กระทู้นี้จะพาเพื่อนๆไปเที่ยว จ.เชียงใหม่ ในช่วงปลายฝนต้นหนาวกันนะครับ และที่ๆจะพาไปเที่ยวก็คือ ดอยอินทนนท์ ดอยอ่างขาง ดอยสุเทพ และ วัดในจังหวัดเชียงใหม่ ในช่วงเวลา 4 คืน 5 วัน ตามผมไปเที่ยวกันเลยดีกว่าครับ
***ขอเกริ่นไว้นิดนึงนะครับ ว่า เป็น รีวิวที่ไม่ค่อยละเอียดมากนัก และ ไปในสภาพอากาศที่ค่อนข้างไปทางแย่ เพราะ สภาพอากาศปิดในบางช่วง ผมเลยต้องใช้โปรแกรมบางตัวมาช่วยในการจัดการแสง
การเดินทางผมจะอธิบายย่อๆนะครับ เพื่อไม่ให้มันเยอะจนทำลายบรรยากาศการท่องเที่ยวมากจนเกินไป
จากตัวเมืองเชียงใหม่ แรกเริ่มผมจะเดินทางไปที่ นาขั้นบันไดป่าบงเปียง ตอนนั้นมีคนเตือนๆแล้วว่า ถ้ารถไม่ใช่ 4WD จะเข้าไปลำบากมาก พวกผมใช้รถกระบะครับ เลยจะลองวัดดวงกันดู ปรากฏว่า รถไม่ไหวครับ เลยเดินทางออกมาดีกว่า ไม่อยากฝืนกลัวเกิดปัญหา เลยเปลี่ยนเส้นทางแบบเสียดายสุดๆ เพราะน่าจะอีกไม่ไกลมากก็ถึงป่าบงเปียงแล้วแท้ๆ เลยคุยๆกันว่าไหนๆก็มาถึงดอยอินทนนท์แล้ว ลองไปดูเจดีย์คู่กันดีกว่า
หลังจากมาถึง รู้สึกดีใจมากครับ เพราะคนไม่เยอะมาก บวกกับฟ้าเปิดอากาศดีลมเย็นๆพัดมา เลยได้ภาพประมาณนี้ครับ
เนื่องจากเดินทางมาถึงดอยอินทนนท์ก็บ่ายๆเกือบจะเย็นแล้วพวกผมจึงตัดสินใจไปพักในตัวเมืองเชียงใหม่ดีกว่า วันพรุ่งนี้เช้าจะได้เดินทางไปที่ดอยอ่างขางได้สะดวก
พอตื่นเช้าพวกผมก็ได้มุ่งหน้าไปที่ดอยอ่างขางทันที ระยะเวลารวมๆแล้วประมาณ 3 ชั่วโมงก็เดินทางมาถึงครับ สภาพอากาศไม่ค่อยสู้ดีนัก มีเมฆมากเหมือนฝนกำลังตั้งเค้าจะตกลงมาได้ตลอดเวลา วันแรกพวกผมได้พักโซนด้านหน้าเกษตรโครงการหลวงครับ ราคาไม่แพงมากเพราะไม่อยู่ในช่วง High Season ทั้งคน และ ราคาห้องเลยโอเคมากๆเลยครับ
ในส่วนของด้านหน้าโครงการหลวงเป็นเหมือนศูนย์รวมร้านค้า ของฝาก ร้านอาหารต่างๆ ซึ่งสำหรับผมแล้ว มองว่าจัดพื้นที่ได้ดีมาก ร้านอาหารที่ผมทาน รสชาคิผ่าน ราคาไม่แพง บริการดีเป็นมิตรกับลูกค้ามากๆครับ บรรยายมาก็เยอะแล้ว ก็เริ่มไปสำรวจพื้นที่ในโครงการหลวงกันเลยดีกว่า ขอบคุณแผนที่พร้อมคำบรรยายจากพี่ ชานมหนีเที่ยว มากๆเลยครับช่วยได้เยอะเลย ขออนุญาติแปะเพื่อแชร์ให้คนที่กำลังจะไปดูนะครับ
หลังจากจ่ายเงินผ่านเข้าไปในโครงการแล้วที่แรกที่พวกผมเข้าไปดูกันก็คือ สวน 80 ครับ ดอกไม้โดยรวมเริ่มบานกันแล้ว แต่ยังไม่บานทั้งหมด เจ้าหน้าที่บอกว่ามันจะเริ่มบานทั้งหมดช่วงๆเดือน ธค.
มีน้องๆชาวเขาเข้ามาขายของฝาก พูดจาดีมาก เลยอุดหนุนไปหน่อย (น้องๆบอกฝากบอกว่าถ่ายรูปพวกผมไปอวดสาวๆด้วยนะพี่ 555+) เก๊กหล่อกันเต็มที่เลยแต่ละคน
แล้วก็เดินทางไปต่อที่ บ้านขอบด้งครับ ตลอดเส้นทางสิ่งที่สัมผัสได้คือ ธรรมชาติโอบกอดเรา เพราะสองข้างทางร่มรื่น อากาศเย็นๆไม่หนาวจนเกินไป ชิลๆเกาะท้ายกระบะไป ฟินกับบรรยากาศมากๆครับ
เดินทางมาถึงแล้ว บ้านขอบด้ง
สิ่งแรกที่สัมผัสได้จากที่นี่คือ ความเงียบสงบ จนได้ยินเสียงใบไม้ไหว เสียงนก และ เสียงชาวบ้านคุยกันมาจากระยะไกลเลยครับ รู้สึกว่ามันเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตเมืองกรุงจริงๆ
ยืนชมวิถีชีวิตของชาวบ้านบนดอยสูง ผมว่าเนี่ยแหละ ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์ที่แท้จริง
มนต์เสน่ห์ของที่นี่อีกอย่างที่ผมสัมผัสได้คือ ความเป็นมิตร ความจริงใจ ความใสซื่อ จากชาวบ้านที่มอบให้กับผม เพราะทุกคนที่ผมคุยด้วยมองผมอย่างเป็นมิตร พูดคุยกันราวกับผมเป็นคนบ้านใกล้เรือนเคียง ทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูกเลย
พอเดินทางออกจากบ้านขอบด้งแล้ว ผมจึงมุ่งหน้าไปต่อที่บ้านนอแลครับ
วิถีชีวิตก็คล้ายๆกับบ้านขอบด้งนะครับ แต่จะเป็นบ้านแนวๆปูนแบบบ้านสมัยปัจจุบันแล้ว ทางด้านหน้าจะเป็นจุดขายของที่ระลึกของชาวบ้านที่นี่
โซนนี้ถ้าใครต้องการชุดท้องถิ่นก็แนะนำจุดนี้เลยครับ ของทุกอย่างจากที่ดูแล้ว น่าจะเป็นแฮนด์เมดทั้งหมดเลย ช่วยๆอุดหนุนกันได้ครับ แม่ค้าเป็นมิตรมาก ยิ้มให้ทุกร้านเลย
เมื่อเดินผ่านบริเวณที่ขายของที่ระลึก ก็จะพบกับค่ายทหารครับ ซึ่งด้านบนนี้ก็จะมีจุดพักผ่อนชมวิวอยู่พอสมควรเลย
พี่ๆทหารที่นี่เป็นมิตรมาก คือ ผมบ่นๆอยู่ว่าถ่ายมุมไหนสวยกับพี่ผมอยู่ เค้าก็เดินมาชี้บอกจุดถ่ายรูป พร้อมให้คำแนะนำต่างๆด้วยครับ แต่ช่วงเวลาที่ผมไปตอนนั้นสภาพอากาศค่อนข้างจะเลวร้ายแล้ว เพราะเริ่มมีหมอกปกคลุมรอบตัวเลย ใกล้ๆกันยังมองกับแทบจะไม่เห็นเลยครับ เลยเก็บภาพมาได้ประมาณนี้เองครับ
ขากลับพวกผม ลองแวะไปสำรวจเส้นทางไร่ชาแปลง 2000 เพื่อ หาทำเลจะได้เตรียมเก็บภาพช่วงพระอาทิตย์ขึ้นในช่วงเช้าของวันพรุ่งนี้กัน
พบกับนางแบบตัวน้อยกำลังนั่งชิลอยู่เลยขอเก็บภาพหน่อย น้องเค้าน่ารักมากครับ บอกถ่ายได้เลยค่ะพี่ พอถ่ายเสร็จมียกมือขอบคุณผมด้วยนะ น่ารักมาก++
หลังจากนั้นก็ได้กลับที่พัก แล้วก็พักผ่อน ให้พร้อมการผจญภัยในวันรุ่งขึ้นครับ
[CR] ตะลุยเชียงใหม่ สัมผัสดอยอ่างขาง ช่วงปลายฝนต้นหนาว (สีไม่ซีด)
***ขอเกริ่นไว้นิดนึงนะครับ ว่า เป็น รีวิวที่ไม่ค่อยละเอียดมากนัก และ ไปในสภาพอากาศที่ค่อนข้างไปทางแย่ เพราะ สภาพอากาศปิดในบางช่วง ผมเลยต้องใช้โปรแกรมบางตัวมาช่วยในการจัดการแสง
การเดินทางผมจะอธิบายย่อๆนะครับ เพื่อไม่ให้มันเยอะจนทำลายบรรยากาศการท่องเที่ยวมากจนเกินไป
จากตัวเมืองเชียงใหม่ แรกเริ่มผมจะเดินทางไปที่ นาขั้นบันไดป่าบงเปียง ตอนนั้นมีคนเตือนๆแล้วว่า ถ้ารถไม่ใช่ 4WD จะเข้าไปลำบากมาก พวกผมใช้รถกระบะครับ เลยจะลองวัดดวงกันดู ปรากฏว่า รถไม่ไหวครับ เลยเดินทางออกมาดีกว่า ไม่อยากฝืนกลัวเกิดปัญหา เลยเปลี่ยนเส้นทางแบบเสียดายสุดๆ เพราะน่าจะอีกไม่ไกลมากก็ถึงป่าบงเปียงแล้วแท้ๆ เลยคุยๆกันว่าไหนๆก็มาถึงดอยอินทนนท์แล้ว ลองไปดูเจดีย์คู่กันดีกว่า
หลังจากมาถึง รู้สึกดีใจมากครับ เพราะคนไม่เยอะมาก บวกกับฟ้าเปิดอากาศดีลมเย็นๆพัดมา เลยได้ภาพประมาณนี้ครับ
เนื่องจากเดินทางมาถึงดอยอินทนนท์ก็บ่ายๆเกือบจะเย็นแล้วพวกผมจึงตัดสินใจไปพักในตัวเมืองเชียงใหม่ดีกว่า วันพรุ่งนี้เช้าจะได้เดินทางไปที่ดอยอ่างขางได้สะดวก
พอตื่นเช้าพวกผมก็ได้มุ่งหน้าไปที่ดอยอ่างขางทันที ระยะเวลารวมๆแล้วประมาณ 3 ชั่วโมงก็เดินทางมาถึงครับ สภาพอากาศไม่ค่อยสู้ดีนัก มีเมฆมากเหมือนฝนกำลังตั้งเค้าจะตกลงมาได้ตลอดเวลา วันแรกพวกผมได้พักโซนด้านหน้าเกษตรโครงการหลวงครับ ราคาไม่แพงมากเพราะไม่อยู่ในช่วง High Season ทั้งคน และ ราคาห้องเลยโอเคมากๆเลยครับ
ในส่วนของด้านหน้าโครงการหลวงเป็นเหมือนศูนย์รวมร้านค้า ของฝาก ร้านอาหารต่างๆ ซึ่งสำหรับผมแล้ว มองว่าจัดพื้นที่ได้ดีมาก ร้านอาหารที่ผมทาน รสชาคิผ่าน ราคาไม่แพง บริการดีเป็นมิตรกับลูกค้ามากๆครับ บรรยายมาก็เยอะแล้ว ก็เริ่มไปสำรวจพื้นที่ในโครงการหลวงกันเลยดีกว่า ขอบคุณแผนที่พร้อมคำบรรยายจากพี่ ชานมหนีเที่ยว มากๆเลยครับช่วยได้เยอะเลย ขออนุญาติแปะเพื่อแชร์ให้คนที่กำลังจะไปดูนะครับ
หลังจากจ่ายเงินผ่านเข้าไปในโครงการแล้วที่แรกที่พวกผมเข้าไปดูกันก็คือ สวน 80 ครับ ดอกไม้โดยรวมเริ่มบานกันแล้ว แต่ยังไม่บานทั้งหมด เจ้าหน้าที่บอกว่ามันจะเริ่มบานทั้งหมดช่วงๆเดือน ธค.
มีน้องๆชาวเขาเข้ามาขายของฝาก พูดจาดีมาก เลยอุดหนุนไปหน่อย (น้องๆบอกฝากบอกว่าถ่ายรูปพวกผมไปอวดสาวๆด้วยนะพี่ 555+) เก๊กหล่อกันเต็มที่เลยแต่ละคน
แล้วก็เดินทางไปต่อที่ บ้านขอบด้งครับ ตลอดเส้นทางสิ่งที่สัมผัสได้คือ ธรรมชาติโอบกอดเรา เพราะสองข้างทางร่มรื่น อากาศเย็นๆไม่หนาวจนเกินไป ชิลๆเกาะท้ายกระบะไป ฟินกับบรรยากาศมากๆครับ
เดินทางมาถึงแล้ว บ้านขอบด้ง
สิ่งแรกที่สัมผัสได้จากที่นี่คือ ความเงียบสงบ จนได้ยินเสียงใบไม้ไหว เสียงนก และ เสียงชาวบ้านคุยกันมาจากระยะไกลเลยครับ รู้สึกว่ามันเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตเมืองกรุงจริงๆ
ยืนชมวิถีชีวิตของชาวบ้านบนดอยสูง ผมว่าเนี่ยแหละ ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์ที่แท้จริง
มนต์เสน่ห์ของที่นี่อีกอย่างที่ผมสัมผัสได้คือ ความเป็นมิตร ความจริงใจ ความใสซื่อ จากชาวบ้านที่มอบให้กับผม เพราะทุกคนที่ผมคุยด้วยมองผมอย่างเป็นมิตร พูดคุยกันราวกับผมเป็นคนบ้านใกล้เรือนเคียง ทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูกเลย
พอเดินทางออกจากบ้านขอบด้งแล้ว ผมจึงมุ่งหน้าไปต่อที่บ้านนอแลครับ
วิถีชีวิตก็คล้ายๆกับบ้านขอบด้งนะครับ แต่จะเป็นบ้านแนวๆปูนแบบบ้านสมัยปัจจุบันแล้ว ทางด้านหน้าจะเป็นจุดขายของที่ระลึกของชาวบ้านที่นี่
โซนนี้ถ้าใครต้องการชุดท้องถิ่นก็แนะนำจุดนี้เลยครับ ของทุกอย่างจากที่ดูแล้ว น่าจะเป็นแฮนด์เมดทั้งหมดเลย ช่วยๆอุดหนุนกันได้ครับ แม่ค้าเป็นมิตรมาก ยิ้มให้ทุกร้านเลย
เมื่อเดินผ่านบริเวณที่ขายของที่ระลึก ก็จะพบกับค่ายทหารครับ ซึ่งด้านบนนี้ก็จะมีจุดพักผ่อนชมวิวอยู่พอสมควรเลย
พี่ๆทหารที่นี่เป็นมิตรมาก คือ ผมบ่นๆอยู่ว่าถ่ายมุมไหนสวยกับพี่ผมอยู่ เค้าก็เดินมาชี้บอกจุดถ่ายรูป พร้อมให้คำแนะนำต่างๆด้วยครับ แต่ช่วงเวลาที่ผมไปตอนนั้นสภาพอากาศค่อนข้างจะเลวร้ายแล้ว เพราะเริ่มมีหมอกปกคลุมรอบตัวเลย ใกล้ๆกันยังมองกับแทบจะไม่เห็นเลยครับ เลยเก็บภาพมาได้ประมาณนี้เองครับ
ขากลับพวกผม ลองแวะไปสำรวจเส้นทางไร่ชาแปลง 2000 เพื่อ หาทำเลจะได้เตรียมเก็บภาพช่วงพระอาทิตย์ขึ้นในช่วงเช้าของวันพรุ่งนี้กัน
พบกับนางแบบตัวน้อยกำลังนั่งชิลอยู่เลยขอเก็บภาพหน่อย น้องเค้าน่ารักมากครับ บอกถ่ายได้เลยค่ะพี่ พอถ่ายเสร็จมียกมือขอบคุณผมด้วยนะ น่ารักมาก++
หลังจากนั้นก็ได้กลับที่พัก แล้วก็พักผ่อน ให้พร้อมการผจญภัยในวันรุ่งขึ้นครับ
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น