[Spoiled] รีวิว 007 Spectre หนังขายแนวคิดแถมแอคชั่น

รีวิว 007 Spectre หนังขายแนวคิดแถมแอคชั่น


วันนี้ไปดูรอบ11.30 เมเจอร์ปิ่นมาด้วยความพะวงลึก ๆ เพราะอ่านรีวิวจากที่นี่ไปก่อนแล้วเจอแต่ด้านที่ไม่ดี ปรากฏว่าดูจบแล้วออกมาชอบใจ ขอรีวิวด้วยความเห็นและความรู้สึกส่วนตัวค่ะ ถึงกับสมัครพันทิพเพื่อรีวิวเป็นครั้งแรก ขอฝากตัวด้วยนะคะ

-หนังขายแนวคิดที่แถมแอคชั่น

สำหรับคอหนังโจรกรรม ยุคนี้คงมาถึงจุดที่ทุกไอเดียเกี่ยวกับแผนการซับซ้อนซ่อนเงื่อนถูกนักเขียนบทแข่งกันงัดสารพัดมุกจนเริ่มซ้ำซากและไม่สามารถหาอะไรใหม่มาตื่นตาตื่นใจได้แล้ว---- 007คงไม่ใช่หนังแอคชั่นที่คนดูจะหวังแผนการซับซ้อนชวนรู้สึกมหัศจรรย์อีกต่อไป แต่เป็นหนังที่ดูด้วยความเป็นมนุษย์แล้วรู้สึกดี ไม่ใช่แค่การกระทำแบบพระเอกอย่างการช่วยคนเดือดร้อนเป็นฉาก ๆ แต่007ยุคหลังเขียนเค้าโครงทั้งหมดของซีรี่ย์ให้เราได้เห็นความเป็นมนุษย์ที่เติบโตขึ้นอย่างเป็นระบบ ไม่ใช่แค่ตัวพระเอกอย่างบอนด์ แต่รวมถึงเพื่อนร่วมทีม หัวหน้าทีม องค์กร และอาจฟุ้งพาลไปถึงระดับประเทศ

- ความเป็นมนุษย์และคำสั่ง

ถ้าไล่เรียงมา ช่วงcasino royale บอนด์ยังเป็นวัยคะนองที่ต้องมีคนสะอาดและเก่งพออย่างMสาวใหญ่คอยดูแล นำทางและสั่งสอน สิ่งแรกที่เป็นแนวคิดหนัง สังเกตได้ว่าบอนด์(และสมาชิกทุกคนในทีม)ไม่เคย”เชื่อง” คอยจะนอกกรอบและทำตามความรู้สึกตัวเองอยู่ตลอด ในการทำงานเป็นระบบอย่างองค์กรแล้วนี่อาจเป็นความบกพร่องร้ายแรงที่ไม่อาจให้อภัย ไม่มีหัวหน้าองค์กรที่ไหนอยากได้เจ้าหน้าที่ขัดขืนออกนอกคำสั่ง  แต่ลักษณะนี้ซีรี่ย์007กลับบอกว่าเป็นสิ่งที่ควรเป็นของหน่วยงานนักฆ่าหรือสายลับ เพราะถ้าเกี่ยวกับการตายของคนอื่น สิ่งที่ควรรักษาคือความเป็นมนุษย์มากกว่าตัวคำสั่ง นี่คือแนวคิดภายใต้สมมติฐานว่าเราสามารถไว้ใจบอนด์และทีมงานของบอนด์เรื่องความเป็นมนุษย์ของพวกเขาได้และพวกเขาเป็นคนดี

- ความทรงพลังของฝ่ายร้าย

พูดถึงฝ่ายชั่วร้ายในSpectre เห็นหลายรีวิวมีความเห็นว่าดูอ่อนและขาดพลังไป แต่ถ้ามองไปที่ธรรมชาติขององค์กรแนวนี้ ความมีพลังและมหัศจรรย์ของพวกเขาอยู่ที่การแทรกซึม ซุ่มเงียบ ทยอยถักทอใยแมงมุม แผ่ขยายขอบเขตอิทธิพลและอำนาจ เหมือนเงาที่ลามใหญ่ขึ้นจนสามารถกลืนกินต้นร่าง(เช่นประเทศแม่หรือโลกทั้งใบ)ได้  องค์กรร้ายแนวนี้จะดูมีพลังที่สุดในหนังซีรี่ย์ยาว ๆ อย่างหนังจีน50-70ม้วนที่คนดูจะได้ขนลุกไปกับชัยชนะและความสำเร็จทีละขั้นตอนของพวกเขา แต่พอเป็นหนังโรงย่อมถูกจำกัดด้วยข้อจำกัดด้านเวลาไปอย่างน่าเสียดาย เหลือแต่วิธีให้บอสและรองบอสมาพูดโม้โอ้อวดแบบพอสังเขป ถ้าหนังได้มีโอกาสเล่าว่าSpectreเติบโตขึ้นมายังไง หรืออย่างน้อย องค์การดวงตา(?)ของCค่อย ๆ ดูดกลืนความคิดผู้คนจนสามารถผลักดันนโยบายระดับโลกได้ยังไงเราคงได้รู้สึกว่าองค์กรนี่น่าครั่นคร้ามและเต็มไปด้วยพลัง (Spectreเลือกคนทำงานด้วยการหักคอเพื่อรับตำแหน่งแทน เหมือนให้หนูกินกันเองเพื่อหนูแข็งแกร่งที่สุดตัวเดียวไม่มีผิด(ราอูล?))

- การซ่อมแซมสิ่งที่บทหนังของบอนด์ยุคคลาสสิคมองข้ามไป

หนังพยายามแก้ไขและซ่อนแซมบรรดาจุดชำรุดที่อยู่ในบทหนังหนัง007ยุคคลาสสิค ซึ่งต้องเข้าใจว่าเป็นคนละแนว ยุคคลาสสิคคือการขายความฝัน เท่ห์เหมือนฝัน เก่งเหมือนฝัน ป็อบปูล่าเหมือนฝัน ของเล่นไฮเทคเพียบเหมือนฝันและกลายเป็นฮีโร่งดงามประดับอยู่ในฝัน อะไรที่ข้ามไปถือว่ากรองออกไปให้หนังเหลือแต่ความบันเทิง  ยุคหลังนี้ทุกอย่างถูกปรับแต่งใหม่โดยให้บทหนังที่เขียนออกมามีคำตอบหรือคำอธิบายที่น่ายอมรับได้มากขึ้น เช่น ประเด็นเรื่องการใช้สาวบอนด์อย่างสิ้นเปลือง ถ้าบอนด์ถูกสมมติฐานว่าเป็นนักฆ่าที่มีความเป็นมนุษย์สูงมาก การใช้ประโยชน์สาวที่เกี่ยวข้องและทำเธอล้มหายตายจากก็ต้องกระทบจิตใจบอนด์ได้ ถึงบทหนังจะหลีกเลี่ยงการเป็นความผิดของบอนด์ว่าสาวเหล่านั้นล้วนอยู่ในสถานะอันตรายอยู่แล้ว หากบอนด์ไม่ไปเกี่ยวข้องสิอาจตายเร็วกว่าเดิมสักวันสองวัน(....) นี่อาจเป็นอีกจุดที่คนเขียนบทหนังพยายามแก้ไขหรือหาคำตอบที่ดีด้วยการพัฒนาวิธีการทำงานของบอนด์ในภาคต่อไป

- การเปลี่ยนผ่านต้องมาถึงเสมอ

อีกแนวคิดที่ต่อเนื่องมาจากภาคที่แล้ว(skyfall) คือการผ่านไปของเทรนเก่าและองค์กรหรือสถาบันเก่า  เคยเขียนรีวิวถึงSkyfall (อ่านได้ที่นี่ http://eguana.exteen.com/20121107/sky-fall )ว่าเป็นภาคเสนอแนวคิดถึงการล่มสลาย ทุกอย่างมีอายุขัย ยิ่งใหญ่น่ารักษาแค่ไหนผ่านยุคหนึ่งก็ต้องมีการผลัดเปลี่ยนจบไป ต้องเข้าใจและยอมรับให้ได้ แม้มีคนดี ๆ ทำงานอยู่ข้างในอย่างM(เก่า)หน่วยงานMI6ก็ยังเป็นเป้าของการยุบเลิกเพราะกระแสแห่งเวลามาถึง ภาคSpectreย้ำชัดอีกด้วยการระเบิดตึกมันให้พังหายไปจากโลกเลย ส่วนตัวแล้ว คิดว่าต่อไปอีก2-3ภาคคนเขียนบทจะต้องท้าทายความสามารถตัวเองด้วยการเสนอแนวคิด”องค์กรสายลับยุคใหม่”หรือ “หน่วยงานหรือวิธีการเพื่อปกป้องระวังภัยยุคใหม่” ว่าควรออกมาเป็นยังไง ที่แน่นอนต้องไม่ใช่ตึกหนัก ๆ และการทำงานปิดบังซ่องสุมแบบสมัยMยุคเก่าแน่

- สิ่งที่จะมาใหม่  

ประเด็น“หน่วยงานหรือวิธีการเพื่อปกป้องระวังภัยยุคใหม่” ภาคSpectreได้เสนอแนวคิดสุดโต่งทางนึงให้เห็นคือองค์กรดวงตาของ C ที่รวมศูนย์ข้อมูลข่าวกรองและการตัดสินใจอยู่ที่คนกลุ่มเล็ก ๆ แล้วก็พบว่ามันเป็นสิ่งที่เปราะบางและถูกคุกคามได้ง่ายมากกับการให้พลังขนาดนั้นถูกควบคุมได้ในมือคนไม่กี่คน (ต่อให้รัฐบาลหรือชาติตั้งเอง ก็มีกลุ่มคนแย่ ๆ ที่พร้อมฝักใฝ่เข้าไปใช้ประโยชน์ในทางที่เดือดร้อน) เราจึงได้เห็น M(ใหม่)พูดเสมอว่านี่ไม่เป็นประชาธิปไตย ในลักษณะที่คนเราทุกคนควรได้รับความเชื่อใจ มีพื้นที่ว่างในการใช้ชีวิตและไม่ควรต้องถูกตัดสินฝ่ายเดียวจากการเพ่งจับตามองหรือดักฟังการพูดทุกคำ นี่อาจสะท้อนนโยบายดูแลทีมงาน(หรือบอนด์)ของM(ใหม่)ที่เขาอาจจะดุหรือปล่อยทีมงานรับผิดชอบตัวเองตามบุญตามกรรมบ้างแต่เขาก็ไม่เคยเกลียดหรือต่อต้านไม่ให้ทีมงานรักษาไว้ซึ่งความเป็นมนุษย์ และอาจเป็นภาพร่างของ“หน่วยงานหรือวิธีการเพื่อปกป้องระวังภัยยุคใหม่” ที่อาจปรากฎขึ้นให้เห็นในภาคต่อไป (ตอนSkyfall  ราอูลเดิมเป็นสายลับมือดีมาก แต่ถูกMเก่าตัดออกจากสารบบเพราะชอบออกนอกกรอบเพื่อโชว์ศักดา ในขณะที่บอนด์เป็นพวกนอกกรอบเหมือนกัน แต่เป็นพวกเอาตัวเองเข้าเสี่ยงมากขึ้นเพื่อช่วยเหลือคนจำนวนมากให้มีชีวิตรอด)
.
.
.
- ฉากแอคชั่น

ส่วนตัวแล้วชอบวิเคราะห์แนวคิดจากการดูหนัง ฉากแอคชั่นเลยเป็นของแถมของหนัง(?) รู้สึกชื่นชมและเคารพทีมงานว่าทุ่มเทและลงทุนมาก ที่ขำปนงงก็ฉากเฮลิคอปเตอร์เหนือเมืองแม็กซิโก ไม่รู้ว่าบอนด์จะพยายามล็อคคอนักบินให้ได้ไปทำไมถ้านักบินไม่ได้ตั้งใจขับชนตึกตายหมู่ เผลอ ๆ น่าจะตกลงกันไปถึงพื้นก่อนแล้วค่อยต่อยกันก็ได้ หรือฉากรถไฟที่อัดกันพังไปหลายโบกี้แต่ก็ยังเดินทางได้ต่อและลงในฐานะทัวร์ลิสต์โดยที่ไม่มีปัญหา

- แอนดริว สก็อตตและการล้างคำครหา(?)ในหนัง

ส่วนตัวต้องดูภาคนี้ในโรงให้ได้เพราะติดตามนักแสดงชื่อ Andrew Scott จากบทมอริอาตี้ ซีรี่ย์เชอร์ล็อกของBBC ได้ยินว่ารับบท C ที่ศักดิ์เป็นรองบอสของภาคก็ดีใจ [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ เพราะนอกจากการชำระข้อครหาดวงกินเมีย(?)ของบอนด์แล้ว ภาคนี้เป็นภาคที่คนร้ายเริ่มรอดชีวิต บอสหลักของภาครอดได้Cก็น่าจะรอด(...) ถ้าคนเขียนบทเก่งมากพอ ภาคหน้าต่อไปซีรี่ย์บอนด์อาจนำเสนอวิธีปราบปัญหาใหม่โดยวิธีการที่ไม่ใช่การฆ่าคนร้ายและไม่ใช่การปล่อยให้ผู้หญิงถูกฆ่าก็เป็นได้ เห็นแนวโน้มคนดูหลายคนพึงพอใจกับแฟน(?)สาวคนใหม่ของบอนด์ ต่อไปเธออาจจะมาเป็นโจทย์ใหม่ที่บอนด์ต้องเอาชนะภารกิจไปเรื่อย ๆ โดยที่เธอต้องไม่ตาย

- แถมท้ายและสรุป

ประเด็นเรื่องบอสหลักของภาคนี้มีหลายท่านรีวิวว่าเขาเม้าท์แต่เรื่องอยากทำให้บอนด์เจ็บปวดจนดูไม่เข้าท่า ถ้ามองประกอบประเด็นบน-ความทรงพลังของฝ่ายร้าย-แล้วเราอาจทำความเข้าใจกับบอสคนนี้ได้ ว่าองค์กรSpectreเป็นแนวสานร่างแหใยแมงมุมแผ่ขยาย มีบอนด์คนเดียวที่ทำตัวนอกภารกิจ(ซึ่งองค์กรSpectreคงมองว่าเป็นการกระทำที่ไม่มีเหตุผลและไม่สามารถแทรกแซงควบคุมได้)มาคอยตามเลาะร่างแหองค์กรทีละเส้น ๆ จนเสียลูกน้องตัวใหญ่ไปทั้งนั้น คนที่คอยเพียรใช้เวลาก่อร่างสร้างสิ่งที่ตัวเองถือว่าสำคัญมาตั้งนานก็ต้องฉุกคิดแค้น การฆ่าบอนด์น่ะง่าย แต่ทำให้บอนด์รู้ว่าตัวเขาเสียใจและเจ็บใจแค่ไหนเป็นเรื่องที่สำคัญกว่า นั่นคือทำให้บอนด์รู้รสชาติว่าการเสียสิ่งสำคัญเป็นยังไง ด้วยการใช้ยาฆ่าความทรงจำให้บอนด์ลืมคนรัก แล้วก็พบว่าความเป็นมนุษย์(หรือหัวแข็งใจแกร่ง?)ของบอนด์ชนะเหนือเทคโนโลยี(อืม...)

สรุป เราจะเห็นได้ว่าบอนด์ยุคนี้พยายามตัดเรื่องเทคโนโลยีฝั่งพระเอกให้สำคัญน้อยลง เน้นที่ความเป็นมนุษย์มากขึ้น สิ่งที่คนยุคต่อไปควรเชื่อถือไม่ใช่ความมหัศจรรย์ของเทคโนโลยี แต่เป็นศักดิ์ศรีและความเป็นมนุษย์(?) ฉาก M กับ C คุยกันฉากตอนปลาย Mบอกทำนองว่าการตัดสินใจฆ่าใครจากหน้าจอหรือกดปุ่มไม่มีอนาคตหรอก สิ่งที่เราต้องพึ่งคือใจผู้ที่เหนี่ยวไกต่างหาก ว่าอย่างน้อยคนเหนี่ยวไกก็ต้องชั่งใจแล้วว่าคนที่เล็งอยู่สมควรถูกฆ่าหรือไม่ นี่อาจเป็นแนวคิดนักฆ่าที่มีใจเป็นอิสระเหนือคำสั่งอย่างบอนด์ก็ได้  

ติดตามต่อไปค่ะกับซีรี่ย์บอนด์ยุคหลัง ว่าสุดท้ายแล้วอะไรคือคำตอบที่คนเขียนบทจะนำเสนอในภาคสุดท้าย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่