อัพเดทสถานการณ์ 2558 ‘เสื้อแดง’ อีสาน-เหนือ คิดอย่างไรใต้เงาทหาร

คำว่า “คนเสื้อแดง” นั้นกินความหลากหลาย ทั้งมวลชนสายพรรคเพื่อไทย สาย นปช. กลุ่มแดงอิสระกลุ่มต่างๆ สายนักกิจกรรมปัญญาชน และอีกจำนวนมากที่ระบุ “ไม่ใช่แดง” แต่มีแนวคิดพื้นฐานบางอย่างเหมือนกัน แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ากำลังหลักของเสื้อแดงนั้นอยู่นอกกรุงเทพฯ หลังการรัฐประหาร 2557 สถานการณ์ของคนเสื้อแดงในต่างจังหวัดเป็นอย่างไร มวลชนคิดอะไร ถอดบทเรียนอย่างไร บางทีความเข้าใจเก่าๆ ก็น่าจะได้รับการอัพเดทอีกครั้ง ‘ประชาไท’ จึงพาไปสุ่มสำรวจหลายกลุ่มในจังหวัดมหาสารคาม อุบลราชธานี และเชียงใหม่

เราคุยกับแกนนำในพื้นที่หลายคนที่มีพื้นเพแตกต่างกันไป และส่วนใหญ่ล้วนเพิ่ง “ถือกำเนิดทางการเมือง” อันหมายถึงการสนใจและเข้าร่วมเคลื่อนไหวอย่างจริงจังในช่วงปี 2552-2553 นี่เอง ก่อนหน้านั้นในการเลือกตั้งหลายคนยังเลือกพรรคประชาธิปัตย์หรือพรรคอื่นที่ไม่ใช่พรรคไทยรักไทย หลังรัฐประหาร 2549 หลายคนก็ไม่ได้เคลื่อนไหวต้านรัฐประหารทันที แต่อยู่ในภาวะ “ดูสถานการณ์ ฟังความข้างต่างๆ ก่อน” บางคนออกมาต้านรัฐประหารทันทีแต่รวมกลุ่มคนได้แค่ 20 คนไปแจกใบปลิว ไล่ไปจนถึงแกนนำที่เป็น ‘ซ้ายเก่า’ และได้รับความนับถือในพื้นที่ เคลื่อนไหวบนแนวคิด “ทุนใหม่น่ากลัวน้อยกว่าทุนเก่า” บางคนยินดีเปิดเผยชื่อ ขณะที่บางคนขอสงวนนามไว้เพราะไม่แน่ใจผลกระทบที่จะเกิดขึ้น

ที่น่าสนใจอีกประการคือ แต่ละกลุ่มที่เกิดขึ้นมีที่มาที่ไปและปฏิบัติการที่ผ่านมาทั้งเหมือนและแตกต่างกัน โดยที่เราอาจไม่เคยรับรู้มาก่อน คงไม่อาจกล่าวได้ว่าทั้งหมดนี้เป็นภาพแทนขบวนทั้งหมด แต่ก็น่าจะเป็นจิ๊กซอว์เล็กๆ ที่เด่นชัด

1.

ความเข้มข้นในการควบคุมพื้นที่ต่างจังหวัดหลังรัฐประหาร

หลังรัฐประหาร 2557 แกนนำเหล่านี้อยู่ในความควบคุมของทหารในพื้นที่อย่างใกล้ชิด บางคนเคยโดนเรียกไปปรับทัศนคติเพียงครั้งเดียว หลายคนอยู่ในค่ายสองสามวัน บ้างอยู่ครบเจ็ดวัน บางคนถูกเรียกเป็นระยะๆ หากโผล่ไปในงานไหนเป็นต้องโดนเรียกแม้ไม่ได้เป็นผู้จัดกิจกรรม สำหรับแกนนำที่มีมวลชนมากอย่างในอุบลราชธานี มีอยู่ 4-5 คนที่ยังต้องไปรายงานตัวกับทหาร “ทุกวันจันทร์” จวบจนปัจจุบันนี้ ไม่นับรวมบรรดานักกิจกรรมในลิสต์ปรับทัศนคติที่ต้องแจ้งทหารก่อนจัดเสวนาใดๆ รวมถึงต้องขออนุญาตก่อนเดินทางออกนอกประเทศและรายงานตัวทุกครั้งหลังจากกลับมา โดยด่านตรวจคนเข้าเมืองที่สนามบินได้รับคำสั่งให้ตรวจหนังสือเดินทางโดยละเอียดและถ่ายเอกสารไว้ทุกหน้าว่าเดินทางไปที่ใดบ้าง เป็นไปตามที่ขออนุญาตหรือไม่

อย่างไรก็ตาม ในทางความสัมพันธ์ส่วนตัวนั้นไม่มีใครที่ระบุว่า ทหารพูดจาขุ่มขู่ คุกคามหรือทำร้าย

“มันก็ไม่เชิงคุกคาม เขาก็พูดดี แต่นัยยะที่เขาแสดงออกแม้จะใช้คำพูดดีๆ เราก็ตีความหมายได้ว่าเขาต้องการให้หยุดทุกอย่าง” พิเชษฐ์ ทาบุดดา หรือที่คนมักเรียกว่า “อาจารย์ต้อย” แห่งกลุ่มชักธงรบยกตัวอย่าง

หากย้อนไปช่วงหลังรัฐประหารใหม่ๆ เราพบว่าแกนนำจำนวนมากหลบออกจากพื้นที่หรือพยายามหลบซ่อนตัวเนื่องจากเกรงจะไม่ปลอดภัย ทั้งในอุบลราชธานีและเชียงใหม่ปรากฏรูปแบบของปฏิบัติการ “จับตัวประกัน” นั่นคือ เมื่อไม่เจอเป้าหมาย เจ้าหน้าที่ทหารได้ควบคุมตัวคนในครอบครัวไปไว้ที่ค่ายทหารแทน ทำให้บุคคลเป้าหมายต้องยอมมารายงานตัว

“วันรัฐประหารทหารก็ไปตามบ้านแกนนำทั้งหมด บ้านผมด้วย ผมไม่เข้าบ้าน บอกที่บ้านให้บอกเขาว่ากลางคืนจะไม่ไปด้วย เขาก็เฝ้าจนถึงเที่ยงคืนแล้วสุดท้ายก็เอาลูกเขยไป ผมก็ต้องไปเปลี่ยนตัววันรุ่งขึ้น” แกนนำคนหนึ่งที่อ.ฝาง จ.เชียงใหม่เล่า

“ตอนปี 49 ก็โดนนะ หลังปฏิวัติหลายเดือนแล้ว ตอนนั้นเรามีการประชุมกัน เขาหาว่าเป็นคลื่นใต้น้ำ ก็เลยเอาแกนนำในพื้นที่ไป 6-7 คนไปคุมตัว 7 วัน ดูจริงจังกว่านี้มาก แต่พอมาคราวนี้เขาคุยธรรมดา เป็นการสอบสวนแบบถามไถ่ เขาก็ให้อาหารดีอยู่บอกไม่ให้เคลื่อนไหวอะไร กักตัวไว้ประมาณ 7 วัน” แกนนำฝางเล่า

แกนนำอีกคนในภาคอีสานระบุว่า แกนนำในทุกอำเภอถูกเรียกอย่างครบถ้วนให้ไปรายงานตัวและปรับทัศนคติที่ศาลากลางจังหวัด

“ไม่รู้เขารู้ได้ยังไง เรียกไปหมดเลย อย่างน้อยอำเภอละคน” แกนนำคนดังกล่าวกล่าว

ก่อนหน้านี้แหล่งข่าวซึ่งเป็นข้าราชการมหาดไทยคนหนึ่งในจังหวัดภาคกลางให้ข้อมูลว่า ทางจังหวัดต้องส่งรายชื่อของแกนนำคนเสื้อแดงทั้งหมดในจังหวัดให้ทหารด้วยหลังมีการยึดอำนาจ

2.

รู้จักที่มาและจุดยืนของกลุ่มย่อยในหลายจังหวัด



มหาสารคาม - เวลาคือบททดสอบ แกนนำรุ่นสองรุ่นสาม
ไข่เขย จันทร์เปล่ง แกนนำคนหนึ่งในมหาสารคามเล่าว่า พวกเขาเป็นแกนนำรุ่นหลังการสลายการชุมนุมในปี 2553 ซึ่งภายหลังความพ่ายแพ้ยับเยินครั้งนั้นก็เกิดกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยขึ้นมากมายในแต่ละจังหวัดภาคอีสาน บ้างแตกมาจากกลุ่มใหญ่กลุ่มเดิม บ้างก่อกำเนิดขึ้นใหม่ด้วยความเฉพาะตัว แกนนำรุ่นแรกๆ ในหลายพื้นที่หลายคนถูกวิพากษ์วิจารณ์โดยเฉพาะในเรื่องผลประโยชน์ กลุ่มย่อยต่างๆ ที่เกิดขึ้นบางส่วนไปในแนวทาง นปช. บางส่วนชูประเด็น “รักทักษิณ” แต่เขาและอีกหลายกลุ่มมีความรู้สึก “เป็นเอกเทศ” และกล้าวิพากษ์วิจารณ์ นปช.และพรรคเพื่อไทย

ข้อต่อ ท้องที่-ท้องถิ่น-นักการเมือง และชาวบ้าน
ไข่เขยทำงานร่วมกับเยาว์ แกนนำอีกคนหนึ่งในกลุ่มเล่าว่า ปี 2553 ที่ นปช.ชุมนุมกันนั้นยังไม่รู้จักกัน ต่างคนต่างนั่งมอเตอร์ไซค์ไปฟังปราศรัยที่เวทีศาลากลางจังหวัด หลังจากนั้นไข่เขยถูกจับพร้อมพวกในข้อหาเผาที่ว่าการอำเภอเมือง ซึ่งความเสียหายเกิดขึ้นกับต้นมะขามในที่ว่าการอำเภอ มีการเผายางที่ฟุตบาทและเผาตู้โทรศัพท์ ท้ายที่สุดหลังเขาติดคุกนาน 8 เดือนศาลก็ยกฟ้อง

ไข่เขย เป็นผู้นำที่มีลักษณะโผงผางตรงไปตรงมา เขามีพื้นเพทำงานมวลชนมายาวนาน เป็นผู้นำนอกระบบราชการที่คอยช่วยเหลือประชาชนอยู่แล้วและคอยช่วยเหลือนักการเมืองในพื้นที่ด้วย เขาจำกัดความที่อยู่ที่ยืนของตัวเองว่าเป็นตัวต่อระหว่างท้องที่ ท้องถิ่น กับชาวบ้าน เขายืนยันว่าจะไม่เป็นนักการเมืองให้คนด่าโคตรเหง้าตระกูล แต่สำหรับ “การหากิน” กับนักการเมืองนั้นเขาไม่ปฏิเสธ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคน หากใครที่หักหลังพรรคที่ประชาชนเลือก เขาบอกว่าพร้อมลาขาด เช่นเดียวกับผู้สมัครที่เคยทำงานร่วมกันแล้วย้ายไปพรรคภูมิใจไทย



ชูทักษิณเป็น “สัญลักษณ์ตาสว่าง”
“เราไมได้ทำเพื่อพรรค เพื่อทักษิณ เราทำเพื่อมวลชน เพื่อลูกหลาน เราเสียสิทธิเสรีภาพ เราเสียระบอบประชาธิปไตย ถามดูว่าใน 80 ปี เราได้แค่ 7 ปี ผมบอกเลยว่าผมไม่ได้สู้เพื่อคุณ แต่ผมสู้เพื่อหลานคุณโน่น อาจไม่ทันลูกคุณด้วยซ้ำ” ไข่เขยกล่าว

เมื่อถามถึงประเด็นทักษิณ เขาตอบว่า “ผมไม่ผิดหวังทักษิณนะ ไม่มีข้อให้ผิดหวัง ผมไม่ได้งมงายทักษิณด้วย ประชาชนในอีสานเขาชอบทักษิณแต่ไม่ได้งมงาย ไม่ได้ช่วยทักษิณด้วย แต่ที่ยินดีช่วยเพราะว่าเขา [ทักษิณ] เป็นที่พึ่งประชาชนได้ ประชาชนก็คิดว่าพึ่งเขาได้” ไข่เขยกล่าวพร้อมยกตัวอย่างรูปธรรมโดยละเอียดของนโยบายพรรคไทยรักไทยหลายอย่าง

“เขาเป็นสัญลักษณ์ของการเป็นตาสว่าง ถ้าไม่มีทักษิณก็ไม่ได้มีวันนี้ ประชาชนก็ไม่ได้ลืมตาอ้าปาก ในความคิดแม่ แม่ว่าเขายังลงมาไม่เต็มที่นะ ยังห่วงธุรกิจเขา ยังห่วงผลประโยชน์เขา สมมติว่าเขาไม่ห่วงอะไร จะเล่นกันให้สุดๆ จริงๆ ก็ควรเซ็นยอมรับศาลไอซีซี (ศาลอาญาระหว่างประเทศ) อย่างนั้นก็คงไม่ต้องยืดเยื้อมาจนตอนนี้” เยาว์กล่าว

หนุนไพรมารี่โหวต พรรคเพื่อไทยอย่าข่มขืนใจประชาชนนัก
สิ่งเดียวที่กลุ่มนี้วิจารณ์ตัวพรรคเพื่อไทยเห็นจะเป็นประเด็นการเลือก ส.ส.ไม่ตรงใจชาวบ้าน พวกเขาสนับสนุนเพื่อไทยอย่างไม่ต้องสงสัย แต่กับตัวผู้สมัครนั้นคนละเรื่อง เขาคิดว่าพรรคควรมีระบบสอบถามจากชาวบ้านก่อนส่งใครลงสมัคร แต่เรื่องนี้แม้ชาวบ้านเห็นด้วยมาก แต่ก็ไม่มีใครผลักดันจริงจัง

“ที่ภาคอื่นไม่รับประกัน แต่ที่อีสาน กล้าเลือกตั้งไหม เพื่อไทยเอาหมามาก็รับรองว่าได้ แต่ ส.ส.คนเก่าอย่ามา...เราอยากจะบอกพรรคเพื่อไทยว่าอย่าขืนใจประชาชนมากนัก เขาไม่ชอบ น่าจะมาถามเราบ้างว่าจะเอาใคร” ไข่เขยกล่าว

“คือเราก็ต้องเลือกเขานั่นแหละ ไม่รู้จะเลือกใคร เลือกทั้งน้ำตา เลือกเพราะพรรคแท้ๆ” เยาว์กล่าวและว่าหัวเด็ดตีนขาดเธอก็ไม่เลือกประชาธิปัตย์เนื่องจากเป็นพรรคเก่าแก่ที่เคยเป็นรัฐบาลหลายครั้งและพิสูจน์จนสิ้นสงสัยสำหรับเธอแล้วว่าไม่มีนโยบายที่จับต้องได้สำหรับรากหญ้า

เมื่อถามว่าทำไมจึงไม่ชอบ ส.ส.เพื่อไทยบางคน เยาว์กล่าวว่า ู“ประชาชนเข้าหายาก ไปกี่ทีเมียเขาก็บอกไม่อยู่ๆ นั่งอย่างกับนางพญา เห็นเราไม่มีความหมายเลย วันไหนมีคนตายเขาจัดงาน ไปขอน้ำแข็งก็รับแบบเสียไม่ได้”

“ผมเคยเป็นตัวแทน ส.ส.เพื่อไทยทั้ง 5 เขต มีใครตายพวงหรีดไปนี่ 500 ผมส่งตลอด ใส่ซอง 2,000 เราจะเอาที่ไหนสำรองจ่าย กว่าจะได้คืนอีก 3 เดือน ส.ส.ติดประชุมอยู่ที่ไหนไม่รู้ ผมนี่ออกเงินก่อนพรรคเพื่อไทย พูดอย่างนี้เลยดีกว่า พยายามเอาหน้าพรรคไว้ ให้ชาวบ้านเขาประทับใจ แล้วผมก็ไล่เก็บถ่านขายไปสิ ไม่อย่างนั้นไม่มีเงินใส่ซอง ตอนนี้ก็ยังทำ” ไข่เขยกล่าว

เมื่อถามถึงท่อน้ำเลี้ยงจากนักการเมือง ไข่เขยหัวเราะแล้วชี้ไปที่เตาเผาถ่านขนาดใหญ่ “นั่นแหละท่อน้ำเลี้ยง ท่อใหญ่ด้วย”

คำถามต่อ นปช.และ “สันติอหิงสา”
สำหรับ นปช.แล้วทั้งคู่วิพากษ์วิจารณ์หนักหน่วงทั้งยุทธศาสตร์และระบบโครงสร้างการนำ

“ผมไม่เห็นด้วยกับ นปช. พอกลุ่มสุเทพอ่อนแอปวกเปียก หรอมแหรมแล้ว แทนที่จะจัดการ ภาคอีสานเขาพร้อม ทุกภาคเขาพร้อม ก็จับไมค์พูดแต่อหิงสาอยู่นั่นแหละ คือเราก็ผิดหวังมาตั้งแต่ที่ราชมังฯ แล้ว แล้วมาลั่นกลองรบอยู่ที่อักษะ รบทำอะไร เพื่ออะไร หรือเพื่อเดินหุ้น” ไข่เขยกล่าว

“ถามว่ามันกร่อนไหม สู้แล้วก็เจอซ้ำแล้วซ้ำเล่า อะไรๆ ก็ อหิงสา อหิงสา เราทดสอบทดลองมาเท่าไหร่แล้ว มีแต่เราที่ตาย” ไข่เขยกล่าว



“ตอนอักษะ เราไม่เห็นด้วยหรอก เราประชุมกันแล้ว คิดว่าชุมนุมจังหวัดใครจังหวัดมันดีกว่า แต่พอ นปช.ไปจัดที่นั่น คนก็เห็นว่าอยู่ตรงนั้นไม่มีใครกล้าสลายหรอก ชาวบ้านดูในทีวีก็อยากจะไป เขาก็มาดันเราอีกที มวลชนดันหลังก็ต้องไป” เยาว์กล่าวและว่ามวลชนจำนวนมากก็ยังเชื่อแกนนำหลัก แต่คนที่เป็นระดับนำกลุ่มย่อยในพื้นนั้น “ไม่เท่าไหร่แล้ว” และเห็นว่า นปช.ควรปรับเปลี่ยนโครงสร้างการบริหารเนื่องจากที่ผ่านมาแกนนำระดับตัดสินใจหรือกลไกจัดการนั้นมาจากภาคอีสานน้อยเกินไปทั้งที่มวลชนหลักเป็นชาวอีสาน

“แล้ว นปช.ก็มีตัวเหลื่อมตรงนี้ ตอนโดนยึดอำนาจ ตรวจสอบทรัพย์สิน มีข่าวออกมาแกนนำใครต่อใครมีเท่านั้นล้านเท่านี้ล้าน  แต่แกนนำแต่ละจังหวัดมีแต่มาดูว่ากูหมดตัวเท่านี้แสนเท่านั้นแสน มันก็เปรียบเทียบ พวกเรานี่ บ้านบางคนขายไปแล้ว กิจการล่มสลาย ที่ดินก็รอมร่อจะไปอีก เอามาเคลื่อนไหวตลอดหลายปี” ไข่เขยเสริม

จะออกอีก ต้องเปลี่ยนแปลงจริงๆ เท่านั้น
แกนนำอีกคนหนึ่งในจังหวัดมหาสารคามทำงานความคิดเงียบๆ ในกลุ่มเล็กๆ ซึ่งเขาไม่เปิดเผยรายละเอียด เขามีลักษณะของความระแวดระวังสูงและมีความคิดที่ค่อนข้างคล้ายกับฝ่ายซ้ายเก่า ทั้งที่เขาเพิ่งมาสนใจการเมืองจริงจังไม่นานนัก หลังรัฐประหาร 2549 เขายังอยู่ในสภาพ “ฟังฝ่ายต่างๆ เพื่อประมวลสถานการณ์” แต่เมื่อประมวลผลได้และร่วมเคลื่อนไหวกับเสื้อแดง เขาก็เริ่มศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองไทยตั้งแต่สมัยกบฏบวรเดช ปฏิวัติ 2475 เรื่อยมา รวมถึงประวัติศาสตร์การปฏิวัติประชาชนของประเทศต่างๆ

“เราไม่ได้ต้องการจำนวน แต่เราต้องการคุณภาพ แบบที่มีอุดมการณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ ความคิดชัดเจน” เขาเล่าถึงแนวทางของกลุ่ม พร้อมระบุว่าจะไม่วิพากษ์แนวทางของมวลชนส่วนใหญ่ เพียงแต่หากจะมีการชุมนุมอะไรอีกกลุ่มเขาคงจะไม่ไป หากไม่แน่ใจว่านั่นเป็นจุดเปลี่ยนจริงๆ

“นปช.ก็มองแล้วว่าไปไม่ได้เพราะต่อสู้เพียงเพื่อปฏิรูป เพื่อเลือกตั้ง แล้วก็ไปอยู่ในกะลาครอบเหมือนเดิม ชาวบ้านบางส่วนก็มองอย่างนี้เลย เขาบอกว่าไม่เอาแล้ว เป้าหมายการสู้ต่ำไป แต่พูดอย่างนี้เขาหยุดไหม เลิกไหม ไม่เลย ผมบอกกับเขาตลอดว่าทุกคนต้องเป็นแกนนำหมด อย่าไปอาศัยคนอื่นนำ เราต้องการสู้ให้มันจบไปเลย จะสู้ทำไม สู้ให้เขาฆ่าทิ้งแล้วก็ไปใหม่ ผมมองและวิจารณ์มาตลอดแล้วก็โดนกล่าวหาว่าเป็นพวกไหน ก็ไม่ใช่ว่าเราไปรังเกียจ เขาก็ดีแบบเขา เพียงแต่เราไม่เห็นด้วยเพราะมันไม่ได้แก้ปัญหา” เขากล่าวเพียงเท่านั้น

( มีต่อ ..)
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 8
เรื่อง เผาศาลากลาง เป็นแบบนี้เอง ....

“ตอนเผาศาลากลางจับไปเกือบ 20 คน สุดท้าย 11 คนยกฟ้อง ตอนนี้ 4 คนยังโดนอยู่ข้อหาเผาศาลากลางและก่อการร้าย จริงๆ ที่จับนั่นก็ไม่ใช่ คนเผาจริงๆ หาตัวไม่ได้ เพียงแต่พวกนี้ไปป้วนเปี้ยนอยู่ในที่เกิดเหตุ ทหารตำรวจ 800 คนคิดดูทำไมมีการเผาได้”


" ..หากกล่าวโดยสรุปจากการพูดคุยทั้งหมด คนเสื้อแดงค่อนข้างมีความหลากหลาย แต่ละกลุ่มทำงานในแนวทางของตนเอง หลายกลุ่มริเริ่มกิจกรรมที่มีสีสันและน่าสนใจ มีความพยายามเชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายใหญ่แบบหลวมๆ ภายใต้สภาวะกระจัดกระจาย ส่วนที่ขัดแย้งกันเองก็มีไม่น้อย มวลชนในส่วนที่มีทัศนะวิพากษ์ต่อ “ทักษิณ” “เพื่อไทย” หรือขบวนการของตนเองยังมีไม่มากนักโดยสัดส่วนหากเปรียบเทียบกับมวลชน "ก้อนใหญ่" ของพรรคเพื่อไทยซึ่งจิตสำนึกประชาธิปไตยของพวกเขาถูกปลุกจากนโยบายอันจับต้องได้ของไทยรักไทย ชาวบ้านหลายคนยกตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมในชีวิตของเขาอย่างชัดเจนและละเอียดลออในทุกๆ นโยบายของไทยรักไทย นักวิชาการในภาคอีสานคนหนึ่งที่ทำงานกับมวลชนเสื้อแดงมานานหลายปีให้ความเห็นไว้ว่า หลังความสูญเสียในปี 2553 เป็นต้นมามวลชนกลุ่มใหญ่ของพรรคเริ่มมีความคิดเรื่องเสรีภาพ สิทธิมนุษยชน ความยุติธรรม มากขึ้นด้วยซึ่งเกิดขึ้นการที่พวกเขาได้เห็นลักษณะ “สองมาตรฐาน” และความอยุติธรรมมากมายด้วยตัวเอง ."
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่