โกงเลือกตั้งตัดสิทธิเฉพาะตัว

กระทู้ข่าว
การตัดสิทธิทาง การเมืองจากกรณีทุจริตเลือกตั้ง เคยเป็นชนวนที่นำไปสู่การยุบพรรคการเมืองและตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรค
          มาวันนี้ คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) โดยการนำของ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ มีแนวโน้มจะบัญญัติให้ความผิดในคดีทุจริตเลือกตั้ง เป็นความผิดเฉพาะรายบุคคล ไม่ใช่เหมายกเข่ง
          มีความเห็นจากอดีตเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) พรรคเพื่อไทย และพรรคประชาธิปัตย์
          สามารถ แก้วมีชัย
          แกนนำพรรคเพื่อไทย
          คณะทำงานติดตามการร่างรัฐธรรมนูญ
          โดยส่วนตัวไม่ขัดข้องกับ กรธ.หากจะบัญญัติกรณีทุจริตคดีเลือกตั้งแล้วตัดสิทธิเป็นรายบุคคล แทนการตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรค รวมทั้งยุบพรรคเหมือนที่เคยเป็นมา
          โดยหลักการแล้วผู้ทุจริตการเลือกตั้งย่อมต้องได้รับการลงโทษ แต่กระบวนการตรวจสอบผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าทุจริตเลือกตั้งก็ต้องอำนวยความยุติธรรมด้วย หากกระบวนการพิจารณาตรวจสอบและตัดสินไม่รอบคอบ รัดกุม อาจกลายเป็นดาบสองคม เป็นเครื่องมือทำลายฝ่ายตรงข้ามได้
          ดังนั้น หากจะมีมาตรการลงโทษตัดสิทธิเลือกตั้งขนาดนี้ควรต้องตั้งศาลพิเศษ อาจเป็นศาลเลือกตั้งเพื่อดูแลเรื่องนี้โดยเฉพาะ หรือไม่ก็ตั้งเป็นแผนกคดีเลือกตั้งขึ้นมาเหมือนกับแผนกคดียาเสพติด ก็จะได้ผู้พิพากษาที่เชี่ยวชาญด้านกฎหมายเลือกตั้งโดยเฉพาะขึ้นมาดูแล
          ควรมีศาลเลือกตั้งโดยเฉพาะทำหน้าที่พิจารณาให้ใบเหลือง-ใบแดงกับผู้สมัครแทน กกต. โดยกกต.มีหน้าที่เพียงกำกับดูแล อำนวยการเลือกตั้งให้บริสุทธิ์ ยุติธรรม หากเห็นว่าผู้สมัครรายใดส่อหรือกระทำทุจริตก็รวบรวมพยานหลักฐานส่งต่อให้ศาลพิจารณาและลงโทษ
          เพราะการตัดสิทธิผู้สมัครเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ต้องเปิดพื้นที่ให้ผู้ถูกล่าวหาได้ต่อสู้เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง วิธีนี้จะช่วยให้ผู้ถูกกล่าวหาได้ต่อสู้อย่างเต็มที่ ที่สำคัญ กกต.ก็จะไม่ถูกตั้งข้อครหาว่าไปกลั่นแกล้งผู้สมัคร
          พรรคเพื่อไทยเคยผ่านประสบการณ์นี้มาแล้ว ตั้งแต่เป็นพรรคไทยรักไทยต่อเนื่องมาถึงพรรคพลังประชาชน กรรมการบริหารพรรคถูดตัดสิทธิเลือกตั้ง พรรคถูกยุบโดยเหตุอันไม่สมควร
          หาก กรธ.เอาจริงเอาจังในเรื่องตัดสิทธิตัวบุคคล ขอเพียงอย่างเดียวว่ากระบวนการตรวจสอบต้องอำนวยความยุติธรรม ไม่มีการใส่ร้ายป้ายสีหรือสร้างพยานเท็จเหมือนที่เคยเป็นมา
          วิจิตร อยู่สุภาพ
          อดีตเลขาธิการ กกต.
          ความเห็นของนายมีชัย น่าจะเป็นที่พอใจของบรรดานักการเมือง เนื่องจากคนที่ไม่เกี่ยวข้องหรือไม่ได้กระทำความผิดก็จะไม่ถูกเหมารวมไปด้วย
          ส่วนตัวสนับสนุนแนวคิดที่จะลง โทษหรือตัดสิทธิเป็นเฉพาะรายบุคคล เพราะพรรคการเมืองถือเป็นสถาบันทางการเมือง เป็นองค์กรนิติบุคคล หากจะมีช่องทางให้ถูกยุบได้ง่ายก็คงเป็นเรื่องไม่ถูก
          อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาแม้จะมีกฎหมายในลักษณะที่เป็นการลงโทษแบบเหมาเข่ง แต่คำถามคือผลในทางปฏิบัติเกิดขึ้นจริงหรือไม่ เพราะจะเห็นได้ว่าแม้จะมีการสั่งยุบพรรคแต่ก็จะเกิดกรณีที่มีการตั้งพรรคใหม่อย่างรวดเร็ว อาจมีการเปลี่ยนแปลงชื่อพรรค
          ขณะที่บรรดากรรมการบริหารพรรคหรือพวกนายทุนก็จะเปลี่ยนบทบาทไปควบคุมพรรคอยู่เบื้องหลัง หาตัวแทนหรือนอมินีมาอยู่หน้าฉาก จึงเห็นว่ากฎหมายที่ผ่านมาอาจไม่มีผลบังคับใช้ได้จริงในทางปฏิบัติ ยังคงมีการสั่งซ้ายหันขวาหันโดยที่สมาชิกในพรรคได้เพียงแต่ปฏิบัติตาม
          จึงเห็นว่าตามหลักการแล้วหัวหน้าพรรคควรมีวาระการดำรงตำแหน่งผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันโดยผู้มีความรู้ความสามารถ และได้รับเลือกจากสมาชิกในพรรค จะทำให้พรรคการเมืองมีความเข้มแข็ง เกิดประชาธิปไตยตั้งแต่ในพรรค ไม่ใช่ครองตำแหน่งเป็นเวลานานหรือเอาญาติมาสืบทอด
          ส่วนเรื่องการลงโทษแก่ผู้กระทำผิดควรแยกเป็น 2 ส่วน หากหัวหน้าพรรคหรือกรรมการบริหารพรรคกระทำความผิดก็ควรถูกลงโทษด้วยการตัดสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิต เพราะกรรมการบริหารพรรคต้องบริหารพรรคการเมืองให้ได้มาตรฐาน และเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในพรรค เช่น การคัดเลือกบุคคลลงสมัครเลือกตั้ง หรือการกำหนดนโยบาย
          ดังนั้น ถ้าหากกระทำความผิดก็ควรจะมีบทลงโทษที่หนัก ส่วนสมาชิกพรรคหรือผู้สมัคร ถ้าหากทำผิดก็อาจกำหนดโทษให้ตัดสิทธิทางการเมืองในระยะเวลา 5 ปี ก็มีความเป็นไปได้
          จุติ ไกรฤกษ์
          เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์
          การจะบัญญัติตัดสิทธิ์นักการเมืองเป็นรายบุคคลพรรคมองว่าอย่างไรก็ได้ เพราะเป็นนักกีฬาถูกอบรมมาให้เคารพกติกา เล่นตามกติกา กติกาเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น ที่ผ่านมาคนที่ไม่เคารพกติกามีข้อยกเว้นทำให้การบังคับใช้กติกาเป็นไปอย่างไม่เท่าเทียม
          ถ้ามาติดว่ากติกาแบบไหนเราถึงได้ประโยชน์ประเทศก็ไม่สงบ ต้องเอาเป้าหมายใหญ่ว่าประเทศสงบ ทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข โดยมีกติกา มีกรรมการที่เป็นธรรม คนก็จะอยู่ร่วมกันอย่างยั่นยืน
          ปัญหาเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ประชาชนมองว่าเป็นประโยชน์ของนักการเมืองดังนั้นอย่าไปคิดมาก ปัญหาอื่นมีอีกเยอะมาก
          ข้อดีของการตัดสิทธิคนทุจริตเลือกตั้งเป็นรายบุคคลนั้นก็จะได้คนผิดจริงๆ คนอื่นที่ไม่รู้ก็ไม่โดนไปด้วย ส่วนข้อไม่ดีเท่ากับเป็นการปัดสวะให้พ้นพรรค ให้มีแพะรับบาป พรรคก็ไม่โดนยุบ
          ประเทศไทยมีปัญหาเรื่องความรับผิดชอบซึ่งไม่มีในพจนานุกรม คำว่า accountability คือความรับผิดชอบ หากเป็นในประเทศ ญี่ปุ่น หรือเกาหลี เมื่อมีปัญหาเขาก็รับผิดชอบด้วยการลาออก
          แต่เมืองไทยจะโยนให้เด็กรับผิดชอบ ทั้งที่ผู้ใหญ่ก็ต้องรับผิดชอบร่วมกับเด็ก ทั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่าเห็นด้วยกับการตัดสิทธิยกเข่ง เพราะบอกแล้วว่ากติกาเป็นอย่างไรก็ได้
          หากจะบัญญัติการตัดสิทธิเป็นการบุคคล ก็อยากให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้งบประมาณกับกกต. ตั้งแต่บัดนี้ไปรณรงค์ว่าโทษของการซื้อสิทธิ์ ขายเสียงทำให้บ้านเมืองเสียหายอย่างไร ส่งเสริมการต่อต้านคอร์รัปชั่น ทุกระดับ ทำตั้งแต่ในโรงเรียนจนถึงผู้สูงอายุ ถ้าทำให้คนรังเกียจการซื้อ-ขายเสียงได้แล้ว ทุกอย่างจะง่ายขึ้น
          แต่ที่ผ่านมา กกต.มีงบประมาณไม่พอ การจัดการรณรงค์ก่อนเลือกตั้ง 3 เดือนไม่มีใครเชื่อ เรื่องนี้แม้ไม่มีเลือกตั้งก็ต้องทำเหมือนการอบรมลูกเสือชาวบ้าน ที่เมื่อก่อนทำทุกปีแต่พอไม่มีคอมมิวนิสต์ก็เลิกทำจนทำให้เกิดช่องว่างขึ้น
          พรรคยืนยันว่าไม่ว่ากติกาออกมาอย่างไร พรรคก็ต้องปรับตัวให้อยู่ภายใต้กฎหมาย

          ที่มา: www.khaosod.co.th
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่