คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 2
แผนกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นวงเงินงบประมาณ 1.3 แสนล้านบาท แบ่งเป็น
1. ส่งเสริมความเป็นอยู่ของผู้มีรายได้น้อย 60,000 ล้าน (หมู่บ้านละล้าน)
2. ส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับตำบล 36,275 ล้าน (ตำบลละ 5 ล้าน)
3. ส่งเสริมการลงทุนขนาดเล็ก (SME) 40,000 ล้าน
เข้าใจว่ามันเป็นแผนกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น ดังนั้นจึงต้องกระจายเงินให้ครอบคลุมประชาชนให้มากที่สุด เพื่อเร่งให้มีการใช้เงิน
มีเงินหมุนเข้าระบบอย่างรวดเร็ว
แต่สำหรับ จขกท.
กลับมานั่งคิดเสียดายเงินงบประมาณที่มากมายมหาศาลนี้ ที่เหมือนเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ตำเสร็จเทลงน้ำก็หายวาบ
ไปกับตา ก็เหมือนอนุมัติวงเงินงบประมาณออกมา ชาวบ้านมากู้ไปคนละหมื่น แล้วเงินก้อนนี้ก็หายจ้อยไปอย่างรวดเร็ว
คนกู้ได้เงินมาคนละนิดละหน่อย ไม่พอที่จะไปลงทุนทำอะไรให้เป็นชิ้นเป็นอัน และกว่าเงินจะค่อยๆกลับคืนเข้าสู่ระบบ
ก็กินเวลาไปถึง 7 ปี
สำหรับ จขกท. คิดว่า เงินงบประมาณในข้อที่ 1 และ 2 เป็นการทับซ้อน น่าจะนำมารวมกันให้เป็นเงินก้อนใหญ่แล้วกำหนด
รูปแบบการใช้เงินเพื่อให้เกิดชิ้นงานให้เป็นรูปธรรมที่ชัดเจน อย่างโครงการ OTOP จะดีเสียกว่า

จขกท. ขอยกตัวอย่างให้เพื่อนๆเห็นภาพนะคะ
ตำบลห้วยแก้ว มีหมู่บ้าน 7 หมู่เป็นสมาชิก ถ้าเรานำเงินงบประมาณในส่วนหมู่บ้านละ 1 ล้าน รวมกับ ตำบลละ 5 ล้าน
ตำบลห้วยแก้วก็จะมีเงินทุนถึง 12 ล้าน มากพอที่จะนำไปลงทุน สร้างงานสร้างรายได้ให้กับชุมชน เช่น ตั้งโรงสีข้าวของตำบล
แล้วแพ็คบรรจุถุงขายในตลาดเองโดยไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับพ่อค้าโรงสีข้าว ทำเป็นรูปแบบกลุ่มสหกรณ์ หรือกิจการของตำบลแล้ว
ช่วยกันบริหารงานให้ขยายเติบโตก็ได้ หรือ ตั้งกลุ่มผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ขายไฟให้กับคนในตำบลราคาถูก โดยการไฟฟ้า
ส่วนภูมิภาคเป็นผู้ให้คำแนะนำปรึกษาและควบคุมวิธีการดำเนินการ รวมถึงแผนการผลิตและแนวทางการตลาด
อย่างนี้เป็นต้น เงินที่รัฐบาลลงทุนไป น่าจะเห็นผลเกิดประโยชน์ต่อประชาชนอย่างคุ้มค่า ทั่วถึง และยั่งยืนมากกว่า
ดีกว่าการที่ลุงมีได้เงินกู้จากกองทุนหมู่บ้าน 10,000 บาทแล้วเอาไปจ่ายหนี้นอกระบบที่ไปกู้มาก่อนหน้านั้น หรือ ให้ลูกสาวไปซื้อ
สมาร์ทโฟนแบบถูกเครื่องละ 4,000 มาเล่นไลน์ หรือ ให้ป้ามาเอาไปซื้อทองครึ่งสลึงมาเก็บไว้ หรือให้ลูกชายเอาไปดาวน์มอไซด์
มาแว้นอวดหญิง อะไรแบบนี้ ซึ่งเงินมันหมุนเวียนเข้าระบบเศรษฐกิจเร็วก็จริง แต่มันเร็วเกินไปแค่ชั่วข้ามคืน หลังจากนั้น ก็กลับมา
นั่งหน้าแห้งทำเส่เหว่อยู่เหมือนเดิม อดอยากต่อไป พ่ะนะ
1. ส่งเสริมความเป็นอยู่ของผู้มีรายได้น้อย 60,000 ล้าน (หมู่บ้านละล้าน)
2. ส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับตำบล 36,275 ล้าน (ตำบลละ 5 ล้าน)
3. ส่งเสริมการลงทุนขนาดเล็ก (SME) 40,000 ล้าน
เข้าใจว่ามันเป็นแผนกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น ดังนั้นจึงต้องกระจายเงินให้ครอบคลุมประชาชนให้มากที่สุด เพื่อเร่งให้มีการใช้เงิน
มีเงินหมุนเข้าระบบอย่างรวดเร็ว
แต่สำหรับ จขกท.
กลับมานั่งคิดเสียดายเงินงบประมาณที่มากมายมหาศาลนี้ ที่เหมือนเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ตำเสร็จเทลงน้ำก็หายวาบ
ไปกับตา ก็เหมือนอนุมัติวงเงินงบประมาณออกมา ชาวบ้านมากู้ไปคนละหมื่น แล้วเงินก้อนนี้ก็หายจ้อยไปอย่างรวดเร็ว
คนกู้ได้เงินมาคนละนิดละหน่อย ไม่พอที่จะไปลงทุนทำอะไรให้เป็นชิ้นเป็นอัน และกว่าเงินจะค่อยๆกลับคืนเข้าสู่ระบบ
ก็กินเวลาไปถึง 7 ปี
สำหรับ จขกท. คิดว่า เงินงบประมาณในข้อที่ 1 และ 2 เป็นการทับซ้อน น่าจะนำมารวมกันให้เป็นเงินก้อนใหญ่แล้วกำหนด
รูปแบบการใช้เงินเพื่อให้เกิดชิ้นงานให้เป็นรูปธรรมที่ชัดเจน อย่างโครงการ OTOP จะดีเสียกว่า

จขกท. ขอยกตัวอย่างให้เพื่อนๆเห็นภาพนะคะ
ตำบลห้วยแก้ว มีหมู่บ้าน 7 หมู่เป็นสมาชิก ถ้าเรานำเงินงบประมาณในส่วนหมู่บ้านละ 1 ล้าน รวมกับ ตำบลละ 5 ล้าน
ตำบลห้วยแก้วก็จะมีเงินทุนถึง 12 ล้าน มากพอที่จะนำไปลงทุน สร้างงานสร้างรายได้ให้กับชุมชน เช่น ตั้งโรงสีข้าวของตำบล
แล้วแพ็คบรรจุถุงขายในตลาดเองโดยไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับพ่อค้าโรงสีข้าว ทำเป็นรูปแบบกลุ่มสหกรณ์ หรือกิจการของตำบลแล้ว
ช่วยกันบริหารงานให้ขยายเติบโตก็ได้ หรือ ตั้งกลุ่มผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ขายไฟให้กับคนในตำบลราคาถูก โดยการไฟฟ้า
ส่วนภูมิภาคเป็นผู้ให้คำแนะนำปรึกษาและควบคุมวิธีการดำเนินการ รวมถึงแผนการผลิตและแนวทางการตลาด
อย่างนี้เป็นต้น เงินที่รัฐบาลลงทุนไป น่าจะเห็นผลเกิดประโยชน์ต่อประชาชนอย่างคุ้มค่า ทั่วถึง และยั่งยืนมากกว่า
ดีกว่าการที่ลุงมีได้เงินกู้จากกองทุนหมู่บ้าน 10,000 บาทแล้วเอาไปจ่ายหนี้นอกระบบที่ไปกู้มาก่อนหน้านั้น หรือ ให้ลูกสาวไปซื้อ
สมาร์ทโฟนแบบถูกเครื่องละ 4,000 มาเล่นไลน์ หรือ ให้ป้ามาเอาไปซื้อทองครึ่งสลึงมาเก็บไว้ หรือให้ลูกชายเอาไปดาวน์มอไซด์
มาแว้นอวดหญิง อะไรแบบนี้ ซึ่งเงินมันหมุนเวียนเข้าระบบเศรษฐกิจเร็วก็จริง แต่มันเร็วเกินไปแค่ชั่วข้ามคืน หลังจากนั้น ก็กลับมา
นั่งหน้าแห้งทำเส่เหว่อยู่เหมือนเดิม อดอยากต่อไป พ่ะนะ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 1
ยินดีต้อนรับการกลับมาของนู๋นิดนะ

ก่อนอื่นต้องขออภัยนู๋นิดก่อนเลย ไม่รู้ว่าตั้งใจจะให้มีคอมเม้ต์แรกต่อเนื่องมาด้วย

สร้างโรงเรือนได้ถูกมากๆเลย รู้จักใช้วัสดุเหลือใช้ที่นำกลับมาใช้ประโยชน์ได้ด้วยวงเงินแค่หมื่นต้นๆ ได้โรงเรือนขนาดตั้ง 10*25*6 (m) ของพี่กั้นคอกหมาแค่ 3*5 เมตรหลังคามีอยู่แล้ว ยังหมดไปตั้งหลายพันแหนะ ช่วงนี้อากาศไม่ร้อนมากไก่ไม่เครียด อวยพรให้ไก่ออกไข่เยอะๆเลยนะ รวยๆๆๆๆๆสถานเดียว
ลืมบอกไปอย่างเรื่องบ่อปลาหางนกยูง ลองไปซื้อปั๊มน้ำพุขนาดเล็กๆมาสักตัวสิ อันนี้ช่วยระบายความร้อนให้ปลาดีมากๆเลยนะ ติด Timer จีนแดงตัวละร้อยกว่าบาทให้มันเปิดเองตอนกลางวันแล้วปิดตอนกลางคืนก็ได้นะ ตามร้านขายตู้ปลาหรือร้านวัสดุใหญ่ๆมีขายแน่นอนปั๊มพวกนี้ตกตัวละร้อยกว่าบาทยัน สอง-สามร้อย ก็พอแล้ว ไม่เปลืองค่าไฟด้วย
พืชการเกษตรอื่นๆก็ยังคงต้องลุ้นกันต่อไปว่าเขาจะหาตลาดระบายสินค้าให้เกษตรกรได้ไหม มันส่งผลต่อราคาของพืชเกษตรทุกชนิด วันก่อนพี่ก้ออกไปท่องเที่ยวเชิงเกษตรมาเหมือนกัน ข้าวปีนี้เริ่มเหลืองและออกรวงแล้ว คอนเฟิร์มอีก 1 เสียงเลยว่าข้าวปีนี้เม็ดโตดีจริงๆ ส่วนราคาก้ต้องคอยลุ้นเอาอย่างเดียวนะ
เห็นด้วยมากๆกับการนำเงินตามแผนกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นมาใช้ประโยชน์ให้ถูกต้องตามวัตถุประสงค์ของเขา ดีกว่าเอาเงินไปหาซื้อวัตถุมาเล่นตามกระแสนิยม เพราะของพวกนี้ไม่นานก็ตกรุ่นและเงินที่ได้มาก็สูญเปล่าไปตามกาลเวลา ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย สู้เอาเงินมาเลี้ยงปลา หรือทำอะไรที่มันต่อยอดเป็นเงินในระยะยาวไม่ได้ แม้จะได้น้อยบ้างมากบ้างแต่มันก็ได้ตลอด เมื่อก่อนที่สวนของบ้านพี่ก็เอาปลาไปปล่อยไว้เป็นหลายพันตัวเลยนะ ให้ลุกจ้างเฝ้าสวนนั่นแหละเขาดูแลให้ อยู่ไปอยู่มาน้ำก็ไม่ท่วม แต่ปลาก็ไม่เหลือเหมือนกัน ขับรถไปดูแต่ละทีเจอแต่ขวดเหล้าขาวกองอยู่ข้างบ่อ ดถไอ่เวลเฝ้าสวนมันพาเพื่อนมาปาร์ตี้ปลาบ่อฉันทุกคืนนี่เอง 55555 (ปล่อยมันไป ถือว่าเลี้ยงคนแล้วได้บุญไป ไม่คิดมาก)
ยินดีต้อนรับการกลัมมาของนู๋นิดอีกครั้งนะ


ก่อนอื่นต้องขออภัยนู๋นิดก่อนเลย ไม่รู้ว่าตั้งใจจะให้มีคอมเม้ต์แรกต่อเนื่องมาด้วย
สร้างโรงเรือนได้ถูกมากๆเลย รู้จักใช้วัสดุเหลือใช้ที่นำกลับมาใช้ประโยชน์ได้ด้วยวงเงินแค่หมื่นต้นๆ ได้โรงเรือนขนาดตั้ง 10*25*6 (m) ของพี่กั้นคอกหมาแค่ 3*5 เมตรหลังคามีอยู่แล้ว ยังหมดไปตั้งหลายพันแหนะ ช่วงนี้อากาศไม่ร้อนมากไก่ไม่เครียด อวยพรให้ไก่ออกไข่เยอะๆเลยนะ รวยๆๆๆๆๆสถานเดียว
ลืมบอกไปอย่างเรื่องบ่อปลาหางนกยูง ลองไปซื้อปั๊มน้ำพุขนาดเล็กๆมาสักตัวสิ อันนี้ช่วยระบายความร้อนให้ปลาดีมากๆเลยนะ ติด Timer จีนแดงตัวละร้อยกว่าบาทให้มันเปิดเองตอนกลางวันแล้วปิดตอนกลางคืนก็ได้นะ ตามร้านขายตู้ปลาหรือร้านวัสดุใหญ่ๆมีขายแน่นอนปั๊มพวกนี้ตกตัวละร้อยกว่าบาทยัน สอง-สามร้อย ก็พอแล้ว ไม่เปลืองค่าไฟด้วย
พืชการเกษตรอื่นๆก็ยังคงต้องลุ้นกันต่อไปว่าเขาจะหาตลาดระบายสินค้าให้เกษตรกรได้ไหม มันส่งผลต่อราคาของพืชเกษตรทุกชนิด วันก่อนพี่ก้ออกไปท่องเที่ยวเชิงเกษตรมาเหมือนกัน ข้าวปีนี้เริ่มเหลืองและออกรวงแล้ว คอนเฟิร์มอีก 1 เสียงเลยว่าข้าวปีนี้เม็ดโตดีจริงๆ ส่วนราคาก้ต้องคอยลุ้นเอาอย่างเดียวนะ
เห็นด้วยมากๆกับการนำเงินตามแผนกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นมาใช้ประโยชน์ให้ถูกต้องตามวัตถุประสงค์ของเขา ดีกว่าเอาเงินไปหาซื้อวัตถุมาเล่นตามกระแสนิยม เพราะของพวกนี้ไม่นานก็ตกรุ่นและเงินที่ได้มาก็สูญเปล่าไปตามกาลเวลา ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย สู้เอาเงินมาเลี้ยงปลา หรือทำอะไรที่มันต่อยอดเป็นเงินในระยะยาวไม่ได้ แม้จะได้น้อยบ้างมากบ้างแต่มันก็ได้ตลอด เมื่อก่อนที่สวนของบ้านพี่ก็เอาปลาไปปล่อยไว้เป็นหลายพันตัวเลยนะ ให้ลุกจ้างเฝ้าสวนนั่นแหละเขาดูแลให้ อยู่ไปอยู่มาน้ำก็ไม่ท่วม แต่ปลาก็ไม่เหลือเหมือนกัน ขับรถไปดูแต่ละทีเจอแต่ขวดเหล้าขาวกองอยู่ข้างบ่อ ดถไอ่เวลเฝ้าสวนมันพาเพื่อนมาปาร์ตี้ปลาบ่อฉันทุกคืนนี่เอง 55555 (ปล่อยมันไป ถือว่าเลี้ยงคนแล้วได้บุญไป ไม่คิดมาก)
ยินดีต้อนรับการกลัมมาของนู๋นิดอีกครั้งนะ

แสดงความคิดเห็น
* * * พาเพื่อนเที่ยวบ้าน .... โครงการเงินกองทุนหมู่บ้านละล้าน แผนกระตุ้นเศรษฐกิจชาวบ้าน * * *
กลับมาแย้วจร้า ก่อนอื่นเลยนะ ก็ต้องขอขอบคุณเพื่อนสมาชิกทุกท่านที่ได้ส่งกำลังใจไปให้พ่อตอนที่ป่วยอยู่ห้องไอซียู
โอ้โห้ พ่อดีใจใหญ่เลย ฝากขอบคุณมายังเพื่อนสมาชิกทุกท่านด้วยเช่นกันค่ะ ตอนนี้พ่อแข็งแรงสบายดีมากแล้วนะคะ
กลับเข้าบอร์ดมา ก็เลยมาพาเพื่อนๆไปเที่ยวบ้านเป็นการตอบแทน
อันดับแรกที่อยากอวดคือ บ่อเลี้ยงปลาหางนกยูงอันใหม่ มีน้ำตกให้มันดั๊วะ เหลือแต่ลาบ อ้าวม่ายช่าย เอิ๊ก !
ก่อนหน้านี้เลี้ยงมันในโอ่งแล้วพวกมันก็ช่วยกันแพร่พันธุ์อย่างรวดเร็วจนแออัด เลยต้องหาที่อยู่ให้ใหม่ ทีนี้ล่ะ
พวกเอ็งมองตากันให้ฟินไปทั้งปี ก็ไม่น่ามีปัญหาป่ะ
พูดถึงบ่อเลี้ยงปลา ทำให้นึกถึงคุณลุงคนหนึ่งที่ จขกท. เคยแนะนำให้คุณลุงเค้าเอาพัดลมไปตั้งไว้ใกล้ๆแหล่งน้ำเพื่อให้พัดเอา
ไอเย็นของน้ำมาช่วยระบายคลายร้อน คุณลุงแกก็ไปซื้อพัดลมมาอันนึง ติดไว้เหนือบ่อปลาคาร์ฟของแก เข้าใจว่าจะได้ช่วยให้
ปลาคาร์ฟสุดรักของแกเย็นชุ่มฉ่ำไปด้วยรึป่าว
พอเจอกัน จขกท. ก็ถามถึงทฤษฎีการสร้างความร่มเย็นให้กับธรรมชาติของเรา
“โยนมันเข้าป่าหลังบ้านทิ้งไปแล้ว แม่มมม... แมวตดยังเย็นกว่าอีก ค่าไฟก็เปลือง ปลากุก็ตาย”
กำแท้หลาว !!
เข้าเรื่องดีก่า ...
ตอนต้นเดือนตุลา ลุงผู้ใหญ่บ้านประกาศให้ไปรับเงินกู้จากเงินกองทุนหมู่บ้าน ที่ลุงสมคิดจัดสรรลงไปเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจระดับ
ผู้มีรายได้น้อยนั่นล่ะ จขกท.เขียนโครงการเข้าไปยื่นขอกู้กับ ธกส. 20,000 เพื่อทำโครงการเลี้ยงไก่ไข่ ปรากฏว่าท่านอนุมัติให้ได้
แค่ 12,000 ! ว๊ากกก ขอกู้สองหมื่น ได้หมื่นสอง !
เอาวะ หมื่นสองก็หมื่นสอง ข้าพเจ้าจะทำฟาร์มไก่ไข่แข่งกะพีซีให้เจ๊งกะบ๊งไปเลย (มะเก่วกะซีพีนะแจ๊ะ)
โครงการที่ จขกท. ยื่นขอกู้จาก ธกส. แจกแจงใจความหลักสำคัญคร่าวๆดังนี้ ( คือ โดยหลักการแล้วแม้ขอกู้เพียงพันเดียว เราก็ต้อง
ยื่นเสนอโครงการว่า เงินที่เราขอกู้นั้นจะเอาไปทำอะไร )
ขอกู้ 20,000 บาท (รู้อยู่ว่าถึงขอกู้มากกว่านี้ก็คงไม่ได้) เพื่อสร้างโรงเรือน 10,000 ซื้อพันธุ์ไก่ 6,000 ค่าหัวอาหาร 4,000
ทีนี้ ท่านอนุมัติมาให้ 12,000 หมื่นสองทำไรได้อ่า แว่บแรกที่คิดได้คือ เข้าร้านขายมือถือซื้อไอโฟนมือสองมาประดับบารมีป่ะคะ
ยังไงซะ ไอโฟนมันก็คู่กะวัยรุ่นอย่างเราๆ อะนะ ... แหะๆ
แต่ไม่ได้หรอกค่ะ ท่านให้กู้เพื่อนำมาสร้างฐานะความเป็นอยู่ให้มั่นคงยั่งยืน จะเอาไปใช้นอกระบบไม่ได้อย่างเด็ดขาด
เอาเหอะ where where is where where ฝันให้ไกลก็ต้องไปให้ถึงสิน่า
โรงเรือนขนาดหน้ากว้าง 10 เมตร ยาว 25 เมตร สูง 6 เมตร สามารถเลี้ยงไก่ไข่ได้ประมาณ 300 ตัว เฉพาะค่าโรงเรือน จขกท.
เก็บเอาวัสดุอุปกรณ์ของเก่าที่พอหาได้มาประกอบกันเข้า เพื่อประหยัดต้นทุนสุดๆ อย่างเช่นกระเบื้องมุงหลังคาก็ซื้อของเก่าของวัด
ที่เค้ารื้อออกเพื่อเปลี่ยนใหม่แผ่นละ 10 บาท แทนการซื้อของใหม่แผ่นละ 50 บาท กำแพงอิฐบล็อกที่แลดูกระดำกระด่างนี่ก็รื้อเอา
ของเก่าที่เมื่อก่อนมันเป็นโรงเรือนหมักเหล้าของกลุ่มโอท็อป ไม้โครงหลังคา ก็ตัดเอามาจากที่นา (เป็นไม้ที่ขึ้นทะเบียนไว้ ไม่ผิด
กฏหมาย) ค่าแรงก่อสร้าง ก็ไปว่าจ้างช่างไม้ในหมู่บ้าน แต่ค่าแรงนี้ค่อนข้างแพง เท่าที่เห็นในรูปนั้น ค่าแรงตั้ง 6,000 แต่เค้าลดให้
เป็น 5,500 บาท
สรุปว่า เฉพาะค่าสร้างโรงเรือนเลี้ยงไก่ จขกท. ประหยัดต้นทุนได้สุดๆ หมดเงินไป 13,000 กว่าๆ เท่ากับว่า เงินกู้กองทุนหมู่บ้าน
ที่หยิบยืมมา ได้แค่โรงเรือนหลังเล็กๆ แค่นั้น (ยังไม่เสร็จดี และไม่พอด้วยซ้ำไปค่ะ)
หมด หมดกันละเงินกู้ เงินกองทุนหมู่บ้านละล้านที่กู้มาได้ นู๋นิดได้โรงเรือนเลี้ยงไก่เล็กๆมาหนึ่งหลัง เลอค่า ดีงามพระรามห้าคร้า
อ้าว แล้วแม่ไก่ตรูล่ะ ... ไม่รู้เฟ้ย หาเอง!!
ค่าพันธุ์ไก่และอาหารไก่ : จขกท. ซื้อแม่ไก่รุ่นพร้อมออกไข่มา 100 ตัว @ 185 = 18,500 หัวอาหาร 3 กระสอบ 1,250 บาท
ตะแกรงและรางไข่ รางอาหาร ประมาณ 5,000 บาท รวม 24,750
ส่วนอาหารเสริมก็คือ ผัก หญ้าแถวๆรั้วบ้าน ไม่ว่าจะเป็นตำลึง กระถิน หยวกกล้วย นำมาล้างน้ำให้สะอาดก็ใช้ได้l
โครงการต่อยอดก็คือ คิดว่าจะทำการเพาะพันธุ์ โดยจะซื้อไก่พ่อพันธุ์มาผสมฟักลูกเจี๊ยบเลี้ยงเอง ไม่รู้จะได้รึป่าว ตอนนี้
น้องชายที่เป็นสัตวแพทย์กำลังศึกษาหาข้อมูลอยู่ น่าจะยากอยู่ล่ะ คงต้องใช้ทุนสูงเหมือนกัน และจะคิดสูตรผสมอาหารเลี้ยง
ไก่เอง ตอนนี้เริ่มปรับพื้นที่รอบบ่อปลาปลูกกล้วยน้ำว้า เพื่อเอาหยวกมาทำเป็นอาหารไก่ ส่วนผลกล้วย ใบกล้วย ตัดขายส่งตลาดค่ะ
ในอนาคต ถ้าขยายกิจการนี้ให้เติบโตเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ขึ้น ขี้ไก่ก็นำมาทำเป็นปุ๋ยอินทรีย์ ใส่แทนปุ๋ยเคมีในไร่นาได้
เป็นการฟื้นฟูสภาพดิน ลดต้นทุนค่าปุ๋ยได้อีกด้วย
สรุป : แกรนด์โตโต้ ของการลงทุนเลี้ยงไก่ไข่ครั้งแรก ประมาณ 37,000 บาท
** Update : ตอนนี้ไก่เริ่มออกไข่แล้วนะคะ แต่ยังไม่ทุกตัว เค้าค่อยๆทยอยออกไข่ตัวละฟองวันละฟองค่ะ ราคาส่งตลาด@ 3 บาท
ส่วนพืชเกษตรเสริมอื่นๆ ตอนนี้สวนฝรั่งกิมจูของ จขกท. ปลูกเอาไว้หลังบ้านกำลังโตนะคะ
ฝรั่งกิมจูปลูกง่ายมาก ขอแค่มีน้ำให้เพียงพอแค่นั้นแหละแต่ราคาดีมาก แถวบ้าน จขกท. เห็นเค้าขายกัน กก.ละ 35 บาท
ฝรั่งกิมจูของ จขกท. ปลูกเอาไว้หลังบ้านแค่ 100 ต้นเอง เพิ่งปลูกได้ 7 เดือนเองค่ะ จริงๆแล้วมันออกดอกออกลูกดกมาก
ตั้งแต่เริ่มปลูกใหม่ๆแต่ก็ต้องคอยริดทิ้ง ไม่งั้นแย่งอาหารกันจะทำให้ต้นโตช้าและไม่สมบูรณ์
** Update ตอนนี้ฝรั่งอายุได้ 8 เดือนกว่า ออกลูกเยอะนะคะ แต่จขกท. เริ่มเลือกห่อลูกที่สมบูรณ์ไว้ ต้นละ 3 ลูกค่ะ
เพราะมันยังเด็กอยู่ รุ่นที่ทดลองห่อไว้ ปรากฏว่าได้ผลผลิตที่ดีค่ะ ผิวสวย ลูกโต รสชาติดี กรอบ หวานอมเปรี้ยวนิดๆ น้ำหนัก 3 ลูก
ต่อ 1.2 กก. ค่ะ
ส่วนพืชเกษตรหลัก ปีนี้ ราคายางพารายังตกดิ่งเหวต่อเนื่อง แต่ก็ยังพอประคองให้ชาวสวนได้มีเงินประทังค่าใช้จ่ายในครัวเรือน
แถวบ้าน จขกท.ตอนนี้ขายเป็นขี้ยาง เพราะยางแผ่นราคาไม่ดี ขายขี้ยางได้เงินเร็วกว่า แต่สวนที่จ้างกรีดยางจะอ่วมอรทัยหน่อย
เพราะเจอต้นทุนค่าแรงสูงลิ่ว 50 : 50 ขายขี้ยางตันหนึ่งราคาโลละ 20 บาท ได้เงินแค่ 10,000 เดียวเอง (ตกเลขอีก) เพลียค่ะ
** Update: ตอนนี้ยางก้อนโลละ 17 บาทค่ะ ขอตายแพ่พ !
ส่วนข้าว ปีนี้แล้งจัด ตอนแรกคิดว่าจะไม่มีข้าวไว้กินซะแล้ว แถวบ้าน จขกท. ปกติจะทำนาดำกัน แต่ปีนี้แล้งจัดเลยต้องทำนาหว่าน
หว่านไว้ตั้งแต่เดือน พฤษภา พอ มิถุนา จนถึงกลางเดือนกรกฏา ก็ยังไม่มีท่าทีฝนจะตก แต่พอต้นสิงหา ฝนก็ตกมาเยอะพอได้น้ำ
ชาวนาบางรายไถนาข้าวที่หว่านเอาไว้ พลิกกลับมาทำนาดำใหม่ แม้จะล่าไปบ้าง แต่ข้าวก็งามดีค่ะ แต่ก็ต้องรอลุ้นว่า ทำนาล่าแบบนี้
ข้าวจะออกรวงใหญ่รึป่าว
** Update: ตอนนี้ชาวนาเริ่มเกี่ยวข้าวแล้ว รายงานจากสายข่าววงในมั่กๆ (อิอิ) ว่า ข้าวงามดีค่ะ รวงใหญ่เม็ดหนา
ผลผลิตดี แต่ต้องรอลุ้นเรื่องราคา
ส่วนครอบครัวของพยอม เพื่อนบ้านของ จขกท.ได้เงินกู้กองทุนหมู่บ้านมา 10,000 บาท เขียนขอกู้ไปว่าจะเอามา
เป็นทุนเลี้ยงปลาดุกนาในบ่อดิน เลี้ยงตามธรรมชาติ ลูกปลาดุกนาตัวขนาดความยาว 3 นิ้วราคาตัวละ 1.25 บาท
ซื้อมา 3,000 ตัว รวมเป็นเงิน 3,750 บาท และหัวอาหารลูกปลากระสอบละ 550 บาท ที่เหลือก็เก็บไว้ซื้อหัวอาหารงวดต่อไป
ปลาดุกนา ถ้าเลี้ยงปล่อยตามบ่อธรรมชาติจะโตช้า แต่จะแข็งแรงไม่ตายง่าย ศัตรูที่ต้องระวังก็คือ พวกงู ถ้าน้ำหลากปลาก็จะ
หนีไปกับน้ำได้ง่าย
** Update: ตอนนี้ปลาดุกของพยอมกำลังโต ตัวขนาดความยาว 4-5 นิ้ว แต่จำนวนหายไปเยอะ
“ไม่รู้มันหายหัวไปไหนหมด สงสัยงูคาบไปแ – ก ” พยอมกล่าว อิอิ
ส่วนลุงวัง กู้ได้ 10,000 เหมือนกัน แกคิดหนักว่าจะเอาเงิน 10,000 ไปทำอะไรดี ตอนขอกู้แกบอกว่าจะเอาไปเป็นทุน
เลี้ยงวัว ซึ่งแกมีวัวอยู่คู่หนึ่งอยู่แล้ว พอ จขกท. ถามว่าคิดออกหรือยังว่าจะเอาเงินไปทำอะไร แกบอกว่า จะเอาไปสมทบทุน
ซื้อลูกวัวเพศเมียมาเลี้ยงเพิ่มอีกตัวหนึ่ง แต่ต้องรอเงินขายยางครั้งหน้าก่อนแล้วค่อยนำเงินมาสมทบทุนกันซื้อวัวเด็ก
ก็ว่าไป คิดต่อทุนกันไปแล้วแต่แนวทางของใครของมัน นี่ล่ะค่ะ ตัวอย่างชีวิตเกษตรกรผู้มีรายได้น้อย ที่ดิ้นรนช่วยเหลือตัวเอง
ตามกำลังความสามารถที่ทำได้ ถึงแม้จะมีแนวความคิดอยากพัฒนาศักยภาพเปลี่ยนไปสู่เกษตรพัฒนารูปแบบใหม่ แต่ปัจจัย
รายล้อมไม่ได้เอื้ออำนวยมากนัก การเกษตรรูปแบบใหม่ที่ต้องใช้เงินทุนมากมาย ทั้งเทคโนโลยี่ เครื่องจักร อุปกรณ์ เคมีภัณฑ์
เกษตรกรไทยส่วนใหญ่ยังขาดทุนรอน ทั้งยังต้องเสี่ยงกับความไม่แน่นอนของสภาพดินฟ้าอากาศ ฝนแล้ง น้ำท่วม และ ความ
ไม่แน่นอนของราคาผลผลิต ปลูกมากผลผลิตมากราคาตกต่ำ ผลผลิตน้อยราคาสูง ถูกขโมย (ฮา)
.... วนเวียนอยู่อย่างนี้มานานนับชั่วอายุคน
ในความคิดเห็นของ จขกท. อยากให้รัฐบาลจัดสรรเงินงบประมาณ ใช้จ่ายไปในโครงการขนาดใหญ่ มากกว่า การนำเงินงบประมาณ
จำนวนมากมาใช้จ่ายในรายละเอียดยิบย่อยแบบนี้ เพราะมันไม่ได้ช่วยอะไรที่เป็นรูปเป็นร่าง และไม่ทั่วถึง
เปรียบไปก็เหมือนตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ สู้นำเงินงบประมาณไปบูรณาการในเรื่องการพัฒนาแหล่งน้ำ พัฒนาระบบชลประทาน
เขื่อน อ่างกักเก็บน้ำ จัดสรรและบริหารจัดการน้ำอย่างทั่วถึง เพื่อช่วยเหลือประชาชนทุกภาคส่วน ทั้งภาคเกษตร การอุปโภค บริโภค
หรือแม้แต่การรับมือป้องกันภัยพิบัติธรรมชาติ อย่างน้ำท่วม หรือ ภัยแล้ง ซึ่งน่าจะเป็นการใช้เงินที่คุ้มค่า มั่นคงยั่งยืน และ ทั่วถึงกว่า
…………………………………………………………………………………………………………………………