สมัยที่ผมเรียนชั้นมัธยมปลาย สายศิลป์ (ตอนนี้คงไม่มีแล้วมั้ง) มีวิชาประวัติวรรรคดีไทย ที่ไล่ลำดับมาตั้งแต่หลักศิลาจารึกมาจนถึงโคลงกลอนในยุคต่างๆ ช่วงกรุงศรีอยุธยา ธนบุรี และรัตนโกสินทร์ ที่เด็กสมัยนี้เห็นว่าคร่ำครึ สู้แชตกันไม่ได้นั่นแหละ
มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ผมติดใจมากจนหาซื้อมาอ่านเองหนึ่งเล่ม คือหนังสือ "จดหมายจางวางหร่ำ" พระนิพนธ์โดย นมส. ซึ่งเป็นพระนามแฝงของพระราชวรวงศ์เธอกรมหมื่นพิทยาลงกรณนั่นเอง
คราวพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ เสด็จประพาสหัวเมืองฝ่ายเหนือ ทำให้ทรงไม่มีเวลาจัดทำหนังสือทวีปัญญา จึงโปรดให้ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ และเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี ร่วมกันจัดการออกหนังสือทวีปัญญาต่อไป แล้วได้คิดที่จะนำหนังสือฝรั่งเรื่อง LETTERS FROM A SELF-MADE MERCHANT TO HIS SON ของ จอร์จ ฮอเรซ ลอริเมอร์ (GeorgeHorace Lorimer) มาลงในทวีปัญญา แต่กรมหมื่นพิทยาลงกรณมีความคิดว่าถ้าแปลความตามฝรั่งไปอาจจะไม่เป็นที่เข้าใจของคนที่อ่านโดยทั่วไป จึงได้ดัดแปลงแก้ไขเป็นสำนวนไทยๆ ขึ้น ในที่สุด กลายเป็นเขียนเองแทบทั้งๆฉบับ กล่าวได้แต่ความคิดเดิมมาจาก "ฝรั่ง"
ต่อมาอีกหลายปี เมื่อทวีปัญญาได้เลิกไปนานแล้ว ปรากฏว่าคนอ่านยังจำจดหมายจางวางหร่ำได้กันมาก บรรณาธิการ "หนังสือเสนาศึกษา" ได้ขอต่อเจ้าของให้เขียนอีก เจ้าของจึงได้เขียนอีกฉบับหนึ่ง คือ ฉบับที่ 7 ซึ่งแม้มีภาษาอังกฤษอยู่ท่อนยาว เจ้าของก็แต่งเองล้วน ตามที่จำได้ดูเหมือนจะไม่มีเค้ามาจากหนังสืออื่นเลยอันเป็นที่มาของ จดหมายจางวางหร่ำ
สำหรับเนื้อเรื่องโดยย่อนั้น มีอยุ่ว่า จางวางหร่ำ เศรษฐีจังหวัดฉะเชิงเทรา เขียนจดหมายถึงนายสนธิ์บุตรชาย ที่ไปศึกษาอยู่ในประเทศอังกฤษ รวม 7 ฉบับ แต่ละฉบับจะสั่งสอนในเรื่องต่างๆ กัน โดยเน้นเรื่องการเรียนเป็นสำคัญให้ตั้งใจเรียน ใฝ่หาความรู้ให้เต็มความสามารถ พยายามเรียนรู้สิ่งที่จะเป็นประโยชน์ต่อตนเองให้มากที่สุด เรียนวิชาที่สัมพันธ์กับงานซึ่งจะต้องทำเพื่อประกอบอาชีพในอนาคต ให้รู้จักประหยัด ใช้เงินเฉพาะที่เกี่ยวกับการเรียนเท่านั้น ไม่ให้ทำใจกว้างเลี้ยงเพื่อน เพราะยังหาเงินด้วยตนเองไม่ได้ เมื่อเรียนจบแล้วให้รีบกลับมาทำงาน
และเมื่อนายสนธิ์กลับมาทำงานในเมืองไทยแล้ว จางวางหร่ำก็ได้สอนวิธีการทำงาน ให้เป็นผู้ฟังมากกว่าพูด ให้รู้จักดูคนให้รอบคอบและเอื้อเฟื้อซึ่งกันและกัน นอกจากนี้ยังสอนการเลือกคู่ครอง
ตอนสุดท้ายได้ปรารภเรื่องเงินหนึ่งหมื่นบาทที่เหลือจากการทำบุญอายุครบ 60 ปี ว่าจะนำไปใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์ต่อไป..
สำหรับถ้อยคำที่ทรงนิพนธ์นั้น ล้วนคมคาย ขำลึก และโดนใจผู้อ่านเป็นอย่างยิ่ง ถึงจะมีอายุยืนนานมาร่วม 100 ปีแล้วก็ตาม
ดูตัวอย่างโวหารประกอบความคิดของเจ้าจ๋องที่คิดคำโฆษณาสินค้าสิครับ...
"น้ำปลาโอชารส มาตรแม้นมดหมดเมืองมา
ลองลิ้มชิมน้ำปลา จักดูดดื่มลืมน้ำตาล"
กระทู้ก่อนนอน (๓๕)
มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ผมติดใจมากจนหาซื้อมาอ่านเองหนึ่งเล่ม คือหนังสือ "จดหมายจางวางหร่ำ" พระนิพนธ์โดย นมส. ซึ่งเป็นพระนามแฝงของพระราชวรวงศ์เธอกรมหมื่นพิทยาลงกรณนั่นเอง
คราวพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ เสด็จประพาสหัวเมืองฝ่ายเหนือ ทำให้ทรงไม่มีเวลาจัดทำหนังสือทวีปัญญา จึงโปรดให้ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ และเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี ร่วมกันจัดการออกหนังสือทวีปัญญาต่อไป แล้วได้คิดที่จะนำหนังสือฝรั่งเรื่อง LETTERS FROM A SELF-MADE MERCHANT TO HIS SON ของ จอร์จ ฮอเรซ ลอริเมอร์ (GeorgeHorace Lorimer) มาลงในทวีปัญญา แต่กรมหมื่นพิทยาลงกรณมีความคิดว่าถ้าแปลความตามฝรั่งไปอาจจะไม่เป็นที่เข้าใจของคนที่อ่านโดยทั่วไป จึงได้ดัดแปลงแก้ไขเป็นสำนวนไทยๆ ขึ้น ในที่สุด กลายเป็นเขียนเองแทบทั้งๆฉบับ กล่าวได้แต่ความคิดเดิมมาจาก "ฝรั่ง"
ต่อมาอีกหลายปี เมื่อทวีปัญญาได้เลิกไปนานแล้ว ปรากฏว่าคนอ่านยังจำจดหมายจางวางหร่ำได้กันมาก บรรณาธิการ "หนังสือเสนาศึกษา" ได้ขอต่อเจ้าของให้เขียนอีก เจ้าของจึงได้เขียนอีกฉบับหนึ่ง คือ ฉบับที่ 7 ซึ่งแม้มีภาษาอังกฤษอยู่ท่อนยาว เจ้าของก็แต่งเองล้วน ตามที่จำได้ดูเหมือนจะไม่มีเค้ามาจากหนังสืออื่นเลยอันเป็นที่มาของ จดหมายจางวางหร่ำ
สำหรับเนื้อเรื่องโดยย่อนั้น มีอยุ่ว่า จางวางหร่ำ เศรษฐีจังหวัดฉะเชิงเทรา เขียนจดหมายถึงนายสนธิ์บุตรชาย ที่ไปศึกษาอยู่ในประเทศอังกฤษ รวม 7 ฉบับ แต่ละฉบับจะสั่งสอนในเรื่องต่างๆ กัน โดยเน้นเรื่องการเรียนเป็นสำคัญให้ตั้งใจเรียน ใฝ่หาความรู้ให้เต็มความสามารถ พยายามเรียนรู้สิ่งที่จะเป็นประโยชน์ต่อตนเองให้มากที่สุด เรียนวิชาที่สัมพันธ์กับงานซึ่งจะต้องทำเพื่อประกอบอาชีพในอนาคต ให้รู้จักประหยัด ใช้เงินเฉพาะที่เกี่ยวกับการเรียนเท่านั้น ไม่ให้ทำใจกว้างเลี้ยงเพื่อน เพราะยังหาเงินด้วยตนเองไม่ได้ เมื่อเรียนจบแล้วให้รีบกลับมาทำงาน
และเมื่อนายสนธิ์กลับมาทำงานในเมืองไทยแล้ว จางวางหร่ำก็ได้สอนวิธีการทำงาน ให้เป็นผู้ฟังมากกว่าพูด ให้รู้จักดูคนให้รอบคอบและเอื้อเฟื้อซึ่งกันและกัน นอกจากนี้ยังสอนการเลือกคู่ครอง
ตอนสุดท้ายได้ปรารภเรื่องเงินหนึ่งหมื่นบาทที่เหลือจากการทำบุญอายุครบ 60 ปี ว่าจะนำไปใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์ต่อไป..
สำหรับถ้อยคำที่ทรงนิพนธ์นั้น ล้วนคมคาย ขำลึก และโดนใจผู้อ่านเป็นอย่างยิ่ง ถึงจะมีอายุยืนนานมาร่วม 100 ปีแล้วก็ตาม
ดูตัวอย่างโวหารประกอบความคิดของเจ้าจ๋องที่คิดคำโฆษณาสินค้าสิครับ...
"น้ำปลาโอชารส มาตรแม้นมดหมดเมืองมา
ลองลิ้มชิมน้ำปลา จักดูดดื่มลืมน้ำตาล"