวันที่สอบจริง ให้เราเผื่อเวลาไว้สัก 5 นาที เพื่อเดาแบบมีชั้นเชิง คืออิงจากความเข้าใจที่อ่านมา ประมาณ 3 นาที
และอีก 2 นาทีสุดท้าย ให้เดาแบบจริงจังค่ะ
ห้ามไม่ตอบเด็ดขาดค่ะ
หลังจากทำแบบฝึกหัด เหมือนกับการฟังเลยค่ะ ให้ดูว่าข้อไหนตอบผิด แล้วค่อยๆกลับไปหาคำตอบในบทความอีกทีค่ะ
แล้วดูว่าทำถูกแล้วหรือยัง เราว่ามันสำคัญมากค่ะ เพราะตอนที่เราเริ่มทำใหม่ๆ เราสับสนมาก โดยเฉพาะ Not Given
แต่พอเราทำผิดแล้วกลับมาดู เราจะเข้าใจหลักการทำมากขึ้นเลยค่ะ
ข้อควรระวัง เติมคำ ให้ระวังตัวสะกดดีๆนะคะ อย่าลอกคำมาผิด
Writing
การเขียน เราได้ประมาณ 5.5 – 6.5 มาตั้งแต่ฝึกแรกๆเลยค่ะ เราก็เลยอาจจะไม่มีคำแนะนำมากนักนะคะ
เพราะเราลองเขียนมาเป็น 10 เรียงความแล้ว เราก็ไม่ได้คะแนนมากไปกว่านี้เลยค่ะ
โดยส่วนตัวเราคิดว่า ความเป็นไปได้น้อยที่จะอัพคะแนนการเขียนได้มากๆในเวลาอันสั้น มันเกิดจากการสะสมล้วนๆ
ถึงเราจะพอรู้คำศัพท์มาบ้าง แต่มันยากค่ะ ที่จะเขียนให้ถูกทั้งไวยากรณ์ คำศัพท์หลากลาย ในเวลาเพียงแค่ 60 นาที
ภาพรวม แบ่งออกเป็น 2 พาร์ทค่ะ ให้เวลาทำ 60 นาที
พาร์ทแรก จะเป็น พวกตาราง กราฟแท่ง กราฟวงกลม กราฟเส้น และพวกแผนที่ ควรใช้เวลาทำ 20 นาที เขียนไม่ต่ำกว่า 150 คำ
พาร์ทที่สอง จะเป็นการเขียนเรียงความ โดยแบ่งเป็น การเขียนแสดงความคิดเห็น การเขียนอธิบายประโยชน์และโทษ
การเขียนอธิบายสาเหตุและผล โดยควรใช้เวลาทำ 40 นาที เขียนไม่ต่ำกว่า 250 คำ
การฝึกฝน และเวลาทำข้อสอบ
พาร์ทแรก ควรเขียนให้เร็ว และดี ค่ะ แต่ไม่ต้องการความสมบูรณ์แบบ เพราะคะแนนส่วนนี้จะแค่ 1 ส่วน 3 ของคะแนนทั้งหมดค่ะ
เราจะชอบเขียนแบ่งเป็น 3 ย่อหน้าค่ะ ย่อหน้าแรก คือ เขียนทวนคำถาม (paraphrase) และ เขียนภาพรวม (Overview)
แล้วค่อยเขียนรายละเอียด โดยการแบ่งเป็น 2 ย่อหน้า
พาร์ที่สอง ควรตั้งสติ แล้วลิสสิ่งที่จะเขียนไว้ในหัว หรือในกระดาษค่ะ คนส่วนใหญ่จะเขียนประมาณ 3 ไอเดียค่ะ ต่อหนึ่งย่อหน้า
แต่สำหรับเรา เขียนไม่ทันค่ะ เราเขียนแค่ 2 ไอเดียค่ะ แต่เน้นอธิบายเหตุผล และยกตัวอย่างค่ะ พาร์ทนี้โครงสร้างก็เป็นสิ่งสำคัญนะคะ
อย่างไรก็ควรจะมี เขียนทวนคำถาม (paraphrase) และตอบคำถามของโจทย์ให้ชัดเจนในย่อหน้าแรกค่ะ
และย่อหน้าสุดท้ายก็ควรเขียนสรุป (Conclusion) ด้วยทุกครั้ง
การฝึกฝน เวลาฝึกให้
ฝึกเขียนจากดินสอนะคะ จะได้เหมือนเวลาสอบจริง อย่าใช้คอมพิมพ์นะคะ
เพราะคอมมักจะช่วยเราเรื่องสะกดผิดค่ะ ตอนแรกเราชอบใช้คอมพิมพ์ พอมาฝึกเขียนกระดาษ เราสะกดผิดเยอะค่ะ แถมยังใช้เวลามากกว่าตอนพิมพ์ เพราะเราสะกดคำไม่ถูกค่ะ เลยต้องลบ แล้วเขียนแก้ค่ะ และเวลาฝึก
ควรเคร่งครัดเรื่องเวลาค่ะ เพราะเวลาสอบจริง หมดเวลาคือหมดค่ะ
นอกจากนี้ควร
ฝึกโจทย์ที่หลากหลายค่ะ และอ่านคำถามให้เข้าใจค่ะ เมื่ออ่านคำถามแล้ว ให้เราวาดภาพโครงสร้างในหัว
หรือเขียนลงกระดาษว่าจะตอบอย่างไร และแบ่งเป็นกี่ย่อหน้าค่ะ
ถ้าทำบ่อยๆ พอเจอโจทย์ถามแบบนี้ เราจะสามารถวาดภาพในหัวได้เร็วขึ้นมากค่ะ
คำแนะนำ สำหรับเรา พาร์ทที่สอง เรากลัวเขียนโครงสร้างไม่ครบ เราจะเขียนสรุปรอไว้เลยค่ะ
โดยนับบรรทัดขึ้นมาประมาณ 5-6 บรรทัดค่ะ เพราะถ้าไม่มีสรุป ก็จะถูกหักเยอะค่ะ
ที่สำคัญ
อย่ากลัวโจทย์นะคะ เราเป็นคนหนึ่งที่กลัวโจทย์ พอได้โจทย์ที่เราไม่มีความรู้ เรื่องที่ไม่ชอบ เราก็จะหมดกำลังใจก่อนจะเริ่มเขียนเลยค่ะ ให้คิดว่า “ถ้าไม่เขียนอะไรเลย เขาก็จะหาคะแนนให้ไม่ได้” เขียนไปเลยค่ะ
การหาความรู้ พอดีเราเรียนภาษาอังกฤษกับทางสถาบัน ไม่ได้อ่านเองทั้งหมด แต่ถ้าสำหรับคนที่อยากจะอ่านเอง
เราก็แนะนำให้อ่านงานเขียนจากเวปไซต์ต่างๆค่ะ เราแนะนำเวปของคุณไซมอนค่ะ (IELTS Simon) เราก็อ่านมาจากกระทู้พันทิพค่ะ
เราชอบอ่านงานเขียนของเขาค่ะ และถ้าเจอประโยคไหนที่เราชอบ เราก็จะจดออกมา แล้วท่องจำไปค่ะ
(
เน้น เราต้องรู้จักประยุกต์ให้เป็นของเรานะคะ ไม่ใช่ลอกมาทั้งหมด เพราะเคยอ่านเจอในพันทิพว่า ถ้าลอกมาผู้ตรวจข้อสอบเขาก็รู้นะคะ)
**EDIT:: เพิ่มรูป และแก้คำผิดค่ะ
แชร์ประสบการณ์ และการเตรียมตัวสอบ IELTS
เราติดตามอ่านกระทู้เกี่ยวกับสอบ IELTS มาหลายกระทู้ ได้ความรู้ เทคนิค มากมายจากที่นี่
เราขอขอบคุณคนเขียนกระทู้ทุกๆคนที่สละเวลามาแชร์ประสบการณ์ และเทคนิคต่างๆ
เพื่อเป็นการขอบคุณ เราก็อยากจะขอแชร์ประสบการณ์ และวิธีการฝึกฝนที่ได้ศึกษามา และที่เราประยุกต์ใช้มา
เผื่อจะเป็นประโยชน์แก่พี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ที่กำลังเตรียมสอบอยู่ค่ะ
เราไปสอบมาเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2558 ค่ะ เป็นแบบ IELTS ปกติ Academic
คะแนนของเรา Listening 8 ; Reading 7 ; Writing 6.5 ; Speaking 6 ; Overall 7
หนังสือที่ใช้ IELTS Cambridge เล่มม่วง 7-10 ในแต่ละเล่ม จะมีแบบฝึกหัดฟัง 4 ชุดค่ะ เท่ากับว่า เราจะได้ฝึกทั้งหมด 16 ชุดค่ะ
สำหรับเรา เราคิดว่าฝึก 4 เล่มนี้ก็พอแล้วค่ะ เพราะว่าแบบฝึกหัดจะใกล้เคียงกับข้อสอบจริงกว่าเล่มเก่าๆ
หนังสือสามารถหาโหลดได้จากในอินเตอร์เนตค่ะ ส่วนพาร์ทฟังสามารถหาฟังได้จากยูทูปค่ะ
แหล่งการเรียนรู้ IELTS Simon // BBC Radio 4 // IELTS Buddy // pantip
ช่วงก่อนสอบ
Listening
จาก 5.5 มาเป็น 8 ค่ะ
ครั้งแรกที่เราทำแบบฝึกหัดการฟัง คือ ตอนทดสอบหลังเรียนของสถาบันภาษาที่เราไปลงเรียนค่ะ เราได้ 5.5 ต่ำกว่า 6 คนเดียวในห้องค่ะ
อาจารย์ฝรั่งยังอึ้ง เพราะเราตั้งใจเรียนมากค่ะ และเขาก็คาดหวังว่าทุกคนจะได้ไม่ต่ำกว่า 6 ค่ะ
เราก็เลยหาเทคนิค โดยอ่านจากในพันทิพเนี่ยแหละค่ะ
ภาพรวม การฟังจะมีทั้งหมด 40 ข้อ 40 คะแนน แบ่งออกเป็น 4 พาร์ท พาร์ทละ 10 คะแนน
ใช้เวลาทั้งหมดจะประมาณ 40 นาที พอสอบเสร็จ จะมีเวลาให้ย้ายคำตอบไปยังกระดาษคำตอบ 10 นาทีค่ะ
1.พาร์ทแรก จะเป็นบทสนทนาเรื่องทั่วไป อาจจะขอข้อมูลเพื่อกรอกรายละเอียด เกี่ยวกับ การจองรถ การเช่าบ้าน
2.พาร์ทที่สอง จะเป็นบทบรรยายเรื่องทั่วไป อาจจะเกี่ยวกับการแนะนำสถานที่ โครงการใหม่ๆของรัฐ
3.พาร์ทที่สาม จะเป็นบทสนทนาเชิงวิชาการ ระหว่างอาจารย์ กับนักเรียน ปรึกษาเรื่องเรียน ทำวิจัย ปัญหาต่างๆ
4.พาร์ทที่สี่ จะเป็นบทบรรยายเชิงวิชาการ อาจจะงานวิจัยเกี่ยวกับ ธุรกิจ หรือ สัตว์โลก
การฝึกฝน เราจะฟังวันละ 1 ชุด ช่วงเวลาพักกลางวัน และก่อนสอบประมาณ 1 อาทิตย์ เราจะฟังวันละ 2 ชุดค่ะ
ควรทำแบบฝึกหัดให้ต่อเนื่องครบทุก 40 ข้อในครั้งเดียว เพื่อความสมจริง เหมือนเวลาสอบค่ะ
ถ้าเกิดว่าทำครบ เล่ม 7-10 แล้ว แต่ยังมีเวลาเหลือ ก็ให้เลือกทำชุดที่ได้คะแนนน้อยอีกครั้งค่ะ
เวลาทำแบบฝึกหัด หรือข้อสอบ พยายามบอกตัวเองว่า “ให้มองไปข้างหน้า” อย่างเดียวค่ะ
เวลาสอบจะมีเวลาให้เราทบทวนคำตอบ อย่า ทบทวนค่ะ ให้เอาเวลาไปอ่านโจทย์ข้อต่อๆไป
เพราะอย่างพาร์ทที่สาม และสี่ คำถามเป็นตัวเลือก แต่ละตัวเลือกก็จะยาว บางทีอ่านคำถามไม่ทัน แล้วเสียโอกาสค่ะ
ข้อไหนไม่ได้ก็ผ่านไปเลยค่ะ ข้อไหนเป็นเขียน ก็แค่เขียนให้พอรู้เรื่อง และอย่าลืมใส่ –s, -es
แล้วตอน 10 นาที เวลาที่ให้ย้ายคำตอบ ค่อยมาตั้งใจเขียน เช็คตัวสะกดค่ะ
เทคนิค ให้จับ Key Word ในประโยคคำถามค่ะ หรือถ้าเป็นเติมคำ ก็ดูคำข้างหน้า ช่องว่าง
พอเราได้ยิน Key Word เหล่านั้น ก็คือให้เราเตรียมตัวฟังดีๆค่ะ หรือว่า ตอนนี้เขาพูดถึงข้อไหนกันอยู่เนี่ย 55555+
โดยเฉพาะพาร์ท 3 และ 4 เราฟังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้พูดข้อไหนไปแล้วบ้าง
การให้คะแนน ควรเข้มงวดในการให้คะแนนตัวเองค่ะ
อย่างเช่น ถ้าโจทย์สั่งว่า One Word Only แต่ดันตอบ 2 คำ ถึงจะตอบถูก ก็ผิดนะคะ
และหลังจากทำแบบฝึกหัดเราจะจดคะแนนทุกพาร์ท รวมถึงเขียนข้อผิดพลาดของเราลงใน Excel ค่ะ
เช่น เรามักจะลืม –s, -es สติหลุดไปช่วงทำพาร์ท 3 หรือ สะกดคำผิด เป็นต้น
หลังจากทำแบบฝึกหัด ถ้าพาร์ทไหนได้น้อยมาก อย่างเช่น บางทีเราได้ 3 คะแนน จากพาร์ทที่ 3 หรือ 4
เราก็จะกลับไปเปิดฟัง และลองทำอีกครั้ง แล้วก็เช็คดูอีกทีว่าทำถูกไหม
ถ้าฟังยังไงก็ไม่ถูก ค่อยไปอ่านตัวไดอาล็อคค่ะ ว่าทำไมตอบแบบนี้
การทำแบบนี้จะช่วยพัฒนาเรา และทำให้เราเข้าใจความคิดของคนทำข้อสอบมากขึ้นค่ะ
เพราะบางที ตอนฟังเราก็ว่าเราฟังออกนะคะ แต่ทำไมตัวเลือกมันดูตอบถูก หรือผิด ไปหมดเลย 555555+
ข้อควรระวัง อ่านโจทย์ให้ดีๆค่ะ มันอาจจะดูง่ายๆนะคะ แต่เราพบว่า เราผิดแบบนี้ 2-3 ครั้งเลยทีเดียว
เพราะโจทย์ให้เขียน One Word Only แต่เราไปเขียนมากกว่า 1 คำค่ะ
แล้วก็ตัวสะกดค่ะ สะกดผิดก็คือ ผิด ค่ะ ถ้าเราสะกดผิด ก็ให้เราทำเหมือนตอนเด็กๆคือ เขียนคำที่สะกดผิดประมาณ 10 ครั้งค่ะ
ถ้าคราวหน้าออกคำเดียวกันจะได้ไม่ผิดอีก
คำแนะนำ สำหรับเรา การฝึกทำแบบฝึกหัดการฟังอยู่เสมอจะทำให้เราเพิ่มคะแนนการฟังได้มากขึ้นค่ะ
ทักษะเราอาจจะเพิ่มขึ้นไม่มาก แต่เราคิดว่า ความผิดพลาดของเราจะลดลงค่ะ
และถ้าว่างๆแต่ไม่สามารถทำแบบฝึกหัดได้ เช่น ตอนทำงาน หรือนั่งรถไฟฟ้า ให้ฟัง BBC Radio 4 ค่ะ
ที่เป็นช่องนี้ เพราะเราอ่านมาจากพันทิพ เขาบอกว่าช่องนี้ฟังง่ายสุดค่ะ ถึงจะบอกว่าฟังง่าย
แต่เราก็ฟังไม่ค่อยออกอยู่ดีค่ะ ฟังให้หู และประสาทของเราคุ้นชินกับภาษาอังกฤษ จะได้ไม่ตกใจเวลาเจอข้อสอบค่ะ
Reading
จาก 4.5 มาเป็น 7 ค่ะ
ความจริง การอ่านเป็นอะไรที่เรากลัวที่สุดเลยค่ะ
เพราะตอนที่ทำแบบฝึกหัดเราได้ไม่เคยเกิน 5.5 เลยค่ะ แถมยังมีปัญหา อ่านไม่ทัน และมึนสุดๆอีกต่างหาก
ภาพรวม การอ่านจะมีทั้งหมด 40 ข้อ 40 คะแนน แบ่งออกเป็น 3 พาร์ท พาร์ทละ 13 ข้อ และพาร์ทสุดท้ายน่าจะ 14 ข้อค่ะ
ให้เวลาทั้งหมด 1 ชั่วโมงค่ะ ส่วนการอ่าน ไม่มีการให้เวลาเพื่อย้ายคำตอบนะคะ
สำหรับเราคิดว่า ส่วนใหญ่บทความจะเรียงตามความง่าย ไปหายากค่ะ
เนื้อหาบทความก็จะเป็นเรื่องประวัติความเป็นมา งานวิจัย พวกวิวัฒนาการสัตว์ต่างๆ จิตวิทยา วิทยาศาสตร์
การฝึกฝน เราจะฝึกทำวันละชุดค่ะ ช่วง 4 – 5 ทุ่ม
เวลาทำแบบฝึกหัด หรือข้อสอบ การกะเวลาเป็นเรื่องสำคัญนะคะ ไม่ควรใช้เวลาเกิน 20 นาที ต่อ 1 บทความค่ะ
ตอนแรกๆเราทำไม่ทันเลยค่ะแต่หลังจากฝึกทำแบบฝึกหัดไปสัก 4-5 ชุด เราก็จะเริ่มทำได้เร็วขึ้นค่ะ
เวลาทำแบบฝึกหัด หรือข้อสอบ เราจะอ่านคำถามก่อนค่ะ และหา Key Word เพื่อไปหาคำนั้นในบทความอีกที
มีคนบอกเราว่าถ้าเราแค่หา Key Word เจอ เราก็ไม่จำเป็นต้องอ่านทั้งบทความ
แต่จากการทำแบบฝึกหัดของเรา เราว่ายังไงก็ต้องอ่านเกือบทั้งหมดบทความอยู่ดีค่ะ
แต่ Key Word จะช่วยให้เรารู้ว่าคำตอบอยู่แถวไหนค่ะ
และเราพบว่า ถ้าเป็นแบบเติมคำจะง่ายกว่าช้อยส์ค่ะ ถ้าหาถูกจุดก็มีโอกาสถูกยกเซตเลยค่ะ
ส่วนที่ยากคือ พวกจับใจความย่อหน้าต่างๆ ถ้าเจอข้อสอบแบบนี้ก็ทำที่หลังดีที่สุดค่ะ
การเดาคำตอบ เวลาทำแบบฝึกหัด ไม่ควรเดานะคะ เพราะคะแนนที่ได้จะคลาดเคลื่อนกับความเป็นจริง
ทำไม่ได้ ทำไม่ทัน ก็เว้นไว้ค่ะ แต่ในวันที่สอบจริง ให้เราเผื่อเวลาไว้สัก 5 นาที เพื่อเดาแบบมีชั้นเชิง คืออิงจากความเข้าใจที่อ่านมา ประมาณ 3 นาที
และอีก 2 นาทีสุดท้าย ให้เดาแบบจริงจังค่ะ ห้ามไม่ตอบเด็ดขาดค่ะ
หลังจากทำแบบฝึกหัด เหมือนกับการฟังเลยค่ะ ให้ดูว่าข้อไหนตอบผิด แล้วค่อยๆกลับไปหาคำตอบในบทความอีกทีค่ะ
แล้วดูว่าทำถูกแล้วหรือยัง เราว่ามันสำคัญมากค่ะ เพราะตอนที่เราเริ่มทำใหม่ๆ เราสับสนมาก โดยเฉพาะ Not Given
แต่พอเราทำผิดแล้วกลับมาดู เราจะเข้าใจหลักการทำมากขึ้นเลยค่ะ
ข้อควรระวัง เติมคำ ให้ระวังตัวสะกดดีๆนะคะ อย่าลอกคำมาผิด
Writing
การเขียน เราได้ประมาณ 5.5 – 6.5 มาตั้งแต่ฝึกแรกๆเลยค่ะ เราก็เลยอาจจะไม่มีคำแนะนำมากนักนะคะ
เพราะเราลองเขียนมาเป็น 10 เรียงความแล้ว เราก็ไม่ได้คะแนนมากไปกว่านี้เลยค่ะ
โดยส่วนตัวเราคิดว่า ความเป็นไปได้น้อยที่จะอัพคะแนนการเขียนได้มากๆในเวลาอันสั้น มันเกิดจากการสะสมล้วนๆ
ถึงเราจะพอรู้คำศัพท์มาบ้าง แต่มันยากค่ะ ที่จะเขียนให้ถูกทั้งไวยากรณ์ คำศัพท์หลากลาย ในเวลาเพียงแค่ 60 นาที
ภาพรวม แบ่งออกเป็น 2 พาร์ทค่ะ ให้เวลาทำ 60 นาที
พาร์ทแรก จะเป็น พวกตาราง กราฟแท่ง กราฟวงกลม กราฟเส้น และพวกแผนที่ ควรใช้เวลาทำ 20 นาที เขียนไม่ต่ำกว่า 150 คำ
พาร์ทที่สอง จะเป็นการเขียนเรียงความ โดยแบ่งเป็น การเขียนแสดงความคิดเห็น การเขียนอธิบายประโยชน์และโทษ
การเขียนอธิบายสาเหตุและผล โดยควรใช้เวลาทำ 40 นาที เขียนไม่ต่ำกว่า 250 คำ
การฝึกฝน และเวลาทำข้อสอบ
พาร์ทแรก ควรเขียนให้เร็ว และดี ค่ะ แต่ไม่ต้องการความสมบูรณ์แบบ เพราะคะแนนส่วนนี้จะแค่ 1 ส่วน 3 ของคะแนนทั้งหมดค่ะ
เราจะชอบเขียนแบ่งเป็น 3 ย่อหน้าค่ะ ย่อหน้าแรก คือ เขียนทวนคำถาม (paraphrase) และ เขียนภาพรวม (Overview)
แล้วค่อยเขียนรายละเอียด โดยการแบ่งเป็น 2 ย่อหน้า
พาร์ที่สอง ควรตั้งสติ แล้วลิสสิ่งที่จะเขียนไว้ในหัว หรือในกระดาษค่ะ คนส่วนใหญ่จะเขียนประมาณ 3 ไอเดียค่ะ ต่อหนึ่งย่อหน้า
แต่สำหรับเรา เขียนไม่ทันค่ะ เราเขียนแค่ 2 ไอเดียค่ะ แต่เน้นอธิบายเหตุผล และยกตัวอย่างค่ะ พาร์ทนี้โครงสร้างก็เป็นสิ่งสำคัญนะคะ
อย่างไรก็ควรจะมี เขียนทวนคำถาม (paraphrase) และตอบคำถามของโจทย์ให้ชัดเจนในย่อหน้าแรกค่ะ
และย่อหน้าสุดท้ายก็ควรเขียนสรุป (Conclusion) ด้วยทุกครั้ง
การฝึกฝน เวลาฝึกให้ฝึกเขียนจากดินสอนะคะ จะได้เหมือนเวลาสอบจริง อย่าใช้คอมพิมพ์นะคะ
เพราะคอมมักจะช่วยเราเรื่องสะกดผิดค่ะ ตอนแรกเราชอบใช้คอมพิมพ์ พอมาฝึกเขียนกระดาษ เราสะกดผิดเยอะค่ะ แถมยังใช้เวลามากกว่าตอนพิมพ์ เพราะเราสะกดคำไม่ถูกค่ะ เลยต้องลบ แล้วเขียนแก้ค่ะ และเวลาฝึกควรเคร่งครัดเรื่องเวลาค่ะ เพราะเวลาสอบจริง หมดเวลาคือหมดค่ะ
นอกจากนี้ควรฝึกโจทย์ที่หลากหลายค่ะ และอ่านคำถามให้เข้าใจค่ะ เมื่ออ่านคำถามแล้ว ให้เราวาดภาพโครงสร้างในหัว
หรือเขียนลงกระดาษว่าจะตอบอย่างไร และแบ่งเป็นกี่ย่อหน้าค่ะ
ถ้าทำบ่อยๆ พอเจอโจทย์ถามแบบนี้ เราจะสามารถวาดภาพในหัวได้เร็วขึ้นมากค่ะ
คำแนะนำ สำหรับเรา พาร์ทที่สอง เรากลัวเขียนโครงสร้างไม่ครบ เราจะเขียนสรุปรอไว้เลยค่ะ
โดยนับบรรทัดขึ้นมาประมาณ 5-6 บรรทัดค่ะ เพราะถ้าไม่มีสรุป ก็จะถูกหักเยอะค่ะ
ที่สำคัญ อย่ากลัวโจทย์นะคะ เราเป็นคนหนึ่งที่กลัวโจทย์ พอได้โจทย์ที่เราไม่มีความรู้ เรื่องที่ไม่ชอบ เราก็จะหมดกำลังใจก่อนจะเริ่มเขียนเลยค่ะ ให้คิดว่า “ถ้าไม่เขียนอะไรเลย เขาก็จะหาคะแนนให้ไม่ได้” เขียนไปเลยค่ะ
การหาความรู้ พอดีเราเรียนภาษาอังกฤษกับทางสถาบัน ไม่ได้อ่านเองทั้งหมด แต่ถ้าสำหรับคนที่อยากจะอ่านเอง
เราก็แนะนำให้อ่านงานเขียนจากเวปไซต์ต่างๆค่ะ เราแนะนำเวปของคุณไซมอนค่ะ (IELTS Simon) เราก็อ่านมาจากกระทู้พันทิพค่ะ
เราชอบอ่านงานเขียนของเขาค่ะ และถ้าเจอประโยคไหนที่เราชอบ เราก็จะจดออกมา แล้วท่องจำไปค่ะ
(เน้น เราต้องรู้จักประยุกต์ให้เป็นของเรานะคะ ไม่ใช่ลอกมาทั้งหมด เพราะเคยอ่านเจอในพันทิพว่า ถ้าลอกมาผู้ตรวจข้อสอบเขาก็รู้นะคะ)
**EDIT:: เพิ่มรูป และแก้คำผิดค่ะ