สวัสดีอีกครั้ง เป็นกระทู้ที่สองของเรา ซึ่งเป็นกระทู้ที่ดูจะไม่ใช่รีวิวเช่นเคย ฮา ๆ
แต่เป็นการบอกเล่าเรื่องราวดี ๆ ที่พบเจอระหว่างเดินทาง
ที่ ๆ หนึ่ง ที่ตั้งใจแค่ผ่านทาง..
แต่กลับเจอเรื่องราวบางอย่าง..
ที่ทำให้หลงรักเมืองอุดร
“ขอต้อนรับสู่สนามบินนานาชาติอุดร”
ก้มมองดูนาฬิกา ตอนนี้ 6.55 น. เรากำลังเดินเข้าสู่อาคารสนามบินเพื่อรอกระเป๋า ไม่นานนัก เป้ใบโตถูกสะพายขึ้นบนไหล่ เดินไปซื้อตั๋ว รถลิมมูซีน(รถตู้) เข้าสู่ตัวเมืองอุดร
เราจะต้องพักค้างคืนที่นี่ 1 คืน เพราะสมาชิกของเราจะต้องแวะเยี่ยมญาติ จากการสอบถามเจ้าถิ่น ยืนยันว่าไม่มีที่ไหนเที่ยว ที่ ๆ น่าเที่ยวก็ค่อนข้างไกล วันนี้เราจึงเลือกใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์อินเมืองอุดร
รถตู้วนส่งผู้โดยสารที่ขนส่ง เรียบร้อยเหลือแต่พวกเรายังคงอยู่ พี่คนขับใจดีอาสาพาเราไปส่งร้าน ร้านที่เราจะไปมีชื่อว่าเอมโอช ซึ่งเป็นร้านที่พี่คนขับรถเค้าไม่ค่อยคุ้นชื่อเท่าไหร่นัก พี่แกแนะนำให้เราไปกินอีกร้านเป็นร้านดังในเมืองอุดร แต่เราหาข้อมูลมาว่าร้านนี้เป็นร้านแรก ต้นตำรับ เราจึงปฎิเสธไปยืนยันเจตนาเดิม ว่าเราจะลองแบบออริจินัล
ก้าวลงรถหน้าร้าน ข้างหน้าเราเป็นร้านเก่า ๆ หนึ่งคูหา มีคนนั่งอยู่พอสมควรแต่ไม่ถึงกับแน่นร้าน สั่งอาหารไปไม่นานตอนนี้ ทุกอย่างถูกวางไว้บนโต๊ะเรียบร้อยหน้าตาดีน่าลิ้มลอง และไม่ผิดหวัง อร่อยดีโดยเฉพาะหมูยอ
กระเป๋าเป้พร้อมอยู่บนหลังอีกครั้ง เรายืนรอสัญญาณไฟตรง 4 แยก เราตัดสินใจเดินไปร้านกาแฟ เพราะยามเช้าแบบนี้ อากาศดีมาก ๆ และอีกอย่างดูจากนาฬิกา ตอนนี้ร้านก็คงยังไม่เปิด ไม่มีเหตุผลใด ๆ ที่เราจะรีบ เดินข้ามแยก ข้ามถนน แยกแล้วแยกเล่า กระเป๋าเป้ ที่ตอนแรกเหมือนจะไม่หนักเท่าไหร่ ตอนนี้ หนักขึ้นกว่าเดิมสัก 10 เท่า เหมือน ๆ เดินโดยมีภูเขาหินอยู่บนหลัง หยดน้ำพราวอยู่บนหน้า อากาศเริ่มไม่เย็นเหมือนตอนที่เราก้าวเท้าออกจากร้านไข่กระทะเมื่อเช้า..
8.55 น. เรายื่นอยู่หน้าปั๊มน้ำมัน ตราหอยสีเหลือง ร้านกาแฟ ที่เราปลักหมุดไว้เป็นร้านกาแฟ ไม่ใหญ่มากมายนัก ตั้งอยู่ในปั้มน้ำมัน แต่เต็มไปด้วยความน่ารักอบอุ่น ทุก ๆ อย่างในร้านทำจากไม้ ตกแต่งง่าย ๆ แต่น่ารัก เจ้าของร้านก็น่ารักเป็นกันเองมาก ทันทีที่เปิดประตูร้าน กลิ่นกาแฟหอมเตะจมูกอย่างจัง ทุกอย่างในร้านดูน่ารักลงตัวไปเสียหมด เรานั่งเล่น นั่งอ่านหนังสือพูดคุยกันอยู่พักใหญ่
ถามทางหาทางไปบ้านบ่อน้ำเป้าหมาย ได้ความต้องไปขึ้นรถหน้าเซ็นทรัล โบกสองแถวมาถึงที่หมาย เดินตากแอร์ หาข้าวมื้อเที่ยงกินก่อนเดินทางต่อ กินอิ่มพร้อมเดินทาง จากที่นี่ เราได้พบความจริงบางอย่าง ทำเราเฟว้งฟว้างอยู่แป็ปนึง
พี่ค่ะ ไปบ้านบ่อน้ำ ต้องขึ้นรถสายอะไรอ่ะคะพี่..??
รถจากที่นี้ไม่มีไปบ้านบ่อน้ำ เขายกเลิกไปนานแล้ว..
หนทางอยู่ที่ปาก เราก็ถามทางกันต่อไป จนมีพี่คนขับรถสองแถว พี่เขาบอกให้เราขึ้นรถเขา ไปลงตลาดเทศบาล 2 ที่นั้นมีรถสาย 16 ซึ่งผ่านบ้านบ่อน้ำ เราก้าวขึ้นรถด้วยความหวัง รถเลี้ยวออกหลังเซ็นทรัลได้เพียงแป็ปเดียว ฝนก็ตกลงมาหนักมาก ระบบสาดรอบทิศทาง ทำเราเปียกปอน ช่วยดับร้อนตอนบ่ายได้เป็นอย่างดี เพียงไม่นานเราก็ถึงตลาดเทศบาล 2 ยืนรอรถสาย 16 นานสองนาน ถามคนแถวนั้นเขาก็ว่าผ่าน ก็ยืนรอกันต่อไป ระหว่างนั้นมีรถสามล้อที่มีชื่อว่า สกายแลป มาสอบถามอยู่หลายครั้งหลายครา แต่เราก็มาใจอ่อนตกลงปลงใจกับลุงคนนึง
น้อง ๆ รอรถสายอะไร จะไปไหนกัน
รอรถสาย 16 ไปบ้านบ่อน้ำคะ
โห..รถเพิ่งออกไปตอนบ่ายโมง รถมาอีกทีตอนบ่าย 4
หา…
(ก้มมองดูนาฬิกา อีก เกือบสามชั่วโมง รถจึงจะมาอีกรอบ ..)
มาไปส่งขอคนละ 20 บาท
ไปค่ะ
คุยกันไปตลอดทางได้ความว่า รถสายที่เรารอวิ่งเพียงวันละ 2 รอบ เท่านั้น
รถสกายแลปพาเราขับผ่านหนองประจักษ์ เห็นเป็ดสีเหลืองอยู่ไกล ๆ รถค่อย ๆ ขับเคลื่อนพาเราออกนอกเมืองไปเรื่อย ๆ ตอนนี้เพื่อนร่วมทริปเจ้าถิ่นเริ่มสาละวนกันการติดต่อญาติ เพราะเจ้าตัวไม่ได้มาที่นาน สิบกว่าปี แน่นอนว่าจำทางไม่ได้ ลุงพาเราขับวน เข้าซอยนู้นออกซอยนี้ วนไปตั้งหลักเข้าซอยมาใหม่ หลงอยู่กับเราค่อนข้างนาน จนกระทั่งไม่รู้จะไปทางไหนต่อแล้ว เราจึงตัดสินใจว่าจะลงเดินเพราะเกรงใจลุงแกที่ต้องมาเสียเวลากับเรา แผนต่อไปคือหาที่เด่น ๆ สักที่และรอให้คนในบ้านออกมารับเรา
ลุงค่ะ หนูลงตรงนี้แหละ เดี๋ยวคนที่บ้านเขาออกมารับคะ
ไม่ฟาวไปไหนดอก รอเป็นเพื่อนกันนี่แหละ เจ้าของบ้านไม่มาเราไม่ไปไหน จะปล่อยให้อยู่กันหลง ๆ แบบนี้ได้ไง
คำพูดง่าย ๆ ด้วยน้ำเสียงธรรมดาแต่เรารู้สึกได้ถึงความจริงใจ ตอนนั้นเรารู้สึกอย่างไรอธิบายไม่ได้ แต่ความรู้สึกมันเต็มตื้นบอกไม่ถูก อาจเป็นเพราะเราอยู่ในเมืองที่อยู่กันแบบตัวใครตัวมันเสียนาน ต่างคนต่างอยู่จนเป็นนิสัย สิ่งที่ลุงทำเราจึงบอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร แต่ที่แน่ ๆ เรารู้สึกดี และลุงทำตามที่ว่าจริง ๆ ลุงส่งเราจนแทบถึงหน้าบ้าน สิ่งที่เราทำได้ คือให้เงินลุงเพิ่มไป เราส่งแบงค์ให้ลุง ลุงหยิบเงินคืนให้เรา ลุงคิดเพิ่มอีก 10 บาทเท่านั้น ลุงบอกพอแล้ว เราจุกในอก รอบสอง เราไม่ได้สัมผัสสิ่งแบบนี้ มานานเท่าไหร่แล้ว คำถามมันเกิดขึ้นในใจ
นั่งพักพอเหงื่อแห้ง ก็ถึงเวลาออกล่าหาเป็ด ลุงค่ะไปหนองประจักษ์ค่ะ ค่ารถแพงหูฉี่ ต่อรองลุงบอกจะไปส่งเราแค่ตรงโรงพยาลอะไรสักอย่าง เราก็ไม่รู้จึงขึ้นรถไปกับลุง จ่ายค่ารถเสร็จสรรพเป็ดอยู่ไหนละ เดิน เดิน เดิน ยังไม่มีวี่แวว ครั้งนี้ ทำให้เรารู้ซึ่งถึงความกว้างใหญ่ของหนองประจักษ์ เหงื่อเม็ดโตไหลเป็นทาง เสื้อเปียกเหมือนกับโดนฝนตกใส่ ยังคงสาวเท้าเดินต่อไป พอเหงยหน้าขึ้นมาอีกที เราเห็นเป็ดอยู่ปลายน้ำไกล ๆ รวบรวมพลังเฮือกสุดท้าย แล้วสาวเท้าเดินต่อไป
เบื้องหน้าเราคือเป็ดลม สีเหลืองตัวใหญ่ และตัวที่เล็กลงมาอีกสองตัว ตรงบึงน้ำแห่งนั้น สะท้อนเงาพระอาทิยต์ที่กำลังเคลือนหายลงไปหลังตึก ที่ตั้งเป็นทิวแถว สะกดสายตาเราไม่ให้กระพริบกับวิวเบื้องหน้า อาจเป็นเพราะเราไม่ได้คาดหวัง อาจเป็นเพราะเราเหนื่อย ส่ิงที่อยู่ตรงหน้าจึงดูมันคุ้มค่าเหลือเกิน พระอาทิตย์หลบเหลี่ยมซ้อนอยู่หลังตึก ยังไม่ลับขอบฟ้าไปซะทีเดียว ก่อนที่ฟ้าจะมืดลงไปเราจึงตัดใจกลับที่พัก โบกรถสามล้อ แน่นอนว่าแพงเหลือเกิน เราจึงตัดสิ้นใจเดินไปอีกฝั่งคาดหวังว่าจะถูกลง ซึ่งมันก็ยังแพงอยู่ดี มานั่งคิด ๆ ดูอาจเป็นเพราะลุงคนแรกที่ไปส่งเรา ที่ลุงคิดเราถูกมาก หลังจากนั้นทุก ๆ คันจึงแพงไปโดยปริยาย
วันพรุ่งนี้ คือวันที่จะต้องโบกมือลาอุดร แต่แน่นอนว่า อุดรเป็นอีกเมืองที่น่ารักสำหรับใจเรา
ครั้งหน้า ที่นี้จะไม่ได้เป็นเพียงทริปทางผ่าน แต่เราจะแวะมาด้วยความตั้งใจ
อ่านมาถึงตรงนี้..บันทึกการเดินทางครั้งนี้ อาจจะดูไม่เป็นทริป สักเท่าไหร่ อันนี้เราก็เห็นด้วย น่าจะเป็นบันทึกความประทับใจของเราเสียมากกว่า มันเป็นเรื่องง่าย ๆ ธรรมดาสามัญที่สุด แต่ที่นี่เมืองหลวง เมืองฟ้าอมร สิ่งธรรมดาสามัญเหล่านี้มันเบาบางเหลือเกิน สิ่งเหล่านี้ที่พบเจอสำหรับเรา มันเลย “พิเศษ” มากทีเดียว
********************ภาคสรุป********************
คนที่นี้มีน้ำใจ และน่ารักมาก
เป็นเมืองที่ค่อนข้างเจริญ แต่เวลาเดินช้า
เป็นอีกเมืองที่ทำให้เรารู้ว่าความเรียบง่ายมันคือเสน่ห์อย่างนึง
ปล. ยังคงใช้กล้อง ไอโฟน 4s เช่นเคย ( อยากมีกล้องดี ๆ กับเขาบ้าง )
[CR] ทริปทางผ่าน..กับประสบการณ์ที่ไม่อยากปล่อยผ่าน
แต่เป็นการบอกเล่าเรื่องราวดี ๆ ที่พบเจอระหว่างเดินทาง
ที่ ๆ หนึ่ง ที่ตั้งใจแค่ผ่านทาง..
แต่กลับเจอเรื่องราวบางอย่าง..
ที่ทำให้หลงรักเมืองอุดร
“ขอต้อนรับสู่สนามบินนานาชาติอุดร”
ก้มมองดูนาฬิกา ตอนนี้ 6.55 น. เรากำลังเดินเข้าสู่อาคารสนามบินเพื่อรอกระเป๋า ไม่นานนัก เป้ใบโตถูกสะพายขึ้นบนไหล่ เดินไปซื้อตั๋ว รถลิมมูซีน(รถตู้) เข้าสู่ตัวเมืองอุดร
เราจะต้องพักค้างคืนที่นี่ 1 คืน เพราะสมาชิกของเราจะต้องแวะเยี่ยมญาติ จากการสอบถามเจ้าถิ่น ยืนยันว่าไม่มีที่ไหนเที่ยว ที่ ๆ น่าเที่ยวก็ค่อนข้างไกล วันนี้เราจึงเลือกใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์อินเมืองอุดร
รถตู้วนส่งผู้โดยสารที่ขนส่ง เรียบร้อยเหลือแต่พวกเรายังคงอยู่ พี่คนขับใจดีอาสาพาเราไปส่งร้าน ร้านที่เราจะไปมีชื่อว่าเอมโอช ซึ่งเป็นร้านที่พี่คนขับรถเค้าไม่ค่อยคุ้นชื่อเท่าไหร่นัก พี่แกแนะนำให้เราไปกินอีกร้านเป็นร้านดังในเมืองอุดร แต่เราหาข้อมูลมาว่าร้านนี้เป็นร้านแรก ต้นตำรับ เราจึงปฎิเสธไปยืนยันเจตนาเดิม ว่าเราจะลองแบบออริจินัล
ก้าวลงรถหน้าร้าน ข้างหน้าเราเป็นร้านเก่า ๆ หนึ่งคูหา มีคนนั่งอยู่พอสมควรแต่ไม่ถึงกับแน่นร้าน สั่งอาหารไปไม่นานตอนนี้ ทุกอย่างถูกวางไว้บนโต๊ะเรียบร้อยหน้าตาดีน่าลิ้มลอง และไม่ผิดหวัง อร่อยดีโดยเฉพาะหมูยอ
กระเป๋าเป้พร้อมอยู่บนหลังอีกครั้ง เรายืนรอสัญญาณไฟตรง 4 แยก เราตัดสินใจเดินไปร้านกาแฟ เพราะยามเช้าแบบนี้ อากาศดีมาก ๆ และอีกอย่างดูจากนาฬิกา ตอนนี้ร้านก็คงยังไม่เปิด ไม่มีเหตุผลใด ๆ ที่เราจะรีบ เดินข้ามแยก ข้ามถนน แยกแล้วแยกเล่า กระเป๋าเป้ ที่ตอนแรกเหมือนจะไม่หนักเท่าไหร่ ตอนนี้ หนักขึ้นกว่าเดิมสัก 10 เท่า เหมือน ๆ เดินโดยมีภูเขาหินอยู่บนหลัง หยดน้ำพราวอยู่บนหน้า อากาศเริ่มไม่เย็นเหมือนตอนที่เราก้าวเท้าออกจากร้านไข่กระทะเมื่อเช้า..
8.55 น. เรายื่นอยู่หน้าปั๊มน้ำมัน ตราหอยสีเหลือง ร้านกาแฟ ที่เราปลักหมุดไว้เป็นร้านกาแฟ ไม่ใหญ่มากมายนัก ตั้งอยู่ในปั้มน้ำมัน แต่เต็มไปด้วยความน่ารักอบอุ่น ทุก ๆ อย่างในร้านทำจากไม้ ตกแต่งง่าย ๆ แต่น่ารัก เจ้าของร้านก็น่ารักเป็นกันเองมาก ทันทีที่เปิดประตูร้าน กลิ่นกาแฟหอมเตะจมูกอย่างจัง ทุกอย่างในร้านดูน่ารักลงตัวไปเสียหมด เรานั่งเล่น นั่งอ่านหนังสือพูดคุยกันอยู่พักใหญ่
ถามทางหาทางไปบ้านบ่อน้ำเป้าหมาย ได้ความต้องไปขึ้นรถหน้าเซ็นทรัล โบกสองแถวมาถึงที่หมาย เดินตากแอร์ หาข้าวมื้อเที่ยงกินก่อนเดินทางต่อ กินอิ่มพร้อมเดินทาง จากที่นี่ เราได้พบความจริงบางอย่าง ทำเราเฟว้งฟว้างอยู่แป็ปนึง
พี่ค่ะ ไปบ้านบ่อน้ำ ต้องขึ้นรถสายอะไรอ่ะคะพี่..??
รถจากที่นี้ไม่มีไปบ้านบ่อน้ำ เขายกเลิกไปนานแล้ว..
หนทางอยู่ที่ปาก เราก็ถามทางกันต่อไป จนมีพี่คนขับรถสองแถว พี่เขาบอกให้เราขึ้นรถเขา ไปลงตลาดเทศบาล 2 ที่นั้นมีรถสาย 16 ซึ่งผ่านบ้านบ่อน้ำ เราก้าวขึ้นรถด้วยความหวัง รถเลี้ยวออกหลังเซ็นทรัลได้เพียงแป็ปเดียว ฝนก็ตกลงมาหนักมาก ระบบสาดรอบทิศทาง ทำเราเปียกปอน ช่วยดับร้อนตอนบ่ายได้เป็นอย่างดี เพียงไม่นานเราก็ถึงตลาดเทศบาล 2 ยืนรอรถสาย 16 นานสองนาน ถามคนแถวนั้นเขาก็ว่าผ่าน ก็ยืนรอกันต่อไป ระหว่างนั้นมีรถสามล้อที่มีชื่อว่า สกายแลป มาสอบถามอยู่หลายครั้งหลายครา แต่เราก็มาใจอ่อนตกลงปลงใจกับลุงคนนึง
น้อง ๆ รอรถสายอะไร จะไปไหนกัน
รอรถสาย 16 ไปบ้านบ่อน้ำคะ
โห..รถเพิ่งออกไปตอนบ่ายโมง รถมาอีกทีตอนบ่าย 4
หา…
(ก้มมองดูนาฬิกา อีก เกือบสามชั่วโมง รถจึงจะมาอีกรอบ ..)
มาไปส่งขอคนละ 20 บาท
ไปค่ะ
คุยกันไปตลอดทางได้ความว่า รถสายที่เรารอวิ่งเพียงวันละ 2 รอบ เท่านั้น
รถสกายแลปพาเราขับผ่านหนองประจักษ์ เห็นเป็ดสีเหลืองอยู่ไกล ๆ รถค่อย ๆ ขับเคลื่อนพาเราออกนอกเมืองไปเรื่อย ๆ ตอนนี้เพื่อนร่วมทริปเจ้าถิ่นเริ่มสาละวนกันการติดต่อญาติ เพราะเจ้าตัวไม่ได้มาที่นาน สิบกว่าปี แน่นอนว่าจำทางไม่ได้ ลุงพาเราขับวน เข้าซอยนู้นออกซอยนี้ วนไปตั้งหลักเข้าซอยมาใหม่ หลงอยู่กับเราค่อนข้างนาน จนกระทั่งไม่รู้จะไปทางไหนต่อแล้ว เราจึงตัดสินใจว่าจะลงเดินเพราะเกรงใจลุงแกที่ต้องมาเสียเวลากับเรา แผนต่อไปคือหาที่เด่น ๆ สักที่และรอให้คนในบ้านออกมารับเรา
ลุงค่ะ หนูลงตรงนี้แหละ เดี๋ยวคนที่บ้านเขาออกมารับคะ
ไม่ฟาวไปไหนดอก รอเป็นเพื่อนกันนี่แหละ เจ้าของบ้านไม่มาเราไม่ไปไหน จะปล่อยให้อยู่กันหลง ๆ แบบนี้ได้ไง
คำพูดง่าย ๆ ด้วยน้ำเสียงธรรมดาแต่เรารู้สึกได้ถึงความจริงใจ ตอนนั้นเรารู้สึกอย่างไรอธิบายไม่ได้ แต่ความรู้สึกมันเต็มตื้นบอกไม่ถูก อาจเป็นเพราะเราอยู่ในเมืองที่อยู่กันแบบตัวใครตัวมันเสียนาน ต่างคนต่างอยู่จนเป็นนิสัย สิ่งที่ลุงทำเราจึงบอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร แต่ที่แน่ ๆ เรารู้สึกดี และลุงทำตามที่ว่าจริง ๆ ลุงส่งเราจนแทบถึงหน้าบ้าน สิ่งที่เราทำได้ คือให้เงินลุงเพิ่มไป เราส่งแบงค์ให้ลุง ลุงหยิบเงินคืนให้เรา ลุงคิดเพิ่มอีก 10 บาทเท่านั้น ลุงบอกพอแล้ว เราจุกในอก รอบสอง เราไม่ได้สัมผัสสิ่งแบบนี้ มานานเท่าไหร่แล้ว คำถามมันเกิดขึ้นในใจ
นั่งพักพอเหงื่อแห้ง ก็ถึงเวลาออกล่าหาเป็ด ลุงค่ะไปหนองประจักษ์ค่ะ ค่ารถแพงหูฉี่ ต่อรองลุงบอกจะไปส่งเราแค่ตรงโรงพยาลอะไรสักอย่าง เราก็ไม่รู้จึงขึ้นรถไปกับลุง จ่ายค่ารถเสร็จสรรพเป็ดอยู่ไหนละ เดิน เดิน เดิน ยังไม่มีวี่แวว ครั้งนี้ ทำให้เรารู้ซึ่งถึงความกว้างใหญ่ของหนองประจักษ์ เหงื่อเม็ดโตไหลเป็นทาง เสื้อเปียกเหมือนกับโดนฝนตกใส่ ยังคงสาวเท้าเดินต่อไป พอเหงยหน้าขึ้นมาอีกที เราเห็นเป็ดอยู่ปลายน้ำไกล ๆ รวบรวมพลังเฮือกสุดท้าย แล้วสาวเท้าเดินต่อไป
เบื้องหน้าเราคือเป็ดลม สีเหลืองตัวใหญ่ และตัวที่เล็กลงมาอีกสองตัว ตรงบึงน้ำแห่งนั้น สะท้อนเงาพระอาทิยต์ที่กำลังเคลือนหายลงไปหลังตึก ที่ตั้งเป็นทิวแถว สะกดสายตาเราไม่ให้กระพริบกับวิวเบื้องหน้า อาจเป็นเพราะเราไม่ได้คาดหวัง อาจเป็นเพราะเราเหนื่อย ส่ิงที่อยู่ตรงหน้าจึงดูมันคุ้มค่าเหลือเกิน พระอาทิตย์หลบเหลี่ยมซ้อนอยู่หลังตึก ยังไม่ลับขอบฟ้าไปซะทีเดียว ก่อนที่ฟ้าจะมืดลงไปเราจึงตัดใจกลับที่พัก โบกรถสามล้อ แน่นอนว่าแพงเหลือเกิน เราจึงตัดสิ้นใจเดินไปอีกฝั่งคาดหวังว่าจะถูกลง ซึ่งมันก็ยังแพงอยู่ดี มานั่งคิด ๆ ดูอาจเป็นเพราะลุงคนแรกที่ไปส่งเรา ที่ลุงคิดเราถูกมาก หลังจากนั้นทุก ๆ คันจึงแพงไปโดยปริยาย
วันพรุ่งนี้ คือวันที่จะต้องโบกมือลาอุดร แต่แน่นอนว่า อุดรเป็นอีกเมืองที่น่ารักสำหรับใจเรา
ครั้งหน้า ที่นี้จะไม่ได้เป็นเพียงทริปทางผ่าน แต่เราจะแวะมาด้วยความตั้งใจ
อ่านมาถึงตรงนี้..บันทึกการเดินทางครั้งนี้ อาจจะดูไม่เป็นทริป สักเท่าไหร่ อันนี้เราก็เห็นด้วย น่าจะเป็นบันทึกความประทับใจของเราเสียมากกว่า มันเป็นเรื่องง่าย ๆ ธรรมดาสามัญที่สุด แต่ที่นี่เมืองหลวง เมืองฟ้าอมร สิ่งธรรมดาสามัญเหล่านี้มันเบาบางเหลือเกิน สิ่งเหล่านี้ที่พบเจอสำหรับเรา มันเลย “พิเศษ” มากทีเดียว
********************ภาคสรุป********************
คนที่นี้มีน้ำใจ และน่ารักมาก
เป็นเมืองที่ค่อนข้างเจริญ แต่เวลาเดินช้า
เป็นอีกเมืองที่ทำให้เรารู้ว่าความเรียบง่ายมันคือเสน่ห์อย่างนึง
ปล. ยังคงใช้กล้อง ไอโฟน 4s เช่นเคย ( อยากมีกล้องดี ๆ กับเขาบ้าง )